ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 19 การประลองยุทธ์ (3)
การแข่งขันรอบที่สองคือการยิงธนู ฉินชิงยิงธนูในระยะห่างร้อยก้าวเข้าเป้าสีแดงที่อยู่ใจกลางไปอย่างแม่นยำ เซี่ยโหวเหยียนเฟิงก็มิได้ด้อยกว่าแม้แต่น้อย สุดท้ายทั้งสองยังคงเสมอกัน ฉินชิงไม่คิดยอมแพ้ หากเป็นการต่อสู้เข่นฆ่าในสนามรบจริงๆ สถานการณ์ย่อมไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน แต่ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินด้วยวิธีการเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงยอมรับ
หลี่จื้อส่ายศีรษะเล็กน้อย เขาอยู่ในกองทัพมานานย่อมรู้ดีว่าการยิงธนูเช่นนี้ง่ายดายยิ่งนัก แต่หากเป็นการขี่ม้ายิงธนูคงไม่ง่ายดายเช่นนี้แน่ อย่างไรก็ดี นี่คือการประลอง ไม่ใช่การสู้กันในกองทัพ จึงอับจนหนทาง
เขาหันไปกล่าวกับเจียงเจ๋อว่า หากต้องการแข่งขันยิงธนูจริงๆ สมควรไตร่ตรองเรื่องการขี่ม้ายิงธนูจึงจะดีกว่า ในกองทัพของข้า เมื่อหน่วยสอดแนมกลับมารายงานข่าวที่กองทัพ จะต้องอาศัยการยิงธนูในระยะห่างห้าร้อยก้าว ทั้งยังเป็นการขี่ม้ายิงธนูอีกด้วย โดยจะต้องยิงธนูเพื่อนำข่าวกรองไปถึงเป้าธนูที่อยู่นอกค่ายใหญ่ให้ได้ การแข่งขันยิงธนูที่เห็นนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ข้ารู้สึกตะลึงพรึงเพริด ไม่แปลกใจที่ยงอ๋องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการทหารที่ทุกคนในใต้หล้าต่างทราบดี
ฝ่าบาทและฮองเฮามองไปยังองค์หญิงฉางเล่อที่ยังคงเงียบงันด้วยความกังวล ฮองเฮาตรัสขึ้นเบาๆ ว่า ฉางเล่อ ข้าว่าเซี่ยโหวผู้นั้นไม่เลวเลย เจ้าไม่ถูกใจหรือ
จ่างซุนกุ้ยเฟยรีบกล่าว เจินเอ๋อร์ หากเจ้าไม่ถูกใจเขา ยังมีเหวยอิง ฉินชิงแล้วคนอื่นๆ อีก พวกเขาเป็นชายหนุ่มผู้โดดเด่นทั้งรูปโฉมและความสามารถ ไม่ว่าเจ้าจะถูกใจผู้ใด เสด็จพ่อของเจ้าย่อมไม่ขัดขวางแน่นอน
องค์หญิงฉางเล่อยังคงเงียบงัน หลี่หยวนจึงตรัสขึ้นพร้อมรอยสรวล ยังมีการแข่งขันอีกอย่างหนึ่ง มิแน่ว่าฉางเล่ออาจถูกใจผู้ใดก็เป็นได้ ทว่ารอยสรวลของพระองค์กลับดูแข็งทื่อไปบ้าง คงมองเห็นการคัดค้านเงียบๆ ขององค์หญิงฉางเล่อแล้วกระมัง
ตอนนี้เอง ณ เวทีการประลองด้านล่าง เซี่ยโหวเหยียนเฟิงและชายหนุ่มชุดดำอีกคนหนึ่งกำลังยืนประจันหน้ากัน ชายชุดดำมีใบหน้าคมคายชัดเจน ท่าทีนิ่งเงียบไม่แยแส ร่างกายคล้ายเซี่ยโหวเหยียนเฟิง ทว่ามิได้บางดุจต้นไม้หยกราวกับจะปลิวลมเช่นนั้น รอบกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุดันคล้ายมีพลังที่พร้อมจะระเบิดออกมาแฝงอยู่ทั่วทั้งร่างกาย ท่วงท่าการเคลื่อนไหวสง่างามประหนึ่งเสือดำ
