ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 35 รอดพ้นความตาย (2)
เสี่ยวซุ่นจื่อฟังแล้วพลันหน้าซีดเผือด เขามองซังเฉินโดยไม่พูดสักคำ ซังเฉินส่ายศีรษะนิดๆ แล้วถอนหายใจไม่พูดต่อ
ข้าเพิ่งก้าวผ่านห้วงความเป็นความตายก็ได้ฟังข่าวเช่นนี้ แต่สิ่งที่แปลกก็คือในใจข้ากลับไม่เสียใจแม้แต่น้อย ข้ายิ้มจาง นี่คงเป็นชะตาลิขิตของเจียงเจ๋อ ต่อให้ก่อนหน้านี้เจียงเจ๋อคิดหลบไปอยู่อย่างสงบ แต่วันนี้ได้รับความเมตตาจากยงอ๋องเช่นนี้ หากไม่ตอบแทน ไยมิใช่ยากสงบใจไปชั่วชีวิต อีกประการหนึ่งหากใจไม่สงบ ต่อให้ขึ้นเขาบำเพ็ญตนจะมีประโยชน์อันใด ศิษย์ไม่กล้าปิดบัง ตัวข้ามีความแค้นต่อผู้ที่สังหารภรรยา หากแค้นนี้ยังมิได้ชำระคงตายตาไม่หลับ เช่นนี้จะตั้งใจรักษาตัวได้เช่นไร
ทว่าเวลาสิบปีเพียงพอแล้ว ศิษย์มั่นใจว่าตนเองจะล้างแค้นและช่วยยงอ๋องทำการใหญ่สำเร็จ ถึงยามนั้นคงเดินทางท่องลำน้ำ มิสนเป็นตาย มองลาภยศดุจเมฆา เป็นเช่นนั้นไยมิใช่สุขสำราญใจ หากชีวิตเป็นดังนี้ ตายไปมีสิ่งใดคิดแค้นอีกเล่า
เสี่ยวซุ่นจื่อเริ่มแรกสีหน้าซีดเผือด แต่เมื่อฟังจนถึงตรงนี้สีหน้าก็เปลี่ยนกลับมาเป็นนิ่งสงบ ซังเฉินมองเขาแวบหนึ่งแล้วถามว่า เจ้าจะปล่อยให้นายท่านของเจ้าทำตามใจหรือ
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างนอบน้อม ในเมื่อคุณชายปรารถนาเช่นนี้ บ่าวย่อมแล้วแต่คุณชาย อย่างมากที่สุดบ่าวก็เดินทางติดตามไปยมโลกด้วยเท่านั้น คงไม่ปล่อยให้คุณชายเดียวดาย
เขากล่าวเช่นนี้ ข้ากลับไม่ซาบซึ้ง หลังจากผ่านความเป็นความตายมา ความคิดหลายอย่างของข้าก็ล้วนไม่เหมือนเดิม ต่อให้เสี่ยวซุ่นจื่อยอมตายเป็นเพื่อนข้า ข้าก็รู้สึกเพียงมีสหายร่วมทางเยือนปรโลกเพิ่มคนหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างด้วยฝีมือของข้าจะทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อมีสิ่งใดยากลำบาก ดังนั้นข้าจึงมองเขาอย่างนิ่งสงบแล้วแย้มรอยยิ้มเล็กน้อย แสดงออกว่ารับรู้ถึงความทุ่มเทของเขา เขาพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ข้าพยายามมีชีวิตอยู่ต่อเพิ่มอีกสักหลายปีก็เท่านั้น
ซังเฉินยิ้มเจื่อน เอาเถิด เรื่องนี้แล้วแต่เจ้า ช่วงนี้ข้าจะช่วยเจ้าบำรุงร่างกายให้ดีขึ้นสักหน่อย หลังจากนั้นก็ต้องดูตัวเจ้าเองแล้ว
ข้าถามอย่างสงสัย เหตุใดท่านอาจารย์ยังออกเดินทางอีกเล่า ท่านอาจารย์ก็อายุมากปูนนี้แล้ว ไยยังใช้สี่คาบสมุทรเป็นบ้านอีกเล่า
ซังเฉินตอบอย่างเฉยเมย ข้าอายุมากแล้ว ไม่ต้องการพัวพันกับการต่อสู้แย่งชิงทางโลก ที่แห่งนี้คลื่นถาโถม ข้าไม่เยาว์วัยเช่นพวกเจ้าคงรับมือคลื่นลมไม่ไหว แต่อายุของข้าก็ไม่น้อยจริงๆ ครั้งนี้ข้าเตรียมจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ที่บ้านเกิด หากวันหน้าเจ้ามีเรื่องอันใดก็ไปหาข้าที่เมืองเผิงไหลในตงไห่ได้
