ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 18 การประลองยุทธ์ (2)
หลี่จื้อเผยท่าทียินดีออกมา แต่ยังคงกล่าวต่อไปว่า ท่านไม่คิดเล็กคิดน้อยที่ฉินชิงลบหลู่ท่านเช่นนี้นับว่าวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเป็นกลางจริงๆ ข้านับถือยิ่งนัก แต่เกรงว่าฉินชิงคงเป็นไปไม่ได้กระมัง เมื่อก่อนเขาและฉางเล่อเป็นสหายกันตั้งแต่เด็กๆ หากมิใช่ว่าฉางเล่อต้องแต่งงานไปแดนไกล เกรงว่าเขาคงเป็นราชบุตรเขยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้าให้พระชายาไปถามเจตนาของกุ้ยเฟยแล้ว พระนางกล่าวว่าตอนที่ฉางเล่อต้องแต่งงานไปแดนไกล ฉินชิงเคยคิดจะพาฉางเล่อหนีไปด้วยกันแต่ฉางเล่อปฏิเสธ
ตอนนั้นฉางเล่อกล่าวกับเขาว่า ‘ข้ามีฐานะเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ นับว่าเติบโตมาได้เพราะบุญคุณของชาวประชา จะไม่สนใจเรื่องใหญ่ของแว่นแคว้นและบ้านเมืองได้อย่างไร หากข้าหลบหนี ไม่เพียงแต่จะทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ ทั้งยังจะทำให้เสด็จพ่อเสด็จแม่เสียพระทัยอีกด้วย หากเสด็จพ่อส่งองค์หญิงพระองค์อื่นไปอภิเษกย่อมมิอาจแสดงความจริงใจได้มากพอและจะทำให้หนานฉู่มีใจคิดออกห่าง กระทั่งอาจทำให้การเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นล้มเหลว เกรงว่าจะมีแต่ผลเสีย แม้ฉางเล่อเป็นสตรีอ่อนแอ แต่ก็ไม่กล้ากระทำเรื่องไร้ภักดีไร้คุณธรรม ไร้สัตย์ไร้กตัญญูเช่นนี้’
ความจริงเรื่องนี้เสด็จพ่อและกุ้ยเฟยทรงทราบแล้ว แต่พวกท่านยังคงเห็นแก่หน้าแม่ทัพฉินและสงสารฉางเล่อจึงไม่คิดเอาความกับฉินชิง ตอนนี้ฉินชิงคิดว่ากุ้ยเฟยได้กลับมาพบหน้าฉางเล่ออีกครั้งย่อมเป็นการดี แต่ฉางเล่อกลับไม่อาจตัดสินใจได้ ดังนั้นจึงต้องลงคัดเลือกราชบุตรเขยผ่านงานประลองนี้ เรื่องนี้คนนอกจะไม่รู้เชียวหรือ แต่เกรงว่าฉินชิงจะลงมือเสียเปล่าแล้ว
แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์หญิงฉางเล่อจึงปฏิเสธฉินชิง ทว่าผลลัพธ์ในตอนนี้จำเป็นต้องใคร่ครวญถึงคนใหญ่คนโต ข้าคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้นว่า เซี่ยโหวเหยียนเฟิงมีรูปโฉมและความสามารถโดดเด่นเหนือผู้คน เกรงว่าคงมิอาจเอาใจใส่องค์หญิงได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น แม้บิดาของเขาจะเอนเอียงไปทางรัชทายาทแต่ก็มิได้กระทำการโจ่งแจ้งอันใด ส่วนเหวยอิงก็นับว่ามีคุณธรรมไม่สามัญ หากองค์หญิงจับคู่กับผู้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ย่อมมีความสุขเป็นแน่
