ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 39 ไล่ล่าพันลี้ (2)
จันทราสลัว ดาราเร้นแสง เพชฌฆาตใจทมิฬผู้สวมชุดสีดำทั้งตัวยืนอยู่บนชายฝั่งแม่น้ำมองดูพงต้นกกฝั่งตรงข้ามที่หม่นหมัวใต้แสงจันทร์ สถานที่แห่งนี้คือชานเมืองอำเภอก่วงจี่ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอำเภอหย่งหนิงแห่งเมืองฉีโจวกับหมู่บ้านเถียนเจีย แม้ท่าข้ามฟากน้อยตรงนี้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่เป็นสถานที่ซึ่งเขาคุ้นเคยที่สุด
ที่แห่งนี้อยู่ตรงชายขอบอันห่างไกลของสามอำเภอ แม่น้ำฉางเจียงอันเชี่ยวกรากไหลผ่านสองฟากฝั่งของที่แห่งนี้ ทิวเขาเหลื่อมซ้อนบดบัง แมกไม้เขียวชอุ่ม อีกทั้งสายน้ำก็แคบมาก เป็นจุดข้ามฟากที่สายลับจากหนานฉู่กับต้ายงมักใช้เป็นประจำ
เขามองอักษรขนาดใหญ่คำว่า ด่านฉู่เจียง บนหน้าผาตัดชันอีกฟากฝั่งแม่น้ำ แต่ในใจกลับไม่ผ่อนคลายแม้แต่น้อย แม้สถานที่นี้เป็นทำเลดีที่สุดในการลอบข้ามแม่น้ำ ซึ่งมีเพียงผู้ใช้ชีวิตในเงามืดเท่านั้นที่รู้จัก แต่ยามนี้ผู้ที่ไล่ล่าตนไม่ใช่สายลับในกองทัพ ก็เป็นยอดฝีมือในยุทธภพของต้ายง ที่แห่งนี้จะต้องมีพวกเขาซุ่มซ่อนอยู่แน่ เพียงข้ามแม่น้ำฉางเจียงแคบเท่าผืนผ้านั่น ตนก็จะปลอดภัย แต่เรื่องนี้ง่ายดั่งพูดเสียที่ไหน
ตลอดทางที่ผ่านมา ทุกย่างก้าวของเขาเหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง ยงอ๋องออกคำสั่งไปทั่วทุกด่านในเขตแดนต้ายง แม้เขาปลอมตัวอำพรางกายก็ยังเปิดเผยร่องรอยหลายครั้ง โชคดีที่วรยุทธ์ของเขาเหนือกว่าผู้อื่น อีกทั้งการอำพรางร่อยรอยและซ่อนตัวเป็นจุดแข็งของเขา เขาจึงโชคดีหนีรอดมาได้
แต่สิ่งที่น่าชังที่สุดก็คือชาวยุทธภพซึ่งไม่ได้อยู่ใต้บัญชาของทางการบนแผ่นดินต้ายงก็มุ่งเป้ามาที่เขาด้วย สาเหตุประการหนึ่งก็เพราะยงอ๋องเป็นผู้มีฐานะสูงส่งในใจพวกเขา ส่วนสาเหตุอีกประการหนึ่งกลับทำให้เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เซี่ยโหวหยวนเฟิงได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดฝีมือหนุ่มอันดับหนึ่งแห่งต้ายงเพราะเขาเอาชนะเผยอวิ๋นแม่ทัพกองราชองครักษ์ได้ในการประลองยุทธ์ แต่คนมากมายล้วนคิดว่าหากสู้กันต่อ ผลแพ้ชนะของทั้งสองคนก็ยังไม่แน่ ดังนั้นหลังจากยอดฝีมือหนุ่มฉกรรจ์ในยุทธภพเหล่านั้นรู้ว่าเขากับเผยอวิ๋นสู้กันแล้วผลปรากฏว่า ‘พ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝั่ง’ พวกเขาจึงคิดว่าหากเอาชนะเขาได้ก็จะมีคุณสมบติท้าสู้กับเซี่ยโหวหยวนเฟิง