ข้ามองไปยังชายชุดดำผู้นั้น รู้สึกชื่นชมยิ่งนัก จึงถามไปว่า องค์ชาย คนผู้นี้คือใครหรือ
หลี่จื้อกล่าวตอบ เขาชื่อเผยอวิ๋น เคยเป็นขุนพลแนวหน้าผู้ห้าวหาญใต้บัญชาฉีอ๋อง เป็นลูกศิษย์แห่งสำนักเส้าหลิน ว่ากันว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ หลายปีก่อนพี่ชายสองคนของเขาตายในสนามรบ บิดาของเขาซึ่งเป็นรองเสนาบดีในสำนักตรวจฎีกากลางจึงถวายฎีกาเสด็จพ่อ ต้องการให้เขากลับมาที่เมืองหลวง เสด็จพ่อเห็นใจตระกูลเผยที่เหลือทายาทเพียงผู้เดียวจึงออกพระราชโองการเรียกตัวกลับ ตอนนี้เขาเป็นแม่ทัพกองราชองครักษ์แห่งค่ายอุดร คนผู้นี้มีความห้าวหาญภักดี ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อและแม่ทัพใหญ่ฉินอย่างลึกล้ำ เพียงแต่นิสัยค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่บ้าง ไม่ชอบไปมาหาสู่กับผู้อื่น หากมิใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าคงเป็นตัวเลือกราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อถูกใจไปแล้ว ได้ยินว่าที่เขาเข้าร่วมการแข่งขันในคราวนี้เป็นเพราะเซี่ยโหวเหยียนเฟิง เนื่องจากคนผู้นี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของกองราชองครักษ์ ดังนั้นเขา หรือเซี่ยโหวเหยียนเฟิงจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของคนหนุ่มในนครฉางอันก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่มาก ตามปกติแล้วด้วยตำแหน่งฐานะจึงไม่อาจประลองกันได้ คราวนี้จึงถือโอกาสนี้ประลองกันเสียเลย
ข้ามองไปทางเสี่ยวซุ่นจื่อก่อนกล่าวถาม เจ้าเห็นการประลองของพวกเขาแล้ว คิดว่าผู้ใดจะชนะ
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอย่างเรียบเฉย เผยอวิ๋นเป็นยอดฝีมือแห่งสำนักเส้าหลิน ข้าคิดว่าเขาฝึกวิชาร่างวชิระทองคำซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองเคล็ดวิชาของเส้าหลิน ทั้งยังสำเร็จไปแล้วเจ็ดส่วน หากผ่านไปอีกสิบปี เซี่ยโหวเหยียนเฟิงย่อมไม่ใช่คู่มือเขา
หลี่จื้อได้ยินดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า เช่นนั้นแสดงว่าตอนนี้เขาสู้เซี่ยโหวเหยียนเฟิงไม่ได้หรือ
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวตอบ ทูลองค์ชาย เส้นทางวรยุทธ์ของเซี่ยโหวเหยียนเฟิงผู้นี้เป็นเส้นทางอ่อนนุ่มจึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อถึงระยะหลังๆ จะเกิดอุปสรรคมากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง หากไม่ได้เป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถเหนือผู้คน เกรงว่าคงยากจะพัฒนาถึงจุดสูงสุด ดังนั้นแม้ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาจะเหนือกว่าเผยอวิ๋น แต่หากต้องการเอาชนะก็มิได้ง่ายดาย ดังนั้นการประลองแลกเปลี่ยนฝีมือครั้งนี้ยังต้องดูปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ในเมื่อเผยอวิ๋นเคยผ่านสนามรบมาแล้วย่อมต้องมีความใจเย็นและการตัดสินใจที่เด็ดขาดเหนือคนธรรมดา ดังนั้นอัตราการแพ้ชนะในคราวนี้ยังคงอยู่ที่สี่ต่อหก เผยอวิ๋นยังมีโอกาส
