ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 27 ทำลายบุพเพสันนิวาส (2)
ข้ามองเผยอวิ๋นอยู่เงียบๆ ข้ารู้ว่าทุกคำที่เขาพูดล้วนออกมาจากใจจริง สำหรับแม่ทัพผู้ห้าวหาญในสนามรบ สิ่งที่เขาต้องการมิใช่สตรีงามงดดุจนางในภาพวาด เขาต้องการเพียงศรีภรรยาสักคนที่ดูแลครอบครัวได้ สำนักเฟิงอี้คงไม่คิดถึงจุดนี้กระมัง ไม่ใช่บุรุษทุกคนจะชมชอบภรรยาที่รูปโฉมงามล้ำ ความสามารถเป็นเลิศแต่ไม่ถนัดจัดการงานบ้านงานเรือนเหล่านั้น
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ข้าก็ยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า ความจริงท่านแม่ทัพกังวลเกินไปแล้ว บนโลกไม่มีบิดามารดาที่ไม่ลำเอียงรักบุตรธิดา หากท่านแม่ทัพอธิบายกับบิดาว่าต้องการตบแต่งภรรยาที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ท่านผู้เฒ่าไม่มีทางไม่เข้าใจ หากติดขัดด้วยครอบครัวพ่อตาไม่ยอม ท่านแม่ทัพก็ลองแต่งอนุภรรยาสักคนไว้นอกบ้านก่อน รอจนนางให้กำเนิดบุตร บุพการีทั้งสองเห็นหลานแล้วยังจะโกรธลงอีกหรือ
เผยอวิ๋นหวั่นไหวเพราะนึกได้ว่าถึงเวลาตนคงอ้างการฝึกวรยุทธ์เพื่อเลื่อนการแต่งงานไม่ได้อีกแล้ว ข้าเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ทันทีว่าเขาคล้อยตามแล้ว แต่ยังมีเรื่องลำบากใจอยู่ ข้าจึงเอ่ยต่อว่า ท่านแม่ทัพขอถอนหมั้นมาหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยินยอม คงเป็นเพราะเหตุผลในการถอนหมั้นของแม่ทัพไม่หนักแน่นพอ อีกทั้งท่านไม่ต้องการล่วงเกินครอบครัวฝ่ายหญิง ถึงเวลานั้น ท่านแม่ทัพเพียงบอกว่าตนบังเอิญล่วงเกินสตรีอื่นข้างนอกโดยไม่ตั้งใจ จะทอดทิ้งไม่ดูแลก็มิได้ ต่อให้อีกฝ่ายมีเหตุผลเบื้องหลังมากมายเท่าใดย่อมไม่อาจขัดขวางท่านแม่ทัพรับอนุกระมัง หากพวกเขาโกรธจนถอนหมั้นก็ตรงกับความต้องการของท่านแม่ทัพพอดี หากยืนหยันจะแต่งบุตรีมา เรื่องระหว่างสามีภรรยานี้ คนนอกยุ่งย่ามได้หรือ ขอเพียงท่านแม่ทัพโปรดปรานเพียงอนุภรรยา บุพการีทั้งสองก็รักใคร่เอ็นดูหลาน เกรงว่าไม่นานนักภรรยาของท่านก็คงจะเอ่ยขอหย่าเอง
เผยอวิ๋นเอ่ยขึ้นเหมือนใจแข็งทำมิลง แม้แผนการนี้จะดี แต่เกรงว่าจะทำร้ายผู้อื่นมากเกินไป
ข้าเอ่ยเรียบๆ แม้ทำร้ายผู้อื่นชั่วเวลาหนึ่ง แต่ผู้ที่ปรารถนาในตัวคู่หมั้นของท่านแม่ทัพมีมากมาย หากท่านแม่ทัพฝืนตบแต่งภรรยาที่ไม่ต้องใจมา วันข้างหน้าสามีภรรยาไม่ลงรอย เบื้องบนมิอาจดูแลบิดามารดา เบื้องล่างไม่สามารถสั่งสอนบุตรธิดา นี่จึงจะเป็นการผิดต่อคุณธรรม หากคุณหนูเซวียผู้นั้นเป็นสตรีดีงามมีคุณธรรม ข้ากล่าวเช่นนี้ย่อมเป็นการทำลายวาสนามงคลของผู้อื่น ไม่อาจยกโทษให้ แต่คุณหนูเซวีย…