ยงอ๋องทอดถอนใจ ข้าเองก็คิดเช่นนี้ แต่ลือกันว่ารัชทายาทเข้าข้างเซี่ยโหว ทั้งยังไปโน้มน้าวฮองเฮาด้วยว่าเซี่ยโหวมากพร้อมด้วยความสามารถและรูปโฉม ทั้งยังไม่เข้าร่วมการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ย่อมดูแลองค์หญิงได้เป็นอย่างดี และยังกล่าวอีกด้วยว่าเซี่ยโหวเกิดรักแรกพบกับองค์หญิง ดังนั้นย่อมไม่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างสามีภรรยาเพราะเรื่องราวในอดีตแน่นอน ส่วนเหวยอิงเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ อนาคตในวันข้างหน้าย่อมโดดเด่น หากเมินเฉยต่อองค์หญิง เรื่องดีๆ ย่อมกลายเป็นหายนะอย่างไม่อาจเลี่ยง ฮองเฮาถูกเขาโน้มนาวเช่นนี้จนคล้ายจะมีใจเอนเอียงไปทางเซี่ยโหวแล้ว ส่วนฝ่าบาทเดิมทีก็โปรดปรานเซี่ยโหวเหยียนเฟิงอยู่แล้ว คล้ายจะมีเจตนาเช่นนี้ด้วย
ข้ากล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง หรือว่ารัชทายาทมีเจตนานำอำนาจอิทธิพลขององค์หญิงไปเป็นของตน องค์หญิงได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท เรื่องนี้ทุกคนในใต้หล้ารู้ดี หากเซี่ยโหวคิดใช้อำนาจขององค์หญิงขึ้นมา เกรงว่าคงไม่อาจควบคุมคนผู้นี้ได้แน่
หลี่จื้อยิ้มเจื่อน ข้าเองเคยคิดส่งคนไปเข้าร่วมแล้ว แม้ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าจะมีมากมายดังปุยเมฆ แต่ผู้ที่มีครบทั้งบุ๋นบู๊ มีพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถเช่นนี้กลับหาได้ยากจริงๆ แม้จะมีอยู่สองสามคนแต่ก็มิได้โดดเด่นอันใด ยิ่งไปกว่านั้นหากข้าส่งคนไป เกรงว่าผู้ที่ต้องปะทะด้วยเป็นคนแรกก็คือฉินชิง ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ต้องล่วงเกินฉินชิงทั้งสิ้น อีกอย่าง…
หลี่จื้อมีท่าทีคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป ข้าจึงกล่าวเสริมคำพูดของเขา อีกอย่างจะทำให้ผู้คนคิดว่าองค์ชายมีใจคิดอยากได้อำนาจอิทธิพลขององค์หญิง ไร้ซึ่งความรักระหว่างพี่น้อง
หลี่จื้อหัวเราะด้วยท่าทีขมขื่น แม้ข้าไม่อยากขัดขวางความสุขของฉางเล่อ แต่หากนางแต่งให้เซี่ยโหวเหยียนเฟิงจริงๆ เช่นนั้นย่อมไม่เป็นประโยชน์ต่อข้า ท่านว่าข้าควรทำอย่างไรดีเล่า
ข้าก้มหน้าลงใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนตอบ องค์ชายไม่จำเป็นต้องกังวล ไม่ว่าฝ่าบาทและฮองเฮาจะคิดเช่นไร ผู้ที่จะตัดสินใจย่อมเป็นตัวองค์หญิงเอง ทว่าความคิดเห็นของกุ้ยเฟยก็อาจมีผลต่อองค์หญิงเช่นกัน มิสู้องค์ชายให้พระชายาไปโน้มน้าวกุ้ยเฟยเสียหน่อยเป็นอย่างไร กระหม่อมคิดว่ากุ้ยเฟยคงไม่วางใจให้องค์หญิงแต่งกับเซี่ยโหวเช่นกัน จะอย่างไรเขาก็อายุน้อยเกินไป ยังไม่มั่นคงมากพอ อีกทั้งองค์หญิงยังคงระทมทุกข์ ต้องการผู้ที่ดูแลเอาใจใส่อย่างอ่อนโยน และต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงมาคอยดูแล
หลี่จื้อกล่าวด้วยท่าทียินดี ถูกแล้ว หากกล่าวถึงเรื่องของความรู้สึกไม่ถกถึงเรื่องอื่น ข้าก็ไม่วางใจให้ฉางเล่อแต่งกับเซี่ยโหวเหยียนเฟิงเช่นกัน เขาอายุน้อยเกินไป ยังไม่มั่นคงมากพอ
ในวันที่สี่นอกประตูจู่เชว่ การประลองยุทธ์ดำเนินมาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว การประลองเบื้องต้นเสร็จสิ้นไปตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เป็นวันที่จะแย่งชิงอันดับหนึ่งกัน ผู้ที่อยู่บนเวทีอันกว้างใหญ่บริเวณหน้าประตูมีแต่เหล่าเสือเหล่ามังกร
องค์จักรพรรดิ ฮองเฮา จ่างซุนกุ้ยเฟยและองค์หญิงฉางเล่อกำลังจับตาดูการประลองเหล่านั้นอยู่บนหอสูงฝั่งตะวันตกของการประลอง มีพระสนมคนอื่นๆ นั่งอยู่ด้านหลัง เหล่าพระสนมแห่งวังหลังไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกมากนัก แต่ละนางจึงเต็มไปด้วยท่าทีกระตือรือร้น
ตอนนี้เป็นการแข่งม้ารอบสุดท้าย เสียงตะโกนเรียกชื่อผู้เข้าแข่งขันที่ดังกึกก้องที่สุดคือชื่อของเหวยอิงและเซี่ยโหวเหยียนเฟิง ม้าเหงื่อโลหิตอันล้ำค่าของเหวยอิงและม้าหนุ่มตัวใหญ่ของเซี่ยโหวเหยียนเฟิงล้วนเป็นอาชาชั้นยอด แม้ม้าของเซี่ยโหวเหยียนเฟิงจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ฝีมือการขี่ม้าของเขาเหนือกว่าเหวยอิง ดังนั้นอัตราแพ้ชนะจึงอยู่ที่ครึ่งต่อครึ่ง
ธงสีแดงโบกสะบัด ทั้งสองควบทะยานม้าออกไปเป็นคนแรก กระทั่งทิ้งม้าตัวอื่นไปไกล เมื่อวิ่งมาจนถึงสุดปลายทางทั้งสองก็หันหัวกลับ เซี่ยโหวใช้ความสามารถในการควบคุมม้าอันยอดเยี่ยมนำไปก่อน ทว่าเหวยอิงก็มิได้ด้อยกว่าเท่าใดนัก เมื่อรวมกับความน่าเกรงขามของม้าเหงื่อโลหิตทำให้ตามทัน เมื่อดำเนินมาถึงระยะสุดท้าย ทั้งสองต่างใช้ความสามารถเต็มที่ ท้ายที่สุดเหวยอิงเป็นผู้ได้รับชัยชนะ คว้าตำแหน่งอันดับหนึ่งของการแข่งม้าไปครอง
กุ้ยเฟยกล่าวอย่างยินดีว่า องครักษ์ผู้ดูแลเหวยครบทั้งบุ๋นบู๊จริงๆ หม่อมฉันคิดว่าเขาเหมาะสมกับเจินเอ๋อร์ของพวกเราแล้วเพคะ
ทว่าฮองเฮากลับตรัสขึ้นว่า ความจริงเหยียนเฟิงก็ไม่เลวเลย หากมิใช่เพราะมีม้าด้อยกว่าเล็กน้อย เกรงว่าคงนำเหวยอิงได้แล้วกระมัง ยิ่งไปกว่านั้นเขาเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสามสนาม ต่อให้ได้รับอันดับสองก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ
หลี่หยวนพยักหน้า เซี่ยโหวเป็นคนหนุ่มมากความสามารถจริงๆ แต่เหวยอิงก็มีคุณสมบัติดีเยี่ยมครบครันทั้งบุ๋นและบู๊ นับเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเช่นกัน