ข้าพยักหน้าตอบ ท่านอาจารย์กล่าวถูกแล้ว หากสถานการณ์สงบลง ข้าก็อยากไปชมทิวทัศน์ของแดนสวรรค์โพ้นทะเลเช่นกัน
ท่านหมอซังลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า สุยอวิ๋น คู่แค้นของเจ้าคือสำนักเฟิงอี้หรือ
ข้าสะท้านเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เหตุใดท่านอาจารย์จึงเอ่ยเช่นนี้ สำนักเฟิงอี้เป็นเจ้ายุทธภพ เป็นผู้นำทางจิตใจของฝ่ายธรรมะ แล้วยังมีความดีความชอบต่อต้ายง ข้าจะเป็นศัตรูกับพวกนางได้เช่นไร
ซังเฉินเอ่ยอย่างนิ่งสงบ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ากับสำนักเฟิงอี้ไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน ยามเจ้าสำนักเฟิงอี้สร้างชื่อ ข้าก็อายุสี่สิบปีแล้ว แม้นางอยากเชิญข้าไปเป็นพรรคพวกหลายครั้ง แต่ข้าไม่ตกลง ครั้งนี้พวกนางมาขอให้รักษาถึงที่ ข้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเหลียงหวั่นผู้นั้นถูกพิษที่ปรุงจากหญ้าสะบั้นบุญคุณ หญ้าสะบั้นบุญคุณมิมียาใดรักษาได้ ผู้ที่ครอบครองสมุนไพรชนิดนี้บนโลกมีเพียงเจ้ากับข้าสองคน
ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าต้องเป็นการกระทำของเจ้าเป็นแน่ แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่เคยกระทำเรื่องไร้เหตุผล ข้าจึงไม่ได้บอกพวกนาง ได้แต่บอกว่าหากดูแลให้ดี เหลียงหลั่นอาจฟื้นกลับเป็นปกติ ทว่าความทรงจำในอดีตมิอาจเรียกกลับคืน
ข้าสบายใจขึ้นเล็กน้อยแล้วย้อนถามกลับ อาจารย์ไม่ตำหนิข้าที่ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้หรือ
ซังเฉินยิ้มจางตอบว่า ข้าไม่ยุ่งเรื่องทางโลก แต่หญ้าสะบั้นบุญคุณชนิดนี้ออกจะโหดร้ายเกินไป หลังจากนี้อย่าได้ใช้เลย
ข้าถามอีกว่า อาจารย์คิดเห็นเช่นไรกับสำนักเฟิงอี้
ซังเฉินมองข้าอย่างแฝงความนัยก่อนจะเอ่ยว่า เจ้าสำนักเฟิงอี้เป็นคนน่าสงสาร คนน่าชิงชังย่อมมีเรื่องราวน่าเวทนา เจ้าจะทำสิ่งใด ข้าไม่อาจตำหนิ แต่อย่าได้ทำร้ายร่างกายตน หากมีความแค้น เจ้าจงระลึกเพียงศัตรูคือผู้ใด แต่ความเคียดแค้นลืมเลือนเสียดีกว่า เพลิงแค้นที่แผดเผาหัวใจกัดกร่อนกระดูก ไม่จดจำจึงจะดีต่อตนเอง
ข้าค้อมกายคำนับอย่างโล่งใจ ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนักที่สอนสั่ง
คนผู้เดียวบนโลกใบนี้ที่ข้าจะยอมฝืนใจเชื่อฟังแสดงชัดว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของข้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่กังวลสิ่งใดแล้ว แม้ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ซังกับสำนักเฟิงอี้มีอดีตอันใดต่อกัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอีกต่อไป
