ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - [ภาค 1] จ้วงหยวนแห่งหนานฉู่ บทนำ
“เป็นภาพที่งดงามจริงๆ เกลียวหมอกเคล้าชลธารกว้าง นาวาเหว่ว้าแลเดียวดาย ฝีพู่กันไม่ธรรมดา” ข้าผงกศีรษะชมเชยอย่างเฉยเมย ถึงอย่างไร หากว่ากันด้วยศักดิ์ฐานะ ย่อมมิอาจเสียกริยามากไปนัก หากแสดงท่าทียินดีกับของขวัญที่ได้รับมากเกินไป เช่นนั้นแสดงว่าข้าต้องการทำงานให้ผู้อื่นใช่หรือไม่
ผู้ที่มีตำแหน่งเช่นข้า บางเรื่องเปลืองแรงเพียงขยับมือก็ช่วยเหลือได้ บางเรื่องเก็บมือเข้าแขนเสื้อยืนดูเฉยๆ เสียยังจะดีกว่า แม้ยามนี้ฝ่าบาทจะทรงพระปรีชา แต่อย่างไรก็ต้องคิดเผื่อไว้บ้าง พระองค์ชันษาเจ็ดสิบกว่าแล้ว ได้ยินว่าปีหน้าต้องการมอบตำแหน่งให้โอรสของรัชทายาท หากพระองค์เกิดเลอะเลือนตามวัย ระแวงขุนนางเก่าแก่เช่นข้าขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า ข้าต้องการทำทุกสิ่งให้ดี มีจุดจบอันงดงาม
เมื่อหลิวเจิน บุรุษวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้ส่งมอบของขวัญให้ข้าเห็นข้ามีท่าทีเช่นนี้ ดวงตาพลันฉายแววกังวล เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ท่านผู้เฒ่า บิดาของหลานอายุมากจึงเลอะเลือนไปบ้าง ไม่สมควรแต่งหนังสือมั่วซั่ว ขอท่านโปรดเห็นแก่มิตรภาพเมื่อปีนั้น เห็นแก่ที่เคยเป็นขุนนางทำงานเพื่อราชสำนักเช่นเดียวกัน กรุณากล่าวเพื่อบิดาข้าสักหลายประโยค ปล่อยให้คนแก่เช่นเขาไปเสพสุขในชีวิตบั้นปลายด้วยเถิด”
“เช่นนั้นหรือ พี่เหวินจวี่แต่งหนังสืออันใด รีบเอามาให้ข้าดูเสียหน่อย ข้าชอบฝีพู่กันของพี่เหวินจวี่มากเชียว” ข้ารู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อปีนั้นข้ากับบิดาของเขา หลิวขุย หลิวเหวินจวี่สอบได้บัณฑิตจิ้นซื่อ[1]ด้วยกัน ข้าได้ตำแหน่งจ้วงหยวน[2] เขาได้เป็นปั้งเหยี่ยน[3]
ทว่ากล่าวกันตามจริง ข้าเลื่อมใสงานประพันธ์ของเขายิ่งนัก ตัวอักษรหนักแน่น อิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างละเอียดแม่นยำ หากมิใช่ว่าเขามีนิสัยดื้อรั้น กล่าวว่าจะไม่ยอมรับใช้สองนายอันใดนั่น ตำแหน่งผู้บันทึกพงศาวดารของราชวงศ์นี้จะต้องตกเป็นของเขาแน่นอน ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เขากำลังเขียน ‘พงศาวดารฉู่แห่งราชวงศ์หนาน’ ข้าเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ทว่าระยะนี้กลับมิได้ข่าวคราวอันใด
บนใบหน้าของหลิวเจินฉายแววกระอักกระอ่วน ล้วงห่อผ้าออกมาจากสาบเสื้อก่อนส่งมาให้ ข้าเปิดออกดู บนปกสีเขียวจางๆ มีตัวอักษร ‘พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน’ ปรากฏอยู่ จึงรีบเปิดอ่านอย่างกระตือรือร้น ลืมว่ายังมีคนนอกอยู่ในห้องไปเสียสิ้น กระทั่งข้ากวาดตาอ่านรวดเดียวจบสิบบรรทัดก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ พี่เหวินจวี่ช่างไม่ไว้หน้าข้าเลยจริงๆ
ข้าวางหนังสือเล่มนั้นลงอย่างเกียจคร้าน กล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “หลานชาย กลับไปก่อนเถิด เรื่องนี้ข้าจะใคร่ครวญอย่างละเอียด เจ้าก็ทราบดี ข้ามิได้ถามไถ่เรื่องการเมืองมานานหลายปีแล้ว”