ข้าไม่ได้เอ่ยต่ออีก แต่เห็นเผยอวิ๋นสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว คิดว่าข้าคงพูดไม่ผิด ศิษย์สำนักเฟิงอี้มีสักกี่คนไม่ชอบเตร็ดเตร่ข้างนอก อีกประการหนึ่ง ขนบธรรมเนียมของต้ายงก็เปิดกว้าง แม้แต่สตรีชาวบ้านยังไม่ถือขนบไม่ก้าวออกจากประตูใหญ่ ไม่เหยียบออกจากเรือนใน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีตระกูลใหญ่ที่ชาติกำเนิดสูงศักดิ์เหล่านั้น
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เผยอวิ๋นจึงควบคุมสีหน้าให้สงบได้ เขาหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยขอบคุณข้า ข้าแย้มยิ้มตอบ วันนี้เรื่องในใจท่านแม่ทัพคลี่คลายหมดสิ้นแล้ว มิสู้ดื่มเพิ่มสักหลายจอก
เผยอวิ๋นยกจอกคารวะ ส่วนข้ารินหยาดน้ำค้างดอกท้อจอกหนึ่งแทน สุราเพลิงดาบนั่น ข้าดื่มไม่ไหวหรอก
การเปิดอกคุยกันเมื่อครู่ ทำให้พวกเราสองคนเริ่มสนิทสนม ดังนั้นบทสนทนาจึงค่อยๆ เป็นกันเอง เผยอวิ๋นผู้นี้เมื่อเริ่มพูดถึงเรื่องการทหารก็คุยอย่างออกรส เขาเคยเป็นแม่ทัพผู้หาญกล้าใต้บัญชาของฉีอ๋อง ดังนั้นเรื่องราวมากมายที่เขาเล่าล้วนเกี่ยวข้องกับฉีอ๋อง แม้ฉีอ๋องมิใช่แม่ทัพชื่อเสียงโด่งดังอันใด แต่เขาห้าวหาญไร้ความกลัว อีกทั้งยอมฟังความเห็นของลูกน้อง ดังนั้นจึงได้รับความเคารพจากทหารในกองทัพ เผยอวิ๋นเองก็เล่าถึงเขาด้วยความนับถืออย่างยิ่ง ดูท่าจะดูถูกฉีอ๋องมิได้แล้ว ก่อนหน้านี้ที่เขาโจมตีเซียงหยางล้มเหลวสองครั้งสองครา ความจริงเป็นเพราะเซียงหยางป้องกันอย่างเข้มงวดกวดขัน อีกทั้งการนำทหารออกศึกของเขาก็ขาดเป้าหมายของกลยุทธ์ในภาพรวม ข้าเคยฟังยงอ๋องเล่าว่าผู้ที่นำทัพครานั้นเป็นผู้ที่รัชทายาทสนับสนุน ดูท่าจะเหยียดหยามฉีอ๋องเพราะเรื่องเหล่านั้นคงจะไม่ยุติธรรมกับเขาอยู่บ้าง ขอเพียงมอบผู้ช่วยที่ดีแก่ฉีอ๋องสักหลายคน ฉีอ๋องจะต้องเป็นยอดแม่ทัพที่พิทักษ์บ้านเมืองได้อย่างยอดเยี่ยมแน่นอน
ขณะที่พวกเรากำลังสนทนากันอย่างถูกคอยิ่งนัก ข้าก็ได้ยินเสียงดนตรีเปิดงานเลี้ยงฉลองลอยมาจากด้านหน้า แม้มีห้องหับหลายชั้นกั้นขวางอยู่ก็ยังได้ยินอยู่เลือนราง จึงรู้ว่ายงอ๋องฝั่งนั้นคงเริ่มงานฉลองแล้ว ข้าหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า วันนี้ข้าขัดขวางท่านจากการเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองขององค์ชาย แต่ท่านก็ไม่นับว่าขาดทุนกระมัง สุราที่นี่ของข้า ท่านจะต้องพอใจมากเป็นแน่
เผยอวิ๋นหัวเราะแล้วตอบว่า ขอบคุณสุราเพลิงดาบของใต้เท้าเจียงยิ่งนัก หากไม่เป็นการล่วงเกิน ข้ายังอยากจะขอหิ้วสุรากลับไปสักไห
