ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 20 หัวใจมีเจ้าของ (1)
หลังจากการประลองยุทธ์สิ้นสุดลง หลี่หยวนจักรพรรดิแห่งต้ายงก็ตรัสถามพร้อมรอยสรวลว่า ฉางเล่อ เจ้าว่าเซี่ยโหวเหยียนเฟิงเป็นอย่างไร
องค์หญิงฉางเล่อตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่เลวเพคะ
หลี่หยวนกล่าวด้วยความยินดียิ่ง หากให้เขาเป็นราชบุตรเขย ฉางเล่อคิดเห็นเช่นไร
องค์หญิงฉางเล่อตอบอย่างนิ่งเรียบ แม้เขาจะดี แต่เสียดายที่หัวใจของลูกเปรียบดั่งสายน้ำที่หยุดไหลแล้วเพคะ
หลี่หยวนกล่าวต่อไปว่า ในเมื่อเจ้าไม่ถูกใจคนผู้นี้ เช่นนั้นที่นี่คนหนุ่มอัจฉริยะที่มีครบทั้งบุ๋นและบู๊อยู่มากมายเพียงนี้ ฉางเล่อ เจ้าต้องใจผู้ใด
จู่ๆ องค์หญิงฉางเล่อก็หลั่งน้ำตาออกมา เดินเข้าไปคารวะพระบิดาก่อนกล่าว เสด็จพ่อ แม้ลูกจะได้กลับมาอยู่ใต้พระบารมีของเสด็จพ่อแล้ว แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นมเหสีของเจ้าแคว้นแห่งหนานฉู่ เจ้าแคว้นยังอยู่ ลูกก็มิใช่คนไร้ยางอาย จะแต่งให้ผู้อื่นได้ที่ไหนกันเพคะ
หลี่หยวนกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า เจิ้นมีเจตนาดีจึงคิดเรื่องราชบุตรเขยเพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับดื้อดึงเพียงนี้ กล่าวจบก็ผลุดลุกขึ้นอย่างโกรธา กำลังคิดจะกล่าวตำหนิเสียหน่อยแต่กลับเห็นองค์หญิงฉางเล่อคุกเข่าลงกับพื้น หยาดน้ำตากลิ้งไหลลงมา แม้ใบหน้างามดุจหยกมิได้ซีดเซียวเช่นยามที่เพิ่งกลับมาถึง แต่ยังคงไร้ซึ่งประกายอย่างที่คนหนุ่มสาวสมควรมี หลี่หยวนทิ้งตัวลงนั่ง เนิ่นนานผ่านไปจึงค่อยกล่าวขึ้นว่า เจิ้นไม่ควรบีบบังคับเจ้า ธิดาข้า เจ้าวางใจเถิด เจิ้นจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก
เมื่อเรื่องนี้แพร่มาถึงหูข้า ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดในใจข้าจึงรู้สึกยินดีนัก องค์หญิงฉางเล่อยังคงรู้เทศะมากด้วยคุณธรรมดั่งภาพที่ประทับอยู่ในความทรงจำของข้า ไม่ว่านางจะรู้สึกต่อเจ้าแคว้นเช่นไรก็ยังรับผิดชอบสุดกำลัง ต่อให้วันหน้านางแต่งงานใหม่อีกครั้ง ข้าก็จะไม่ดูถูกนางอีก
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลับไม่ได้สงบลงเพียงเท่านั้น แม้หลี่หยวนจะปล่อยวางความคิดที่จะให้องค์หญิงฉางเล่อแต่งงานอีกครั้งลงชั่วคราวแล้ว แต่คนอื่นกลับไม่ได้ปล่อยวางด้วย โต้วฮองเฮา เหยียนกุ้ยเฟย และจี้กุ้ยเฟยต่างพากันมาเกลี้ยกล่อมนาง องค์หญิงฉางเล่อทั้งไม่อาจขับไล่พวกนางและไม่อาจเปลี่ยนความคิดของตน