ด้วยเหตุนี้ ยอดฝีมือหนุ่มที่มีลูกเล่นสารพัดเหล่านี้จึงเริ่มเข้ามาพัวพัน หลังจากเขาฝ่าวงล้อมได้หลายครั้งเข้า ครานี้เหล่าชายหนุ่มก็รู้สึกเสียหน้าจนพูดกันไปว่าหากเพชฌฆาตใจทมิฬมีชีวิตรอดกลับหนานฉู่ได้ ถ้าเช่นนั้นยอดฝีมือในยุทธภพของต้ายงก็เสียหน้าหมดสิ้นแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงถูกศัตรูล้อมรอบด้านอย่างแท้จริง แม้โชคดีมาถึงที่แห่งนี้ได้ แต่เกรงว่าด้านหน้าคงมีคนดักรอตนอยู่แล้ว เขาแย้มรอยยิ้มน้อยๆ กระชับเสื้อผ้าบนร่างตนให้ดีแล้วจึงยืดอกมุ่งไปทางชายฝั่งแม่น้ำ
ขณะที่อยู่ห่างจากชายฝั่งแม่น้ำไม่ถึงร้อยก้าว เขาก็ได้ยินเสียงสายธนูดีดผึง ลูกธนูสีเงินดอกหนึ่งเฉียดผ่านข้างแก้มเขาประหนึ่งสายฟ้าแล้วหายลับไปท่ามกลางความมืดของค่ำคืน เพชฌฆาตใจทมิฬหยุดยืนนิ่งทันทีแล้วหันกลับไปช้าๆ ภายใต้ความมืดของราตรี เขาเห็นชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งถือคันศรสีเงินมองตนเองอยู่อย่างย่ามใจ สตรีอาภรณ์แดงคนหนึ่งกำลังแย้มรอยยิ้มหวานหยดอยู่ข้างกายเขา
เพชฌฆาตใจทมิฬเปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขาเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ ดี ที่แท้ก็ศรเงินเจ้าสำราญตวนมู่ชิวกับรากษสเพลิงเฉียวเยี่ยนเอ๋อร์นี่เอง วันนั้นหากไม่ถูกพวกเจ้าลอบสังหาร ท่านอ๋องจะบาดเจ็บได้เช่นไร หากวันนี้สังหารพวกเจ้าได้ ข้าก็เดินทางมาต้ายงไม่เสียเที่ยวแล้ว
ยามนี้เอง ด้านหลังพลันมีคนหัวเราะเบาๆ โถ ตวนมู่ชิว ความดีความชอบครั้งใหญ่ของพวกเจ้ายังมีคนจดจำได้เสียด้วย น่าเสียดาย หากวันนั้นพวกเจ้าทำสำเร็จคงยิ่งดี
เรือลำน้อยล่องมาจากกลางแม่น้ำพร้อมกับเสียงหัวเราะใสกังวาน นักพรตหนุ่มใบหน้าซูบผอมผู้หนึ่งยืนอยู่บนนั้น สองแขนของเขายาวกว่าคนปกติเล็กน้อย ประกอบกับหน้าตาผ่องใสไม่ธรรมดาของเขาจึงแลดูมีกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญพรต แต่ดวงตาทั้งคู่กลับร่าเริงมีชีวิตชีวา บ่งบอกว่าเป็นผู้ที่นิสัยเปิดเผยผู้หนึ่ง
ตวนมู่ชิวได้ยินคำพูดของเขาก็ยิ้มเฝื่อนอย่างอดไม่อยู่ แล้วเอ่ยขึ้นว่า ไผ่ระทม ปากสุนัขของเจ้ามิเคยพ่นคำดีๆ