ซังเฉินถอนหายใจ ตั้งแต่ตนพบเด็กคนนี้คราแรกก็รู้สึกว่านิสัยเข้ากันได้ แม้อายุเสมือนปู่กับหลานอีกทั้งตนก็มองเขาเป็นหลายชายจริงๆ แต่ซังเฉินย่อมรู้ว่าตนจะไม่พยายามเปลี่ยนความตั้งใจของเขา
ฟ่านฮุ่ยเหยาเจ้าสำนักเฟิงอี้เคยร่ำสุรากับเขาหลายครั้ง สตรีนางนี้เป็นดั่งแสงสว่างเจิดจ้า แม้ตนเคยชินกับการมีชีวิตอยู่ลำพัง แต่ครั้งหนึ่งก็เคยหวั่นไหวกับนางจนมอบคัมภีร์ไท่หยินซินเล่มชำรุดที่ตนเก็บรักษาไว้ให้แก่นาง
หากไม่มีคัมภีร์เล่มนั้นที่ตนมอบให้ เชื่อว่านางก็คงไม่มีความสำเร็จในวันนี้ หรืออย่างน้อยก็ต้องช้าลงอีกสิบปี เขาไม่เคยนึกเสียใจ เพราะวรยุทธ์สำหรับเขาแล้วมิใช่สิ่งสำคัญ แต่ในเมื่อเด็กคนนี้ต้องปะทะกับเจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่ช้าก็เร็ว เขาจึงถ่ายทอดวรยุทธ์ทั้งหมดให้แก่หลี่ซุ่น คิดว่าเป็นเช่นนี้ หลี่ซุ่นคงจะปกป้องเจียงเจ๋อได้ดีกว่าเดิม
ซังเฉินมองดูเจียงเจ๋อแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ เดี๋ยวข้าจะไปแล้ว เจ้าจงรักษาตัวให้ดี
ข้ารีบเอ่ย วันนี้ฉุกละหุกนัก อยู่ต่ออีกสักสองสามวันเถิด ข้าจะได้ไปส่งอาจารย์ด้วย
ซังเฉินยิ้มน้อยๆ ตอบว่า ไม่ต้อง ร่างกายของเจ้าไม่แข็งแรง ไปส่งข้าทำอันใด
ตอนนี้เอง น้ำเสียงเบิกบานใจก็ดังมาแต่ไกล อะไรกัน ผู้ใดจะจากไปหรือ
ข้าเงยหน้ามองก็เห็นยงอ๋องหลี่จื้อพาซือหม่าสยงเดินเข้ามา จึงแจ้งว่า องค์ชาย ท่านหมอซังกำลังจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้แล้ว
หลี่จื้อรีบเอ่ย เหตุใดท่านหมอจึงรีบร้อนเช่นนี้ ครั้งก่อนท่านช่วยชีวิตข้าไว้ยังไม่ทันตอบแทน ครั้งนี้ยังช่วยชีวิตเจียงซือหม่าอีก หากไม่อยู่ต่ออีกสักสองสามวัน คนคงกล่าวกันว่าข้าต้อนรับไม่ดี
ซังเฉินเอ่ยอย่างนิ่งสงบ อยู่ต่อก็หามีประโยชน์ไม่ สุยอวิ๋นไม่เป็นอันใดมากแล้ว ข้ายังมีธุระรอให้ไปทำ ดังนั้นจึงต้องขอตัวก่อน
หลี่จื้อเห็นซังเฉินเอ่ยอย่างแน่วแน่จึงรู้ว่ามิอาจฝืนรั้ง เขาสั่งให้คนนำเงินทองและมณีล้ำค่าออกมาแล้วเอ่ยว่า ข้ามิกล้าฝืนรั้ง แต่ขอท่านหมอโปรดรับเงินทองของมีค่าเหล่านี้ไว้ด้วย มิกล้าถือเป็นค่าตอบแทน เป็นเพียงค่าเดินทางเท่านั้น
ซังเฉินเอ่ยเรียบเฉย สุยอวิ๋นเป็นคนรู้จักแต่เก่าก่อนของข้า หากมิใช่องค์ชายประทานยาล้ำค่าให้อย่างมิเสียดาย เกรงว่าเขาคงสิ้นใจนานแล้ว ผู้แซ่ซังรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่ง จะกล้ารับเงินทองได้เช่นไร
ครั้งนี้ยงอ๋องไม่ยอมรับปาก รบเร้าขอให้ท่านหมอซังรับเอาไว้ ข้ารู้นิสัยของอาจารย์ดี ไม่ต้องการให้พวกเขายื้อกันไปมา จึงเอ่ยกล่อมว่า อาจารย์ รับเงินทองเหล่านี้เอาไว้เถิด หากลือกันว่ายงอ๋องไม่แม้แต่จะให้ค่าเดินทางเกรงว่าคงไม่น่าฟัง แล้วอีกอย่างอาจารย์ก็ช่วยรักษาคนยากคนจนอยู่เป็นปกติ พวกเขาไม่มีเงินซื้อยา มักต้องลำบากอาจารย์ควักเงินช่วยเหลือ เงินทองเหล่านี้ขององค์ชาย อาจารย์ถือเสียว่ารับไว้แทนพวกเขาเถิด