วันนี้เกาซื่อพระชายาแห่งยงอ๋องเสด็จเข้าวัง เมื่อได้ยินเรื่องนี้จึงไปโน้มน้าวจ่างซุนกุ้ยเฟยให้พระนางกล่อมให้องค์หญิงมาพักอยู่ที่จวนยงอ๋องสักหลายวัน รอให้ถึงวันที่สิบห้าเสียก่อนค่อยกลับวังหลวง
จ่างซุนกุ้ยเฟยไม่ได้ตอบรับทันที นางมองเกาซื่อด้วยความลังเลครู่หนึ่ง เรื่องบางเรื่องมีเพียงนางเท่านั้นที่ทราบ เช่นเรื่องขององค์หญิงฉางเล่อ แม้ผู้อื่นจะไม่มาถามไถ่ แต่ตัวนางสอบถามมาแล้ว วันนั้นเมื่อกลับถึงตำหนักนางก็ไปสอบถามนางข้าหลวงข้างกายว่าอีกฝ่ายสังเกตหรือไม่ว่าองค์หญิงมีใจโน้มเอียงไปทางผู้ใด สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางก็คือ นางข้าหลวงลวี่เอ๋อรายงานกลับมาว่า องค์หญิงมักจะมีท่าทีนิ่งเฉย แต่ในยามที่ยงอ๋องเสด็จมา บ่าวเห็นองค์หญิงมองไปทางบุรุษข้างพระวรกายยงอ๋องเพคะ ทั้งยังแย้มสรวลอย่างเปรมปรีดิ์อีกด้วย แต่เมื่อทรงถอนพระเนตรกลับมาก็มีท่าทางปกติดั่งเดิม
จ่างซุนกุ้ยเฟยรู้ดีว่าคนผู้นั้นคือใคร เขาคือเจียงเจ๋อ เจียงสุยอวิ๋น หากตนไปที่ตำหนักชุ่ยหลวนมักจะเห็นธิดาของตนถือม้วนตำราอยู่เล่มหนึ่ง ในตำราคือบทกวีของเจียงเจ๋อ และในหมู่บทกวีเหล่านั้นมีส่วนหนึ่งที่เขียนด้วยลายมือของธิดาตน ส่วนที่เหลือเป็นลายมือที่นางไม่คุ้นเคย นางเคยสอบถามมาแล้วพบว่าเป็นตำราที่เจียงเจ๋อนำมาส่งให้ถึงตำหนักยามที่องค์หญิงประทับอยู่ในหนานฉู่
ที่แท้คนที่ธิดาของตนชมชอบก็คือขุนนางหนานฉู่ที่ถูกปลดจากราชการผู้นั้นหรือ ทว่านางเคยสอบถามบ่าวหญิงที่คอยติดตามปรนนิบัติธิดาของตนมาแล้ว ล้วนกล่าวตรงกันว่ายามธิดาของตนอยู่ที่หนานฉู่ล้วนปฏิบัติตามกฎของสตรีชาววังอย่างเคร่งครัด ไม่เคยประพฤติตัวผิดจรรยาใดๆ ส่วนบทกวีเหล่านั้นก็เป็นเหลียงหวั่นขอมาจากเจียงเจ๋อแล้วนำมาส่งให้ที่ตำหนัก เดิมนางคิดว่าธิดาของตนชอบบทกวีของคนผู้นั้น ทว่าตอนนี้เมื่อดูแล้วเกรงว่าหัวใจของธิดาตนคงมีเจ้าของนานแล้วกระมัง เพียงแค่เมื่อก่อนมีฐานะเป็นอุปสรรคจึงไม่มีโอกาสได้แสดงออก หรืออาจเป็นไปได้ว่าธิดาของตนมิได้มีใจคิดเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อกล่าวถึงเรื่องการคัดเลือกราชบุตรเขยจึงค่อยเกิดความคิดนี้ขึ้นมา ดังนั้นหากให้ธิดาของตนไปที่จวนยงอ๋อง มิแน่ว่าอาจทำให้ธิดาของตนได้พบกับคนผู้นั้นก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม จ่างซุนกุ้ยเฟยยังคงขมวดคิ้วมุ่น หากเป็นคนต้ายง ต่อให้ตำแหน่งหน้าที่จะต่ำต้อยเพียงใด ขอเพียงเป็นคนดีมีคุณธรรมและธิดาของนางชมชอบ นางจะไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น แต่คนผู้นั้นเป็นขุนนางหนานฉู่ที่ถูกปลดออกจากราชการ ต่อให้ธิดาของตนยินดี คนผู้นั้นก็ไม่จำเป็นต้องตอบรับ เพราะถึงอย่างไรธิดาของตนก็เคยเป็นมเหสีของเจ้าแคว้นแห่งหนานฉู่
