ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 61 พยัคฆ์ปะมังกร (1)
หนานฉู่ รัชศกจื้อฮวาปีที่หนึ่งเดือนสิบ เจียงเจ๋อถูกกักตัวอยู่ที่จวนยงอ๋อง แม้ผู้เป็นอ๋องจะมากมารยาท ทว่าเจียงเจ๋อกลับมิยินยอมรับใช้ ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนถูกใจอัจฉริยภาพของเจียงเจ๋อ รีบเร่งรุดขอให้ยงอ๋องนิรโทษกรรม ยงอ๋องจำต้องอนุญาต เนื่องจากเจียงเจ๋อมากคุณธรรม ทั้งยังมีหัวใจกระจ่าง จึงประทานสุราในหมวกเกราะทองเพื่อเลี้ยงส่ง เจียงเจ๋อซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา ยอมเข้ากับฝ่ายยงอ๋อง
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
ข้ารับหมวกเกราะทองคำมาตามสัญชาตญาณ ในสมองเต็มไปด้วยภาพที่หลี่จื้อกดมือลงบนจอกสุรา เขาถึงกับปล่อยข้าไปเชียวหรือ ปล่อยข้าที่ยั่วยุโทสะของเขาหลายครั้งหลายครา ปล่อยข้าที่อาจเป็นอุปสรรคขวากหนามในงานใหญ่ของเขา
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด น้ำตาของข้าจึงหลั่งรินออกมา หยาดหยดลงสู่หมวกเกราะทองคำ ไหลรินสู่สาบเสื้อสีขาวราวหิมะ ข้าขยับตัวไม่ได้ สมองย้อนคิดไปถึงเต๋อชินอ๋อง ยามนั้นทันทีที่เขาสังเกตเห็นว่าข้ามิอาจทำงานเพื่อเขาอย่างซื่อสัตย์ภักดีก็พลันมีท่าทีระแวงข้า ข้าพักรักษาอาการป่วยอยู่ที่เจี้ยนเย่ เต๋อชินอ๋องก็ให้สายลับมาจับตามองข้าอย่างลับๆ ข้าคิดถึงหนังสือกราบบังคมทูลครั้งสุดท้าย คิดถึงความภักดีที่มีต่อหนานฉู่ แต่กลับแลกได้เพียงการลดตำแหน่ง เมื่อก่อนข้าคิดว่าข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ จนกระทั่งวันนี้ ข้าจึงค่อยรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ฝังลึกอยู่ในจิตใจข้า นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่สังเกตเห็น หรือบางทีอาจไม่ยินดีคิดถึงเรื่องหนาวเหน็บโศกเศร้าเช่นนั้นก็เป็นได้
ข้าประคองหมวกเกราะทองคำขึ้นมาโดยไม่สนใจว่าหยาดสุราจะไหลหยด ดื่มสุราเลิศรสในหมวกเข้าไปอึกใหญ่ ในใจพลันตระหนักได้ว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ขงเบ้งยอมก้มหัวรับใช้นายกระมัง สุราเลิศรสช่างหวานล้ำ ข้ารู้สึกราวกับถูกจุดไฟในใจก็มิปาน
ข้ายกหมวกเกราะทองคำขึ้นเหนือหัว หมอบกราบกับพื้น กล่าวเสียงดังกระจ่างว่า พระมหากรุณาธิคุณขององค์ชาย แม้ร่างกายกระหม่อมจะแหลกลาญก็มิอาจแทนคุณ หากองค์ชายไม่รังเกียจจิตใจอันโลเลของกระหม่อม กระหม่อมเจียงเจ๋อยินดีรับใช้องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ
เดิมทีหลี่จื้อท้อแท้หดหู่ไปนานแล้ว คาดไม่ถึงว่าข้าจู่ๆ ข้ากลับยอมสวามิภักดิ์ ชั่วขณะนั้นจึงไม่ทราบว่าควรพูดเช่นไรดี ยังดีที่สืออวี้ผู้ชาญฉลาดผลักหลี่จื้อเบาๆ ครั้งหนึ่ง หลี่จื้อจึงรีบเดินเข้าไปประคองข้าพลางกล่าวอย่างซาบซึ้งว่า ท่านเจียง ท่านยอมเปลี่ยนใจเช่นนี้ ข้า…ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดเช่นไร เร็ว รีบลุกขึ้นเถิด
มือของบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่อย่างข้าจะต่อต้านแรงของนักรบเช่นเขาได้ที่ไหนกัน ข้าถูกหลี่จื้อประคองขึ้นมา อารมณ์ค่อยๆ กลับเป็นปกติ จากนั้นจึงกล่าวเบาๆ ว่า หากวันนั้นมิได้พานพบคงได้เพียงแก่ชราโดยไร้ผลงาน เมื่อได้พานพบก็ประดุจพยัคฆ์ปะมังกร