เมื่อส่งหลิวเจินกลับไปแล้ว ข้าก็กล่าวเสียงดังว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ เสี่ยวซุ่นจื่อ”
ชายชราในอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งเดินเข้าประตูตามเสียงเรียกของข้า ดูแล้วอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ใบหน้าหล่อเหลาสดใส ขาวเนียนไร้หนวดเครา
คนผู้นี้คือหลี่ซุ่น คนสนิทที่ติดตามข้ามาห้าสิบกว่าปีแล้ว เขาเคยเป็นขันทีในพระราชวังหนานฉู่ มีวรยุทธ์สูงส่ง ได้ยินว่าอยู่ในระดับปรมาจารย์แล้ว เหตุใดจึงกล่าวว่าได้ยินว่าเช่นนั้นหรือ ย่อมเป็นเพราะข้าไม่เข้าใจเรื่องวรยุทธ์อย่างไรเล่า ทว่าเมื่อเห็นเขามีลักษณะคล้ายบุรุษวัยกลางคนทั้งๆ ที่อายุเกินหกสิบไปแล้วก็สมควรเป็นจริงดังนั้น
ก่อนหน้านี้บางคนไม่เชื่อว่า ยอดฝีมือเช่นหลี่ซุ่นจะซื่อสัตย์ภักดีต่อบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่เช่นข้า จึงคิดซื้อตัวเขา ทว่าจุดจบอันน่าอนาถของอีกฝ่าย ข้ามิขอกล่าวถึงแล้วกัน เพื่อไม่ให้พวกท่านได้ยินแล้วกินข้าวไม่ลง
ข้ายิ้มขื่นพลางเอ่ยถาม “หลิวขุยเป็นขุนนางเก่าแก่ของหนานฉู่ แม้เขาจะกล่าววาจาเกินไปบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไร เหตุใดขุนนางในราชสำนักเหล่านั้นจึงให้ความสำคัญเพียงนี้”
หลี่ซุ่นยิ้ม “นายท่านลืมไปแล้วกระมัง ปีหน้าโอรสของรัชทายาทจะได้รับสืบทอดตำแหน่งแล้ว พระชายารัชทายาทคือบุตรีคนโตของท่าน เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่อยากประจบประแจงท่านเล่า หลิวขุยดื้อรั้นปานนั้น จะใส่ชื่อท่านในบันทึกขุนนางสองสมัยเสียให้ได้ แม้ท่านไม่คิดเล็กคิดน้อย ทว่าหน้าตาของพระชายาและพระโอรสยังต้องรักษาอยู่”
“ใช่แล้ว!” ข้ากระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยพลัน หลิวขุยกล่าวในพงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนานว่าข้า ‘อ่อนโยนดุจสตรี มากเล่ห์เพทุบาย จิตใจลึกล้ำยากคาดเดา’ แต่ไม่ว่าผู้ใดล้วนทราบว่า ข้าเป็นผู้ที่ไม่อ่อนไหวทางการเมืองผู้หนึ่ง หากมิใช่เพราะคำชี้แนะของเสี่ยวซุ่นจื่อและการเอาตัวรอดอย่างชาญฉลาดของข้า เกรงว่าข้าคงคว่ำลงมาจากยอดไปนานแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ข้าจึงกล่าวอย่างเรียบเฉย “เจ้าไปบอกโหรวหลันสักคำ หลิวขุยเป็นขุนนางเก่าแก่เพียงหนึ่งเดียวที่เหลือรอดจากราชวงศ์ก่อนของหนานฉู่ ไยต้องทำให้เขาลำบากใจด้วยเล่า เรื่องบางเรื่อง ต่อให้เขาไม่พูด ผู้อื่นก็พูดอยู่ดี ‘บันทึกธาราเคียงเมฆ’ ที่เขาเขียนให้ข้า แม้เจ็บแสบไปบ้าง ทว่าจะอย่างไรก็นับว่าสอดคล้องความจริง เขาเขียนขึ้นมาแล้ว ย่อมเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นเขียนมั่วซั่ว อีกอย่าง เรื่องของข้าไม่เกี่ยวพันไปถึงโอรสของรัชทายาทหรอก บอกนางว่าไม่จำเป็นต้องมากเรื่อง” เสี่ยวซุนจื่อถอยออกไปอย่างนอบน้อม
ส่วนข้าพลิกเปิดบันทึกธาราเคียงเมฆ[4] อ่านอีกครั้งด้วยความกระตือรือร้น แม้จะยังไม่มีบทวิจารณ์หลังสิ้นลม ทว่าอ่านก่อนคงไม่เป็นไรกระมัง