เมื่อย้อนคิดดูอีกครั้ง จ่างซุนกุ้ยเฟยจึงคิดได้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร หากธิดาของตนไปยังจวนยงอ๋องก็จะได้ผ่อนคลายแน่นอน ส่วนความปรารถนาของนางจะเป็นเช่นไรนั้นย่อมต้องสำรวจให้ดีเสียก่อน เมื่อคิดได้แล้วจ่างซุนกุ้ยเฟยจึงกล่าวไปว่า ฉางเล่อ เจ้าไปเที่ยวเล่นที่นั่นเสียหน่อยก็ดี ลวี่เอ๋อ เจ้าเป็นคนรอบคอบมาตลอด เจ้าก็ตามองค์หญิงไปด้วยแล้วกัน หากองค์หญิงเกิดเรื่องใดให้รีบกลับมารายงานข้าทันที
นางต้องการให้ลวี่เอ๋อไปคอยสังเกตพฤติกรรมขององค์หญิงอย่างลับๆ ดูให้ชัดเจนว่าความในใจขององค์หญิงเป็นเช่นไรกันแน่
ด้วยเหตุนี้องค์หญิงฉางเล่อจึงเสด็จออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงอย่างเบิกบานใจชั่วระยะหนึ่ง เมื่อมาถึงจวนยงอ๋อง พระชายาก็ไปเที่ยวเล่นกับองค์หญิงที่สวนบุปผา สวนบุปผาของจวนอ๋องเริ่มตั้งแต่บริเวณทะเลสาบแห่งนั้นโดยแบ่งเป็นสวนฝ่ายนอกกับสวนฝ่ายใน ใช้พืชพันธุ์และทางเดินตรงกลางเป็นตัวแบ่ง แม้มิได้แสดงขอบเขตชัดเจนนัก ทว่าสวนฝ่ายนอกกับสวนฝ่ายในยังคงแบ่งแยกกันชัดเจน
วันนี้อากาศแจ่มใส อากาศในสวนบุปผาของเรือนในเย็นสบาย พระชายาสั่งให้คนจัดผลไม้ขึ้นโต๊ะ ให้สาวใช้และแม่นมพาหลี่จวิ้นผู้เป็นซื่อจื่อและบุตรีอนุภรรยาอีกสองนางรวมไปถึงโหรวหลันไปเล่นนอกศาลาด้วยกัน ส่วนตนพาชายารองสองนางมานั่งชมทิวทัศน์ในศาลาเป็นเพื่อนองค์หญิง
ทะเลสาบอยู่ไม่ไกล ตอนนี้ท้องฟ้าแจ่มใส น้ำในทะเลสาบใสกระจ่างดุจหยกมรกต มีเด็กๆ หัวเราะหยอกล้อกันอยู่ไม่ไกลดูน่าสนุกและไร้เดียงสายิ่ง องค์หญิงฉางเล่อมองดูอยู่ครู่หนึ่งรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก นางกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า พี่สะใภ้ ข้าจำได้ว่าตอนข้าจากไป เสด็จพี่ยังไม่มีธิดามิใช่หรือ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีบุตรชายหนึ่งบุตรธิดาสามแล้ว
พระชายาหัวเราะ องค์หญิงเดาผิดแล้ว เสด็จพี่ของท่านมีบุตรยาก นอกจากจวิ้นเอ๋อร์ก็มีธิดาอีกสองคนเท่านั้น ส่วนคนเล็กสุดนามโหรวหลัน เป็นธิดาของเจียงเจ๋อ เจียงซือหม่า
องค์หญิงฉางเล่อมือสั่นโดยพลัน พยายามถามกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า อ้อ เจียงซือหม่าแต่งงานแล้วหรือ