จ่างซุนกุ้ยเฟยรู้สึกลังเล นางทอดสายตามองไปทางองค์หญิงฉางเล่อ แต่กลับพบว่าองค์หญิงไร้ซึ่งความยินดีใดๆ ทำเพียงมองดูสนามประลองอย่างเงียบงัน
ตอนนี้เอง จู่ๆ เหยียนกุ้ยเฟยก็กล่าวขึ้นว่า ฝ่าบาท รัชทายาทและยงอ๋องมาถึงแล้วเพคะ
จ่างซุนกุ้ยเฟยมองไป พบว่ารัชทายาทหลี่อันและยงอ๋องหลี่จื้อสวมใส่ชุดลำลอง ผู้ดูแลจัดเตรียมที่นั่งพิเศษใต้หอไว้ให้พวกเขาแล้ว สองวันก่อนพวกเขามิได้มาที่สนามประลองด้วยตนเอง ส่วนวันนี้ก็มาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
องค์หญิงฉางเล่อได้ยินว่ายงอ๋องมาถึงแล้วก็อดมองไปไม่ได้ นางเห็นคนผู้นั้นอยู่ข้างกายยงอ๋องจริงๆ เขายังคงสวมชุดสีอ่อนคล้ายชุดไว้ทุกข์ มีลักษณะดังบัณฑิต นั่งอยู่ข้างกายเสด็จพี่รอง พูดคุยแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน ด้านหลังเขามีชายหนุ่มสวมอาภรณ์สีเขียวผู้มีใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลายืนอยู่ อีกฝ่ายคล้ายสังเกตเห็นสายตาของนางจึงมองมาอย่างเย็นชา สายตาอันเย็นยะเยือกเช่นนั้นทำให้องค์หญิงฉางเล่อรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ นางรู้สึกเหมือนเคยเห็นสายตาเย็นชาคู่นี้มาก่อน ราวกับเคยพบผู้ที่มีบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน
ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มเดินมารินน้ำชาให้เขา แม้ฝ่ายหนึ่งอยู่บนหอ อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ใต้หอ แต่ระยะห่างก็ไม่นับว่าไกลมากนัก องค์หญิงฉางเล่อเห็นมือที่ขาวกระจ่างจนซีดเซียวเล็กน้อยคู่นั้นได้อย่างชัดเจน หัวใจขององค์หญิงฉางเล่อพลันเต้นกระหน่ำ
เป็นเขา เป็นเขา นางมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาสง่างามในความทรงจำอีกครั้ง เป็นเขาหรือ ผู้ลึกลับที่บีบให้เหลียงหวั่นสติฟั่นเฟือง ทั้งยังบีบให้สายสืบสิบกว่าคนต้องตาย แต่กลับปล่อยตนไปผู้นั้น
หากเป็นเขาจริงๆ เช่นนั้นองค์หญิงฉางเล่อก็ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเขาจึงปล่อยตน นางยังจดจำการพบพานเพียงครั้งเดียวนั้นได้ดี ยังจำบทกวีที่เขาส่งมาถึงตำหนักได้ดี นางรู้สึกได้รางๆ ว่าชายหนุ่มผู้มีลักษณะดุจบัณฑิตผู้นี้เข้าใจความขมขื่นและความรู้สึกในใจของตนอย่างกระจ่างแจ้งนานแล้ว ทั้งยังไม่คิดตำหนิที่ตนออกมาจากหนานฉู่อีกด้วย
องค์หญิงฉางเล่อเผยรอยยิ้มยินดีที่คละเคล้าไปด้วยความอ่อนโยนสุดเปรียบออกมา ทว่าจู่ๆ กลับรู้สึกโศกเศร้าเสียอย่างนั้น เขาและนางมิอาจมีอนาคตร่วมกัน นางก้มหน้าลง รู้สึกอยากออกไปจากที่แห่งนี้เสียเดี๋ยวนั้น ขณะนั้นเองจักรพรรดิหลี่หยวนกลับตรัสขึ้นอย่างยินดีว่า ฝีมือการยิงธนูยอดเยี่ยมจริงๆ