ตอนนี้เอง ซ้ายขวาสองฝั่งต่างก็มีคนหลายคนก้าวออกมา ฝั่งซ้ายคือดรุณีน้อยงดงามดุจเทพเซียนสองนาง ผู้หนึ่งงามสง่าดั่งนางสวรรค์ ผู้หนึ่งสดใสไร้เดียงสา ฝั่งขวาคือชายหนุ่มหน้าตาเหมือนกันทุกประการสามคน ดรุณีน้อยสองนางนั้นพกกระบี่ยาวอยู่ข้างเอว ส่วนชายหนุ่มทั้งสามผู้หนึ่งใช้ดาบ ผู้หนึ่งถือทวน อีกผู้หนึ่งพันแส้อ่อนเส้นหนึ่งไว้บนมือ
เพชฌฆาตใจทมิฬยิ้มน้อยๆ มีแต่พวกเจ้าไล่ตามมาทันอย่างที่คาด จะว่าไปแล้วก็แปลก คนของจวนยงอ๋องไม่ร้อนใจ แต่รัชทายาท ฉีอ๋อง กับสำนักเฟิงอี้กลับร้อนรนยิ่งนัก
คำพูดนี้ประหนึ่งกระบี่แหลมคมทิ่มแทงหัวใจผู้คน นอกจากชายบนเรือลำน้อยผู้นั้น คนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นล้วนเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน เพชฌฆาตใจทมิฬปลดถุงหนังที่เอวออกมาดื่มสุราเลิศรสคำหนึ่งอย่างอ้อยอิ่ง ต้ายงดีเสียทุกสิ่ง แต่สุราที่นี่กลับสู้สุรารสเลิศของหนานฉู่มิได้ เฮ้อ ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน หลังข้ามแม่น้ำค่อยไปลิ้มรสสุราเลิศรสในโรงสุรา วันนี้พวกเจ้าผู้ใดจะเข้ามาก่อน ศรเงินกับรากษสใต้สังกัดฉีอ๋อง หรือจะเป็นสามคุณธรรมแห่งจงโจวของจวนรัชทายาท หรือจะเป็นแม่นางสามกับแม่นางเจ็ดแห่งสำนักเฟิงอี้ หรือว่าจะปล่อยให้ท่านนักพรตไผ่ระทมผู้ล่องอยู่ในสายธารเป็นผู้ลงมือทำภารกิจของพวกเจ้า
ชายหนุ่มทั้งสามก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ชายหนุ่มผู้ใช้ดาบเอ่ยอย่างเย็นชา เพชฌฆาตใจทมิฬ เจ้าจะอาละวาดในจวนยงอ๋องก็เรื่องของเจ้า แต่ดันลากรัชทายาทให้ถูกผู้อื่นสงสัยไปด้วย องค์ชายจึงมีรับสั่งให้ส่งตัวเจ้าไปรับโทษที่จวนยงอ๋อง หากเจ้ามอบตัวแต่โดยดีก็แล้วไป แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น อย่าโทษว่าพวกเราลงมือไม่ไว้ไมตรี
เพชฌฆาตใจทมิฬยิ้มบาง ก็ดี ให้ข้ารับการสั่งสอนจากท่าประสานของทั้งสามท่านหน่อยเถิด ได้ยินว่าสามพี่น้องร่วมครรภ์มารดา จิตใจเชื่อมถึงกัน วันก่อนประมืออย่างรีบร้อนยังไม่ทันได้รับการสั่งสอน วันนี้มีเวลาแล้ว ทั้งสามท่าน เชิญ