ขณะนี้ทั้งสองคนที่อยู่บนเวทีคำนับกันก่อนจะเริ่มลงมือ เซี่ยโหวเหยียนเฟิงใช้กระบี่ ส่วนเผยอวิ๋นใช้ดาบ แม้ข้าจะไม่เข้าใจเรื่องวรยุทธ์แต่ก็รู้สึกได้ว่ากระบี่ในมือของเซี่ยโหวเหยียนเฟิงเคลื่อนไหวราวกับแฝงไปด้วยจิตวิญญาณ ทั่วทั้งสนามเต็มไปด้วยประกายคล้ายหิมะบินว่อน ส่วนเพลงดาบของเผยอวิ๋นนั้นมั่นคงหนักแน่น ป้องกันได้อย่างดีเยี่ยม ระหว่างการประมือเต็มไปด้วยประกายดุดันที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น
เสี่ยวซุ่นจื่อมองดูอย่างจริงจัง แววตาเต็มไปด้วยความร้อนระอุ ข้าจึงอดกล่าวไม่ได้ว่า เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ผู้ใดเหนือกว่า
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวตอบ เผยอวิ๋นใช้เพลงดาบหกผสาน เป็นวิชาที่สืบทอดกันมาในสำนักเส้าหลินซึ่งแตกต่างกับวิชาที่สืบทอดกันในภายนอกอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังฝึกจนถึงขั้นชำนาญแล้วด้วย ส่วนเพลงกระบี่ของเซี่ยโหวเหยียนเฟิงคือเพลงกระบี่โฉมงาม ว่ากันว่าสืบทอดมาตั้งแต่ยุคชุนชิว มีความลึกล้ำกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง แม้เผยอวิ๋นจะป้องกันได้อย่างมั่นคง แต่หากโจมตีกลับไปไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ข้าว่าพลังภายในของเซี่ยโหวเหยียนเฟิงบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก เกรงว่าคงไม่หมดแรงภายหลังง่ายๆ
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เผยอวิ๋นก็ส่งเสียงตวาดออกมาเบาๆ วิถีดาบพลันแปรเปลี่ยนไปดุดันโหดเหี้ยมแต่ยังคงคละเคล้าไปด้วยความเมตตาจางๆ ความขัดแย้งเช่นนี้ทำให้ผู้พบเห็นต้องขบคิดใคร่ครวญ เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอย่างประหลาดใจว่า นี่คือเพลงดาบซิวหลัวซึ่งเป็นวิชาลับที่สืบทอดกันมาในสำนักเส้าหลิน แม้จะเป็นวิถีแห่งมาร แต่ความจริงกลับแฝงด้วยใจเมตตา ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ชั่วขณะนั้นทั่วทั้งสนามเต็มไปด้วยประกายดาบเงากระบี่ดูโชติช่วงตระการตา กลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นถาโถมออกมา ตอนนี้เอง ร่างของเซี่ยโหวเหยียนเฟิงไหววูบ กระโดดทะยานตัวขึ้นก่อนพลิกตัวกลางอากาศพลางฟาดฟันกระบี่ลงมา เผยอวิ๋นชูดาบขึ้นรับกระบี่ซึ่งหน้า แม้เซี่ยโหวเหยียนเฟิงจะอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าแต่ก็มิได้เสียเปรียบแม้แต่น้อย เขางอตัวอีกครั้ง เคลื่อนไหวปราดเปรียวดังเหยี่ยว จมหายไปท่ามกลางทะเลคมดาบของเผยอวิ๋น มุ่งฟาดฟันดุจเหยี่ยวจับกระต่าย ทั้งคู่ประมือกันราวนกนางแอ่นร่ายรำยามฤดูใบไม้ผลิ ผู้คนที่มาชมดูการต่อสู้ต่างโห่ร้องตะโกนมากสีสัน