พระชายามิได้สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติขององค์หญิงโดยสิ้นเชิง ได้แต่กล่าวต่อไปว่า นางเป็นธิดาบุญธรรมของเจียงซือหม่า ช่างน่ารักน่าชังจริงๆ เคยได้ยินท่านอ๋องบอกว่าท่านซือหม่าตัวคนเดียว พระองค์จึงเป็นกังวล กลัวว่าเขาจะดูแลธิดาบุญธรรมไม่ได้ จึงส่งมาที่เรือนหลังเพื่อให้ข้าคอยดูแล ข้าเคยบอกกับท่านอ๋องแล้วว่าเจียงซือหม่าอายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดแล้ว สมควรแต่งภรรยาได้แล้ว แต่ท่านอ๋องบอกว่าเจียงซื่อหม่าไม่ยินดีแต่งงาน ดูเหมือนจะเป็นเพราะคู่หมั้นคนก่อนของเขาโชคไม่ดีสิ้นชีพไปแล้ว เฮ้อ บุรุษรักมั่นเช่นนี้หาได้ยากจริงๆ
องค์หญิงฉางเล่อรู้สึกเศร้าสลดในใจ ทว่าก็แอบรู้สึกยินดีอยู่รางๆ เมื่อคิดดูแล้ว ตนกับคนผู้นี้ไม่มีวันเป็นไปได้ แม้ดูจากบทกวีจะเห็นได้ว่าเขามีนิสัยรักอิสระ ทว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลไร้คุณธรรม หากจะให้คนผู้นี้ทำเรื่องเช่นการรับมเหสีของเจ้านายเป็นภรรยา เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์หญิงฉางเล่อก็ยิ่งโศกาอาดูร นี่คือบุรุษที่นางหลงรักอยู่เงียบๆ แต่กลับไร้วาสนาต่อกัน นางย้อนคิดไปถึงวันที่ได้อ่านบทกวีของเขา ในใจนางรู้สึกชื่นชมอัจฉริยภาพของเขายิ่งนัก วันนั้นตั้งแต่ที่เหลียงหวั่นพาเขามาพบนาง นางก็สนใจเขาแล้ว แต่จะอย่างไรเชื้อพระวงศ์และขุนนางย่อมมีความแตกต่าง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเผยความคิดออกไปแม้แต่น้อย ภายหลังเขาถูกประนามนางยังลอบรู้สึกยินดีในใจ คิดว่าไม่จำเป็นต้องกังวลแล้วว่าเมื่อหนานฉู่สิ้นชาติเขาจะถูกต้ายงตัดสินโทษ คิดไม่ถึงว่าเขายังคงถูกเสด็จพี่จับตัวเป็นเชลยกลับไปที่ต้ายงด้วยกัน นางรู้สึกเป็นห่วงมาตลอดทาง กลัวว่าเขาจะไม่ยอมจำนนจนกระทั่งถูกเสด็จพี่สังหาร
แม้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นขุนนางของต้ายงแล้วนางก็ยังคงกังวล กลัวว่าเขาจะถูกเสด็จพี่รองลากเข้าไปพัวพัน แต่ไม่ว่าความคิดของนางจะเป็นเช่นไร สุดท้ายก็ไม่อาจลงเอยกับเขาได้อยู่ดี ไม่แม้แต่จะเผยความรักที่ตนมีต่อเขาออกไปได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์หญิงฉางเล่อก็ฝืนยิ้มออกมาพลางกล่าวไปว่า พี่สะใภ้ พาโหรวหลันมาเถิด ให้ข้าดูเสียหน่อย