ข้ากำลังจะเอ่ยตอบ ทันใดนั้นหูของข้าก็ได้ยินเสียงครางแผ่วเบา ในใจข้าพรั่นพรึง ขณะที่เงี่ยหูตั้งใจฟัง เสียงหายใจถี่กระชั้นพร้อมกับเสียงกระดูกหักก็ดังขึ้นอีกครั้ง สวรรค์ มีคนกำลังสังหารองครักษ์ของสวนเหมันต์ ข้าบังคับตนเองให้เยือกเย็นไว้ ข้ารู้ตำแหน่งคร่าวๆ ขององครักษ์โดยรอบชัดเจน ฟังจากเสียงตำแหน่งขององครักษ์สองคนที่ถูกสังหารน่าจะใกล้มาก องครักษ์คนอื่นล้วนอยู่ห่างไปร้อยก้าว เสียงเบาเช่นนี้ข้ามิอาจได้ยิน ข้าเหลือบมองเผยอวิ๋น เขายังไม่รับรู้เรื่องนี้ หลังจากนั้นข้าก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูสวน เสียงนี้ข้าคิดว่าเผยอวิ๋นคงได้ยิน แต่เขาเพียงสนใจวูบเดียวเท่านั้น ข้ามองดูสีหน้าของเขาก็ไม่พบความผิดปกติอันใด ดูท่าเขาคงคิดว่าเป็นข้ารับใช้ของสวนเหมันต์เท่านั้น ข้าวางจอกสุราลง เหตุใดจึงมีคนสังหารองครักษ์ของสวนเหมันต์ได้เล่า ข้าคาดว่าองครักษ์ด้านอื่นก็คงถูกทำร้ายไปแล้ว มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะไม่มีผู้ใดสังเกตว่ามีคนล่วงล้ำเข้ามาในสวนเหมันต์ ดูจากเวลา ยามนี้งานฉลองด้านหน้ากำลังครึกครื้น องครักษ์ส่วนใหญ่ล้วนคุ้มกันอยู่ทางด้านหน้า ดังนั้นเขาจึงบุกรุกเข้ามาง่ายดายเช่นนี้สินะ ทำเช่นไรดี มือไม้ข้าไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ ข้าเหลือบดูเผยอวิ๋น เขาจะพึ่งพาได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็เคยเป็นลูกน้องของฉีอ๋อง
เผยอวิ๋นมองเจียงเจ๋ออย่างประหลาดใจ เหตุใดจู่ๆ เขาจึงเงียบไปเล่า แล้วสีหน้าก็แปลกพิกล เขารวบรวมลมปราณเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ในตอนนั้นเอง หูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น นั่นคือเสียงย่ำกองหิมะในสวน หัวใจของเผยอวิ๋นหนาววูบ เขาฟังออกว่าผู้ที่เข้ามาวิชาตัวเบาสูงส่งยิ่งนัก ฟังจากเสียงนี้บนกองหิมะคงทิ้งรอยเล็กๆ ไว้เพียงรอยเดียวเท่านั้น ยอดฝีมือของจวนยงอ๋องเช่นนั้นหรือ เผยอวิ๋นคิดเช่นนี้ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าไม่ใช่ เพราะการกระทำระมัดระวังเช่นนั้นไม่เหมือนเป็นคนของจวนยงอ๋อง เขามองบนร่างตนแล้วพบว่าไม่ได้พกอาวุธมา แม้เขาถนัดวิชาหมัดเท้า แต่มีอาวุธสักชิ้นย่อมดีกว่า เขาเอ่ยเสียงเบากับเจียงเจ๋อทันที ใต้เท้าเจียง ด้านนอกมีคนเข้ามา เหมือนจะไม่ใช่คนของจวนอ๋อง ที่นี่มีอาวุธหรือไม่
ข้ามองเผยอวิ๋น ดูท่าทางเขาจะเชื่อใจได้ ชีวิตข้าคงต้องฝากไว้กับเขาชั่วคราวแล้ว เกรงว่าคนที่มาคงไม่มีเจตนาดี แต่ข้างกายข้าไม่มีสิ่งใดใช้เรียกองครักษ์ด้านหน้ามาได้ บนตัวองครักษ์ที่ถูกสังหารเหล่านั้นมีนกหวีดทองแดงอยู่ แต่ข้าไร้หนทางเอามา ไม่รู้ว่าเผยอวิ๋นจะขวางคนด้านนอกไว้ได้หรือไม่ หากไม่มีผู้ใดเร่งรีบมาทันเวลา เกรงว่าชีวิตข้าคงจบสิ้นแล้ว
ข้าหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากตู้ใบนั้นอย่างไม่ลังเล นี่เป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวในห้องนี้ แม้ปิ่นเล่มนั้นบนศีรษะข้าจะคมอย่างยิ่ง แต่ข้าไม่คิดว่าเผยอวิ๋นจะใช้มันได้