คำพูดเหล่านี้ของข้าตีตรงเข้าจุดสำคัญ แม้อาจารย์ซังหัวใจเย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่หากพบคนป่วยกลับต้องรักษาให้ได้ แน่นอนย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องควักกระเป๋าของตนเอง เขาจึงมักจะกระเป๋าแห้งโหวงเหวงอยู่เสมอ โชคดีที่เขาเคยช่วยคนมานับพันนับหมื่น ไปถึงที่ใดล้วนมีคนต้อนรับ ทว่าคนเหล่านี้คงไม่รู้หรอกว่าอาจารย์ซังจดจำไม่ได้แม้แต่น้อยว่าพวกเขาเป็นผู้ใด
ซังเฉินคิดว่าเจียงเจ๋อกล่าวมีเหตุผลทีเดียวจึงรับเงินทองเอาไว้จากนั้นก็ขอตัวจากไป ยงอ๋องไปส่งด้วยตนเอง แต่ข้าถูกห้ามมิให้ตามไป ได้แต่เบิ่งตามองอาจารย์ซังเดินออกจาสวนเหมันต์ เฮ้อ บนโลกใบนี้ข้าเหลือญาติผู้ใหญ่คนนี้เพียงคนเดียว พบหน้ากันไม่กี่วันก็ต้องจาก ความเศร้าโศกของการลาจากผุดพรายในหัวใจ มีเพียงพลัดพรากจากลา ให้หมองหม่นดุจวิญญาณวางวาย
เสี่ยวซุ่นจื่อออกไปส่งแทนข้าไม่นานก็กลับมาอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยสีหน้าลังเล คุณชาย ต้องสืบการติดต่อระหว่างท่านหมอซังกับเจ้าสำนักเฟิงอี้หรือไม่ เรื่องนี้เหมือนจะไม่เคยมีข้อมูลมาก่อน
ข้าเอ่ยอย่างไม่สนใจ ไม่จำเป็น อาจารย์ซังเป็นคนเช่นไร ข้ารู้ดียิ่งนัก ในเมื่อเขาบอกว่าไม่ยุ่งก็คือไม่ยุ่ง หากพวกเราสังหารเจ้าสำนักเฟิงอี้ อาจารย์ซังย่อมไม่ถือโทษ ขอเพียงพวกเราไม่ใช้วิธีที่โหดร้ายเกินควรกับเจ้าสำนักเฟิงอี้เป็นพอ อีกประการหนึ่ง เจ้าสำนักเฟิงอี้เป็นผู้ใด ต่อให้พวกเราทำลายทั้งสำนักเฟิงอี้ก็ไม่แน่ว่าจะทำร้ายนางได้
เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ถามขึ้นว่า หากอนาคตเจ้าสำนักเฟิงอี้หนีรอดไปได้ ไยไม่ใช่มีเภทภัยตามมาไม่จบสิ้น อย่างไรก็ต้องหาวิธีพันธนาการนางไว้ให้ได้จึงจะสมควร
ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วยิ้มน้อยๆ เรื่องนี้ย่อมมีวิธีอยู่ แต่ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หากเจ้ารับมือเจ้าสำนักเฟิงอี้ได้ร้อยกระบวนท่าโดยไม่พ่าย ถ้าเช่นนั้นข้าก็มีหนทางชนะ
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยด้วยสีหน้าแน่วแน่ คุณชายโปรดวางใจ ข้าจะทำให้ได้
ข้ายิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า เหตุใดองค์ชายจึงยังไม่กลับมาอีก วันนี้เขามาหาจะต้องมีเรื่องหารือกับข้าแน่
เสี่ยวซุ่นจื่อทำสีหน้าประหลาดพิกลในทันใด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า เมื่อครู่องค์ชายได้รับข่าวสารบางอย่างจึงยังไม่มา คิดว่าอีกสักประเดี๋ยวก็คงมาแล้ว เขาเพิ่งเอ่ยจบ ข้าก็เห็นร่างของหลี่จื้อ แต่ข้าไม่ทันได้จี้ถามเสี่ยวซุ่นจื่อว่าเหตุใดจึงทำหน้ากระอักกระอ่วนเช่นนั้น