ติงเหม่า[5] รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบหก เจ้าครองแคว้นเจ็บป่วย ฟื้นจากโรคภัยยามฤดูสารทจึงจัดสอบเบื้องพระพักตร์ บัณฑิตเจียงหนานดีใจจนกระโดดโลดเต้น ผู้ให้ความสนใจมากมายดุจเกลียวคลื่น วันที่สิบห้าเดือนแปดประกาศรายนามบัณฑิต จ้วงหยวนคือเจียงเจ๋อแห่งเจียซิ่ง ยามนั้นนามสุยอวิ๋นยังไม่เป็นที่รู้จัก ทุกคนสอบถามจึงได้ความ
เจียงเจ๋อ นามรองสุยอวิ๋น เกิดในปีอู้เซิน[6] รัชศกถงหยวนปีที่สี่ บิดาคือเจียงมู่ นามรองหานชิว ยามเยาว์หานชิวยากไร้ ทว่าโดดเด่นสง่างาม แต่งสตรีในบ้านเกิดเป็นภรรยา หานชิวมิอยากคลุกคลีกับกลียุคจึงพาบุตรชายออกท่องเที่ยวทั้งๆ ที่ตนเจ็บป่วย เมื่อถึงเจียงเซี่ย หานชิวก็ป่วยหนัก สุยอวิ๋นเชิญหมอมารักษา พานพบหมอเทวดาซังเฉินอย่างประจวบเหมาะ ซังเฉินชอบที่สุยอวิ๋นมีหูตากว้างไกล อีกทั้งความจำดี จึงทุ่มเทสั่งสอนและถ่ายทอดความรู้ให้เขา ไม่นานหานชิวก็ค่อยๆ ฟื้นตัว
ซังเฉินเดินทางไปเจียงเป่ย ส่วนสุยอวิ๋นรั้งอยู่ที่เจียงเซี่ยดูแลเรื่องต้มยาให้บิดา ปีเหรินซวี[7] รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเอ็ด หานชิวสิ้นใจด้วยโรคภัย ทิ้งตำรา ‘ชิงหย่วนจี้’ ทั้งสิบสองเล่มไว้เป็นมรดกตกทอด เนื้อหาเรียบง่ายแปลกใหม่ เป็นที่นิยมของคนยุคนี้
หานชิวสิ้นใจ ส่วนสุยอวิ๋นยากไร้จนมิอาจฝังศพบิดา ยามนั้นเจิ้นหย่วนโหว[8] รักษาการณ์อยู่ที่เจียงเซี่ย ขณะตามหาอาจารย์ให้บุตรชายก็พบสุยอวิ๋นเข้าพอดี ลู่โหวเห็นเขายังเยาว์จึงจงใจสร้างความลำบากโดยการสั่งให้เขียนอักษร สุยอวิ๋นจรดพู่กันบรรเลงอักษรพันคำ ไม่ทันไรก็เขียน ‘บทกวีธารายามฤดูสารท’ ออกมาได้ ในนั้นปรากฏความว่า ‘อีกไม่นาน จันทราจะปรากฏเหนือบูรพาสิงขร สัญจรระหว่างกลุ่มดาววัว น้ำค้างขาวปกคลุมชลธาร ประกายธารบรรจบอัมพร ต้นกกหยัดยืนตระหง่าน เหยียดสูงประหนึ่งกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต อิสระเสรีดุจขี่วายุทะยานก้าว แต่กลับมิทราบจะหยุดลงที่ใด กระพือปีกล่องลอยจากโลกียะเพียงลำพัง เพียงหวังทะยานขึ้นสู่แดนเซียน’
ลู่โหวตื่นตะลึงยิ่ง รีบหยัดกายขอบคุณ ทั้งสั่งให้ซื่อจื่อ[9] ออกมาคารวะเขาเป็นอาจารย์
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
[1] จิ้นซื่อ หรือบัณฑิตที่สอบผ่านการสอบขั้นสูงสุด
[2] จ้วงหยวน คือผู้ที่สอบติดจิ้นซื่อได้อันดับหนึ่ง
[3] ปั้งเหยี่ยน คือผู้ที่สอบติดจิ้นซื่อได้อันดับสอง
[4] ธาราเคียงเมฆ มาจากภาษาจีนว่า ‘เจียงสุยอวิ๋น’ เป็นการเล่นคำของผู้เขียน มีความหมายแฝงว่า สุยอวิ๋นผู้ระหกระเหเร่ร่อน
[5] ติงเหม่า ปีกระต่าย ปีที่ 4 ใน 60 ปีตามของแผนภูมิฟ้า
[6] อู้เซิน ปีลิง ปีที่ 45 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า
[7] เหรินซวี ปีสุนัข ปีที่ 59 ใน 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า
[8] โหว เป็นบรรดาศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิเนื่องจากมีความดีความชอบ สืบทอดได้ตามสายตระกูล
[9] ซื่อจื่อ ตำแหน่งเรียกทายาทผู้ที่จะรับสืบทอดตำแหน่งโหวต่อจากบิดา