เผยอวิ๋นขมวดคิ้วแล้วส่งมีดสั้นให้ข้า ท่านเก็บไว้ป้องกันตัว ข้ายิ้มเจื่อนแล้วมองมีดสั้นอันประณีตเล่มนี้ มีดน้อยเล่มนี้เดิมทีเอาไว้ใช้หั่นเนื้อ หากอยู่ในยอดฝีมืออาจใช้ฉกชิงวิญญาณแย่งชิงชีวิตได้ แต่อยู่กับข้าใช้ประโยชน์อันใดได้เล่า แต่ข้าก็ยังรับไว้ ในเมื่อเผยอวิ๋นมีวิชาหมัดเท้าร้ายกาจ มอบให้เขาไป เขาก็ไม่ได้ใช้ เวลานี้เอง นอกประตูก็มีเสียงคนเอ่ยแผ่วเบา ใต้เท้าเจียง องค์ชายทราบว่าท่านไม่ต้องการร่วมงานเลี้ยงด้านหน้า จึงรับสั่งให้ผู้น้อยนำสุรามามอบให้
เผยอวิ๋นสีหน้าผ่อนคลายลงแล้วมองข้าอย่างกระอักกระอ่วนคล้ายรู้สึกว่าตนเองระแวงมากเกินไป แต่ข้ากลับจับแขนเขาแล้วส่ายศีรษะ ไม่มีทางเป็นคนของยงอ๋อง องค์ชายรู้นิสัยของข้า เขาไม่มีทางให้คนแปลกหน้ามาส่งสุรา หากเขาให้เสี่ยวซุ่นจื่อกลับมาจึงจะเป็นเรื่องปกติ แต่คนแปลกหน้า เป็นไปไม่ได้
ข้าเอ่ยเสียงราบเรียบ ผู้ใดอยู่นอกประตู เชิญเข้ามาคุยกันเถิด
ประตูเปิดออกอย่างเงียบเชียบ บุรุษวัยกลางคนผู้สวมเครื่องแบบองครักษ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขามีหน้าตาดาษดื่นจนทำให้ผู้ใดมองผ่านก็ลืมได้ทันที ข้ามองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนของจวนยงอ๋อง อีกทั้งข้ายังได้กลิ่นสองชนิดจากตัวเขา อย่างแรกคือกลิ่นน้ำมันและควันไฟของห้องครัว อีกอย่างหนึ่งคือกลิ่นคาวเลือดจางๆ ข้ามองเขาแล้วถามอย่างเย็นชา ท่านคือพ่อครัวหนานฉู่ที่เพิ่งมาใหม่หรือ?
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นตกตะลึง เผยอวิ๋นเองก็มองข้าอย่างประหลาดใจ ข้าไม่สนใจท่าทางงุนงงของพวกเขา แต่ถามขึ้นอย่างเย็นชาอีกประโยค เหตุใดต้องมาสังหารข้า ผู้ใดสั่งเจ้ามา
เผยอวิ๋นจ้องบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเขม็งทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความระวัง
สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเปลี่ยนจากนิ่งสงบเป็นโหดเหี้ยมอำมหิตในฉับพลัน เพียงชั่วพริบตา องครักษ์ผู้ธรรมดาสามัญคนนั้นก็หายไป กลายเป็นมือสังหารเลือดเย็นคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเรา เผยอวิ๋นก้าวไปด้านหน้าขวางหน้าข้าไว้
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นหัวเราะทันที เขาถามขึ้นว่า เจียงจ้วงหยวนทราบได้เช่นไรว่าข้าคือมือสังหาร
สีหน้าข้าเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคือเพชฌฆาตใจทมิฬ มือสังหารอันดับหนึ่งของกองทัพหนานฉู่ ก่อนหน้านี้ฟังคำสั่งเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ย ยามนี้คงฟังคำสั่งหรงเยวียนแล้วสินะ
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาเอ่ยอย่างเย็นชา มิน่าชินอ๋องจึงสั่งเสียไว้ หากเจียงเจ๋อเข้ากับฝ่ายศัตรู ต้องทุ่มกำลังสังหารเขาให้จงได้
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ข้าก็ทนรับไม่ไหว กระอักเลือดคำหนึ่งออกมาจากมุมปาก แล้วทรุดลงไปนั่งอย่างเชื่องช้าก่อนจะหลับตาลง