เผยอวิ๋นถูกบีบให้ปัดป้องทั้งซ้ายขวาจนมือเท้าพันกัน ตอนนี้เอง อาจเป็นเพราะการต่อสู้ดำเนินไปอย่างยาวนานทำให้เซี่ยโหวเหยียนเฟิงขุ่นเคืองจนถึงขีดสุด ร่างกายคล้ายประสานรวมกับกระบี่จนเป็นหนึ่งเดียว ทิ่มแทงไปทางเผยอวิ๋นประหนึ่งอัสนีบาต ดาบยาวในมือเผยอวิ๋นถูกยกขึ้นสกัดกั้น อย่างไรก็ตาม กระบี่นี้เกิดจากเรี่ยวแรงทั้งหมดของเซี่ยโหวเหยียนเฟิง ส่วนเผยอวิ๋นกลับต้องรับมืออย่างฉุกละหุก ทำให้เสียงหนึ่งดังกระจ่าง ดาบยาวหักสะบั้น เซี่ยโหวเหยียนเฟิงทะยานผ่านข้างกายเผยอวิ๋น ทว่าร่างกายของเขากลับเปลี่ยนทิศทางได้อย่างพิสดาร กระบี่ถูกพลิกกลับรวดเร็วจนปรากฏเป็นเงาค้าง ทิ่มแทงไปยังหัวใจเผยอวิ๋น
เผยอวิ๋นมีเพียงดาบหักๆ อยู่ในมือ ทั่วทั้งสนามเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง เผยอวิ๋นมีสีหน้ามืดครึ้มลง โยนดาบหักทิ้งแล้วใช้สองมือต่อสู้ ได้ยินเสียงคล้ายโลหะกระทบกันดังขึ้น เงาร่างทั้งสองทะยานออกจากกัน เซี่ยโหวเหยียนเฟิงมีสีหน้าหม่นหมอง ใบหน้าหล่อเหลาเป็นเอกดูซีดเซียวไปบ้าง ทางด้านเผยอวิ๋นชายแขนเสื้อโบกสะบัดประหนึ่งผีเสื้อ มือทั้งสองตั้งแต่แขนลงไปปรากฏสีทองให้เห็นจางๆ แต่กลับไม่มีบาดแผลใดๆ แม้แต่น้อย
ขณะนี้เอง ผู้ดูแลการแข่งขันที่อยู่บนหอตีฆ้องเสียงดัง ไม่นานก็มีขันทีลงไปประกาศราชโองการ กล่าวว่าฝ่าบาทมีรับสั่ง อาวุธของเผยอวิ๋นหักแล้วนับเป็นความพ่ายแพ้ ทั้งสองล้วนเป็นผู้ยอดเยี่ยมในราชสำนัก ไม่อาจต่อสู้กันถึงขั้นเป็นตาย
แม้เซี่ยโหวเหยียนเฟิงจะเอาชนะไปได้ แต่สีหน้ากลับมืดครึ้มไร้ความยินดี ได้แต่เดินเข้าไปรับราชโองการและกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ ส่วนเผยอวิ๋นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หลังรับราชโองการแล้วก็ถอยกลับไป
การแข่งขันประลองยุทธ์ของต้ายงก็สิ้นสุดลงเช่นนี้เอง เซี่ยโหวเหยียนเฟิงได้อันดับหนึ่งสองประเภท ได้อันดับสองหนึ่งประเภท กลายเป็นผู้ชนะของการประลองนี้ ส่วนเหวยอิงและฉินชิงได้อันดับหนึ่งในการประลองครั้งหนึ่งก็พึงพอใจแล้ว อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของข้าและยงอ๋องก็คือฝ่าบาทมิได้ประกาศผลการเลือกราชบุตรเขย กระทั่งรางวัลที่สมควรพระราชทานก็มิได้ประกาศอันใด นี่…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่