ข้ามองไปทางหลี่จื้อ จากนั้นจึงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า องค์ชายมีน้ำพระทัยกว้างขวางนัก ถึงกับไว้ชีวิตกระหม่อม กระหม่อมไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน ทำได้เพียงมอบคารวะแก่องค์ชาย เช่นนี้จึงจะชดเชยความผิดที่กระหม่อมกระทำต่อองค์ชายในระยะนี้ได้
หลี่จื้อมือสั่น มองข้าด้วยอาการตะลึงพรึงเพริด เดิมทีเขาคิดว่าตนโชคดีที่มิได้สังหารเจียงเจ๋อ มิเช่นนั้นคงสูญเสียอัจฉริยะไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของข้า เขาจึงค่อยรู้ว่าข้าทราบเรื่องที่เขาวางยาพิษในสุรานานแล้ว
ข้ามองหลี่จื้อที่กำลังเหม่อลอย กล่าวด้วยรอยยิ้มบางเบา องค์ชายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด หากองค์ชายลงมือไว้ไมตรี เจียงเจ๋อย่อมไม่ยินดีละทิ้งชีวิตเช่นกัน
หลี่จื้อมองไปยังสืออวี้ อีกฝ่ายไล่บ่าวไพร่ออกไปนานแล้ว ยามนี้เมื่อได้ยินคำพูดของข้าก็อดใจสั่นไม่ได้ มองไปทางหลี่จื้อเช่นกัน
ข้ากล่าวอย่างไม่ปิดบังว่า องค์ชาย ท่านสือ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ก่อนหน้านี้เจียงเจ๋อผิดต่อบุญคุณขององค์ชาย องค์ชายจะประทานความตายก็นับว่าเข้าใจได้ ตอนนี้เรื่องราวผ่านไปแล้ว กระหม่อมไม่คิดแค้นอีก ขอองค์ชายโปรดมองข้ามความโอหังในหลายวันนี้ของกระหม่อมด้วยเถิด
ข้ากล่าวเช่นนี้มิใช่ว่าต้องการรับผิด ในเมื่อข้าตัดสินใจรับใช้ยงอ๋องอย่างภักดีแล้ว ก็จำต้องไตร่ตรองถึงหนทางในการร่วมมือกับเหล่าขุนนางของเขาด้วย เรื่องที่ยงอ๋องต้องการใช้พิษสังหารข้าและเรื่องที่ข้าจงใจยั่วยุยงอ๋อง หากจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจ อนาคตย่อมเกิดความบาดหมางอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ข้ากล่าวออกมาเช่นนี้ ยงอ๋องย่อมไม่คิดว่าตนผิดต่อข้า และไม่จดจำความแค้นที่ข้าโอหังต่อเขาอีก อนาคตนายบ่าวย่อมร่วมมือกันได้อย่างสงบ
อย่าหาว่าข้าคิดมากไปเลย ตั้งแต่อดีตมีขุนนางที่ถูกสังหารหลังหมดประโยชน์มากมาย นี่เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าจักรพรรดิกล้ามักเกรงกลัวขุนนางอัจฉริยะ ทว่าเมื่อขุนนางล่วงล้ำเส้นทางแห่งจักรพรรดิก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงทำเพื่อกรุยเส้นทางหลังจากนี้
สีหน้าของหลี่จื้อแปรเปลี่ยนไปมากมาย สุดท้ายจึงค่อยรู้สึกปลอดโปร่ง กล่าวออกไปว่า ท่านไม่ตำหนิข้าก็ดีแล้ว ข้าขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นซือหม่าประจำจวนแม่ทัพเทียนเช่อ ร่วมแรงร่วมใจกับจื่อโยวเพื่อช่วยเหลือข้า
ข้ารีบคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณอีกครั้ง หลี่จื้อแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า ท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้ ข้าเห็นท่านเป็นประหนึ่งสหายร่วมปรึกษา ไม่จำเป็นต้องวางตัวห่างเหินเพียงนี้