ชายหนุ่มทั้งสามยกเท้าก้าวมาข้างหน้า แม้เหยียบลงพร้อมกัน แต่ระยะก้าวเท้าต่างกันเล็กน้อย ชายหนุ่มที่ใช้ดาบผู้นั้นนำอยู่ด้านหน้า อีกสองคนตามหลังเขาอยู่ครึ่งก้าว ทั้งสามคนสืบเท้าเข้ามาเช่นนี้ จังหวะที่เหลื่อมล้ำแต่สอดประสานนั่นทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจอย่างไร้สาเหตุ เมื่อก้าวมาได้สองสามก้าว ร่างกายของทั้งสามคนก็ขยับวูบล้อมเพชฌฆาตใจทมิฬไว้ตรงกลาง เงาดาบ คมทวนประสานกับแส้ยาวประหนึ่งมังกรกักเพชฌฆาตใจทมิฬไว้ด้านใน ทั้งสามคนนี้จิตใจสื่อถึงกัน เมื่อร่วมมือกันดุจอาภรณ์สวรรค์ไร้รอยต่อ
เพชฌฆาตใจทมิฬล่วงรู้ความร้ายกาจของพวกเขามานานแล้ว เขาจึงคิดหาวิธีจัดการสามคนนี้เอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ขณะที่รูปขบวนของสามคนนี้ยังไม่ทันตั้งเสร็จสมบูรณ์ เขาก็ทุ่มสุดกำลังโถมเข้าใส่ชายหนุ่มผู้ใช้แส้ เขารู้ว่าในหมู่สามคนนี้ เจ้าหนูผู้ใช้แส้คนนี้ฉลาดกว่าผู้ใด คนฉลาดมักจะขลาดกลัวง่าย เป็นดังคาด ชายหนุ่มผู้นั้นถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างไม่ได้ตั้งใจ หากรูปขบวนตั้งเสร็จแล้ว พี่น้องสองคนของเขาคงฉวยโอกาสนี้กระหนาบโจมตี ทว่าตอนนี้สองคนนั้นยังอยู่ห่างไปอีกหนึ่งเส้นกั้น ทว่าระยะห่างหนึ่งเส้นกั้นนี้เป็นสิ่งตัดสินเป็นตาย เมื่อเงาร่างของเพชฌฆาตใจทมิฬโฉบผ่านชายหนุ่มผู้ใช้แส้คนนั้น ประกายโลหิตก็สะท้อนบนลำคอของเขา ทว่าเพชฌฆาตใจทมิฬก็ไม่ได้มีสภาพดีนัก แผ่นหลังถูกหนึ่งดาบหนึ่งทวนกรีดไขว้ ประกายโลหิตปรากฏ แต่ทั้งสองคนกลับไม่ไล่ตาม พวกเขามองศพของพี่น้องของตนแล้วนิ่งงันในทันใด
ยามนี้สตรีสองนางพลันเข้ามาขวางเพชฌฆาตใจทมิฬ พวกนางก็คือรากษสเพลิงกับแม่นางเจ็ดแห่งสำนักเฟิงอี้ แม้รากษสเพลิงเป็นหญิงแต่แกล้วกล้าอาจหาญ แม่นางเจ็ดผู้นั้นใบหน้าละอ่อน หน้าตางดงามอ่อนหวาน ทว่าสตรีทั้งสองนางล้วนเป็นพวกลงมืออำมหิต กระบี่ยาวสองเล่ม เล่มหนึ่งโหดเหี้ยมไร้น้ำใจ ส่วนอีกเล่มหนึ่งแม้งามวิจิตรแต่วิชากระบี่เปี่ยมจิตสังหาร เพชฌฆาตใจทมิฬรับมือได้ไม่กี่กระบวนท่าเหงื่อก็ไหลลงมาตามแผ่นหลัง
ตอนนี้เอง ศรเงินตวนมู่ชิวก็ง้างธนูพาดศรขึ้นสาย ประกายแสงสีเงินเส้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่เพชฌฆาตใจทมิฬ แม้เขาเบี่ยงกายหลบพ้น แต่เฉียวเยี่ยนเอ๋อร์กลับฉวยจังหวะนี้ฟาดฟันกระบี่บีบให้เขายิ่งตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ส่วนแม่นางเจ็ดผู้นั้น วิชากระบี่ยิ่งงดงามขึ้นเรื่อยๆ แม่นางทั้งสองยิ่งสู้ยิ่งห้าวหาญ เวลานี้เอง สามคุณธรรมแห่งจงโจวที่เหลืออยู่สองคนก็โถมตามกันมา ทั้งสี่คนล้อมเพชฌฆาตใจทมิฬอยู่ตรงกลาง สถานการณ์ของเพชฌฆาตใจทมิฬยิ่งยากลำบากขึ้นอีก