พระชายาสั่งให้คนไปพาตัวโหรวหลันเข้ามา องค์หญิงฉางเล่อพิศมองดรุณีน้อยผู้นั้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกชมชอบ กระทั่งอดไม่ได้ที่จะอุ้มนางเข้ามากอด โหรวหลันยังเดินไม่เป็น เมื่อครู่ก็ทำเพียงนั่งเล่นอยู่บนพรมใต้ต้นไม้มาตลอด เมื่อเห็นองค์หญิงฉางเล่อผู้มีรูปโฉมงามสง่าก็ยื่นมือออกไปคว้าจับจอนผมขององค์หญิงด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนทำให้เกศาขององค์หญิงฉางเล่อยุ่งเหยิง ทว่าองค์หญิงกลับมิได้บันดาลโทสะ ทำเพียงยกยิ้มทั้งยังหยอกล้อกับดรุณีน้อยผู้น่ารักต่อไป รอยยิ้มของนางทำให้พระชายารู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก ส่วนลวี่เอ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจความรู้สึกขององค์หญิงได้อย่างกระจ่างแจ้งแล้ว
ขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขอยู่นั้นพลันมีเสียงดนตรีดังแว่วมาจากบริเวณทะเลสาบกระจ่างใสที่อยู่ติดกัน เสียงนั้นเจือไปด้วยความสุขเปรมปรีดิ์ที่มิอาจบรรยาย ทั้งยังทำให้ผู้สดับรู้สึกสะท้านไปทั้งใจ นี่คือบทเพลงที่เป็นที่นิยมในหนานฉู่ เมื่อถึงเทศกาลชมดอกเหมยในทุกๆ ปีมักจะได้ยินเสียงเพลงบทนี้ เพลงนี้มีชื่อว่า ‘เหมยเหมันต์’ แม้จะเป็นบทเพลงสั้นๆ ที่แฝงไปด้วยความเรียบง่ายและรื่นเริง อีกทั้งผู้บรรเลงก็มิต้องมีทักษะมากมายอันใด แต่เมื่อฟังแล้วกลับทำให้ผู้สดับรู้สึกราวกับได้พบท้องฟ้าแจ่มใส ประหนึ่งดอกเหมยเบ่งบานยามเหมันต์ เกิดเป็นความรู้สึกเบิกบานในใจ
องค์หญิงฉางเล่อฟังจนสติหลุดลอย ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเสียงเพลงหยุดลง นางจึงกล่าวขึ้นว่า เป็นเจียงซือหม่ากระมัง เขากำลังคิดถึงหนานฉู่หรือ
พระชายาใจสั่น มองไปยังองค์หญิงก่อนกล่าว เป็นเจียงซือหม่าบรรเลงจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเครื่องดนตรีใด แต่ฟังดูแล้วรู้สึกว่าท่วงทำนองมีความสดใสยิ่งนัก น้องสาว วันนี้เจ้ามาได้พอดียิ่ง เจียงซือหม่าคงชมทิวทัศน์อยู่ที่ศาลาหลินโปกระมัง เจียงซือหม่าผู้นี้เมื่อมีเวลาว่างก็มักจะมาชมทิวทัศน์ข้างทะเลสาบอยู่บ่อยๆ หรือไม่ก็อ่านตำราวางหมากอยู่ที่เรือนรับรองแขก ใช้ชีวิตได้อย่างสบายอุรายิ่งนัก ไม่ยุ่งวุ่นวายเหมือนเสนาธิการคนอื่นๆ
ขณะนั้นเอง มีชายหนุ่มอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งเดินเข้ามาแต่ไกล ดูผิวเผินคล้ายชายที่ยังไม่ถึงวัยสวมกวาน รูปโฉมดูดีเกลี้ยงเกลา ทว่าบรรยากาศอ่อนนุ่มคล้ายอิสตรี สาวใช้ล้วนจำเขาได้ดีจึงมิได้ขัดขวาง ชายหนุ่มผู้นั้นเดินมาหยุดอยู่หน้าศาลาก่อนคารวะอย่างนอบน้อม พระชายา คุณชายให้บ่าวมารับตัวคุณหนูโหรวหลันพ่ะย่ะค่ะ