ข้ากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า มารยาทและการแสดงความเคารพย่อมมิอาจลดทอน สุยอวิ๋นจะเสียมารยาทได้อย่างไร แต่หากองค์ชายไม่ตำหนิที่มารยาทสุยอวิ๋นไม่ครบครัน เช่นนั้นสุยอวิ๋นไม่เกรงใจแล้ว
นี่จึงจะเป็นเป้าหมายของข้าอย่างแท้จริง ในเมื่อข้ายอมสวามิภักดิ์ต่อยงอ๋อง ต่อไปย่อมต้องพบกันทุกวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากต้องมาคารวะมากพิธีบ่อยๆ จะยากลำบากเพียงใดกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนยงอ๋องได้ขึ้นครองบัลลังก์ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องมารยาทและพิธีการมากเกินไปนัก
เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ข้าจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า องค์ชาย สุยอวิ๋นอยากสนทนากับองค์ชายให้ลึกซึ้งเสียหน่อย ทว่าตอนนี้ยังไม่ได้ องค์ชายโปรดส่งคนไปแจ้งฉีอ๋องเสียก่อน บอกเขาว่าจู่ๆ สุยอวิ๋นก็โรคเก่ากำเริบ จำต้องพักรักษาตัวที่นี่ต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ฉีอ๋องต้องมาดูด้วยตัวเองเป็นแน่ ตอนนี้สุยอวิ๋นขอบังอาจให้องค์ชายดูแลเรื่องยาด้วยตนเอง นี่คือเรื่องแรก เรื่องที่สอง แม้สุยอวิ๋นจะรู้เรื่องต้ายงอยู่บ้าง แต่ความเกี่ยวเนื่องพัวพันของอำนาจอิทธิพลในราชสำนักยังคงมิกระจ่างแจ้ง ขอให้องค์ชายมอบข้อมูลข่าวกรองทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ให้สุยอวิ๋นศึกษาด้วยพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นคืนนี้ค่อยคุยรายละเอียดกับองค์ชายอีกครั้ง เรื่องที่สาม กวนซิวและคนอื่นๆ ยังไม่รู้เรื่องวันนี้ ในใจย่อมรู้สึกขุ่นเคืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขอให้ท่านจื่อโยวไปแจ้งแก่พวกเขาก่อน เล่าเรื่องวันนี้อย่างลับๆ เพื่อเป็นการแสดงถึงคุณธรรมขององค์ชาย และสร้างความสงบใจของเหล่าที่ปรึกษา สามเรื่องนี้จะต้องเก็บให้เงียบที่สุด
เมื่อหลี่จื้อได้ยินคำพูดของข้า ดวงตาพลันเปล่งประกายแวววาว รีบกล่าวว่า สุยอวิ๋นใคร่ครวญรอบด้านจริงๆ ข้าจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้ ข้าจะกลับไปที่เรือนรับแขกกับท่านทันที ส่วนจื่อโยว เจ้าไปแจ้งฉีอ๋องก่อน
ข้ากับสืออวี้สบตากันยิ้มๆ สืออวี้รีบเดินออกไป ส่วนข้านั้นเมื่อกระทำสิ่งใดก็ต้องทำจนถึงที่สุด จึงให้ยงอ๋องประคองข้าออกไปจากห้องโถง เสี่ยวซุ่นจื่อที่รอข้าอยู่ด้านนอกด้วยใจกระวนกระวายสุดเปรียบเห็นข้าออกมาก็รีบเดินเข้ามาโดยพลัน มองไปยังยงอ๋องด้วยสายตาเย็นยะเยือกก่อนกล่าวว่า คุณชายเกิดอะไรขึ้นขอรับ
ขณะพูดก็เข้ามาประคองข้าแทนยงอ๋อง ข้าจึงตอบไปเรียบๆ ว่า เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้ามีวิธีทำให้ข้าป่วยชั่วคราวหรือไม่ ข้าต้องพบฉีอ๋อง
หลี่เสี่ยนผู้มีความยินดีอัดแน่นมาถึงจวนยงอ๋องแล้วแต่กลับต้องรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นซัดสาด เมื่อสืออวี้บอกเขาว่าสุยอวิ๋นโรคเก่ากำเริบ ปฏิกิริยาแรกของหลี่เสี่ยนคือคิดว่ายงอ๋องจงใจรั้งให้อยู่ต่อ แต่เมื่อเขาย้อนคิดอีกครั้ง แผนการของยงอ๋องไม่ควรย่ำแย่เพียงนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร หลี่เสี่ยนก็บอกว่าต้องการพบหน้าสุยอวิ๋นสักครั้ง