เทพธิดาคนงามด้านข้างรับกระบี่โดยไม่พูดสักคำ ทว่าแม่นางสามแห่งสำนักเฟิงอี้กลับมีสีหน้ากระวนกระวายเล็กน้อย นางเอ่ยเสียงดัง น้องเจ็ดระวัง คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย ระวังเขาจะใช้ลูกไม้สกปรก
ชายหญิงทั้งสี่คนระแวงพร้อมกัน พวกเขาย่อมรู้ว่าเพชฌฆาตใจทมิฬไม่เพียงวรยุทธ์สูงส่ง แต่ยังเหลี่ยมจัด มิเช่นนั้นจะหนีมาถึงที่นี่ได้เช่นไร แต่เวลานี้เอง เพชฌฆาตใจทมิฬจู่ๆ ก็หัวเราะลั่น สายไปแล้ว ฮ่าๆ
ฉับพลันทุกคนรู้สึกวิงเวียนตาพร่าทรุดลงกองกับพื้น
แม่นางสามนึกประหลาดใจว่าตนถูกลอบเล่นงานตั้งแต่เมื่อใด ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกถึงสายลมเอื่อยจากแม่น้ำ นางมองไผ่ระทมแล้วทอดถอนใจ คิดไม่ถึงว่าไผ่ระทมผู้ชื่อเสียงเลื่องลือยุทธภพทั้งเหนือใต้จะเป็นสายลับของหนานฉู่ ช่างคาดไม่ถึงจริงๆ
ไผ่ระทมแย้มยิ้มแล้วเก็บกระบอกสีเงินในมือ สองแขนส่งกำลังออกมา เพียงไม่กี่ครั้งก็บรรลุถึงฝั่ง เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า ลอยซ่อนสุคนธ์ของหอกลไกสวรรค์เป็นของดีดังคาด ยาสลบไร้สีไร้กลิ่น กระจายตามสายลมแต่ฤทธิ์ยากลับไม่ลดทอน น่าเสียดาย ยาสลบหนึ่งกระบอกนี้ใช้ได้เพียงหนึ่งครั้ง สองพันตำลึงทองแพงเกินไปจริงๆ
เพชฌฆาตใจทมิฬยิ้ม หากมิใช่ข้าขอร้องท่านอ๋องให้ซื้อไว้หนึ่งกระบอก เจ้าอยากใช้ก็ไม่มีให้ใช้ พวกเจ้าจงรู้ไว้ น้องไผ่ระทมเป็นทายาทตระกูลดังแห่งหนานฉู่ของเรา แม้ออกบำเพ็ญพรตแต่เล็ก ทว่ายังคะนึงถึงหนานฉู่ไม่คลาย ประเสริฐยิ่งกว่าพวกเห็นผลประโยชน์แล้วลืมบุญคุณเหล่านั้น พวกเจ้าพบภัยก็อย่าได้กล่าวโทษเขาเลย พูดจบจึงเดินมาถึงหน้าสองพี่น้องของสามคุณธรรมแห่งจงโจว แล้วชักกระบี่ยาวขึ้นวาดกระบี่หมายจะแทงลงไป
เวลานี้เอง เสียงนุ่มนวลแต่เย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็ดังมาตามสายลม หากเจ้าสังหารพวกเขา ไยไม่น่าเสียดายที่ละครน่าดูชมหลังจากนี้จะไร้ผู้ชม
เพชฌฆาตใจทมิฬหัวใจหนาวสะท้านเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบปี หน้าตาเกลี้ยงเกลาหมดจดแลดูนุ่มนวลอยู่ในที ยามยืนสองมือไพล่หลังอยู่ใต้แสงจันทร์หม่นมัว ดวงหน้าสว่างกระจ่างดุจหิมะ