เขารีบเดินตรงไปยังเรือนฉีเฟิ่ง ปล่อยให้ฉินเจิงรออยู่บนรถม้า ในใจหลี่เสี่ยนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่าเมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องก็เห็นสุยอวิ๋นนอนอยู่บนเตียงนุ่มด้วยใบหน้าซีดเซียว ส่วนเสด็จพี่รองของตนกำลังถือถ้วยยาที่มีไอร้อนพวยพุ่งด้วยท่าทีจริงจัง กำลังเป่าไอร้อนเหล่านั้นอยู่ เมื่อเห็นตนเข้ามาก็ทำเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย น้องหก เมื่อคืนท่านเจียงสนทนากับเสนาธิการในจวนข้าจนดึกดื่น วันนี้ข้ามาส่งเขาเดินทางทำให้เขาต้องดื่มสุราไปหลายจอกจนโรคเก่ากำเริบ เกรงว่าคงไปไม่ไหวแล้ว
หลี่เสี่ยนเห็นสีหน้าสุยอวิ๋นก็กล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า เหตุใดจึงเหมาะเจาะเช่นนี้ เขาเพิ่งป่วย ยาของท่านก็ต้มเสร็จแล้วหรือ
หลี่จื้อกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า ตั้งแต่ท่านเจียงมาที่จวนก็ต้องดื่มยาทุกวัน นี่นับเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นข้าจึงกำชับให้บ่าวไพร่เตรียมยาอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่เป็นเช่นนี้ วันนี้จู่ๆ ท่านเจียงก็อาการกำเริบกะทันหัน หากไม่มียาเหล่านี้ เกรงว่าท่านเจียงคงต้องนอนป่วยไปอีกหลายวัน
ข้าลืมตาอย่างยากลำบาก ในใจก่นด่าว่าเหตุใดเสี่ยวซุ่นจื่อต้องจริงจังเพียงนี้ด้วย ปราณหยินอันหนาวเหน็บที่เขาใช้ใส่ร่างกายข้าทำให้ข้าหนาวไปทั้งร่าง จะขยับเขยื้อนก็ช่างลำบากยากเย็นนัก ข้ากล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า สุยอวิ๋นป่วยตั้งแต่อยู่ในสู่จงแล้ว จากนั้นก็มักจะอาการกำเริบอยู่บ่อยๆ โดยไม่เลือกเวลา คิดไม่ถึงว่าจะมากำเริบวันนี้ ผิดต่อฉีอ๋องจริงๆ กล่าวจบข้าก็ไอออกมาหลายครั้ง
ยงอ๋องชิมยาเข้าไปเล็กน้อยจากนั้นจึงกล่าวว่า ใช้ได้แล้ว
พูดจบก็ให้เสี่ยวซุ่นจื่อประคองข้าขึ้นมา ยงอ๋องป้อนยาข้าด้วยตนเอง เมื่อข้ากินยาเข้าไปแล้วสีหน้าก็พอจะดีขึ้นบ้าง จากนั้นจึงกล่าวว่า องค์ชายทั้งสอง หลังสุยอวิ๋นกินยาแล้วจะต้องนอนพักผ่อน ขอองค์ชายทั้งสองโปรดอย่าตำหนิ
ยงอ๋องรีบพูดว่า ท่านพักผ่อนให้ดีเถิด ข้าจะไปแล้ว
ข้าผงกศีรษะเบาๆ ใช้สายตา ‘ซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้า’ มองยงอ๋อง จากนั้นจึงค่อยๆ หลับไป
ยงอ๋องลุกขึ้นกล่าวเสียงเบาว่า น้องหก พวกเราอย่ารบกวนท่านเจียงเลย ไปคุยกันด้านนอกเถิด
เมื่อเดินออกมาจากเรือนฉีเฟิ่ง หลี่เสี่ยนก็กล่าวด้วยสีหน้าแข็งทื่อว่า ลิขิตสวรรค์เป็นเช่นนี้ ดูท่าทางเสด็จพี่รองคงชนะแล้วกระมัง
หลี่จื้อแย้มยิ้มพราย น้องหกคิดมากไปแล้ว รอท่านเจียงอาการดีขึ้นก่อนย่อมไปที่จวนฉีอ๋องแน่นอน
หลี่เสี่ยนกล่าวอย่างเย็นชา เขาป่วยได้ดีจริงๆ ยงอ๋อง แม่ทัพเทียนเช่อผู้สง่าผ่าเผยถึงกับดูแลเรื่องยาด้วยตนเองเช่นนี้ หากเขาไม่หวั่นไหวข้าคงแปลกใจยิ่ง
หลี่จื้อคิดในใจว่า เมื่อก่อนข้าก็ทำเรื่องต่างๆ ไปไม่น้อย น่าเสียดายที่เขาไม่ยอมสวามิภักดิ์ ทว่าปากก็พูดไปว่า น้องหกคิดมากไปแล้ว