ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 43 ราชทูตจากหนานฉู่ (2)
หยางซิ่วยิ่งคิดอารมณ์ยิ่งพลุ่งพล่าน เขาอยากเห็นยิ่งนักว่าอาจารย์ที่แม่ทัพหนุ่มซึ่งตนนับถืออย่างยิ่งผู้นี้เคารพเลื่อมใสปานนั้น จะเป็นบุคคลเช่นไร ดังนั้นยิ่งรอนาน เขาก็ยิ่งกังวลว่าเจียงเจ๋อจะไม่ยอมพบพวกเขา
โชคดีที่ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง องครักษ์หนุ่มผู้หนึ่งก็เข้ามาคำนับแล้วเอ่ยว่า แม่ทัพลู่ ใต้เท้าซือหม่ารอพบท่านแม่ทัพอยู่ที่สวนเหมันต์ ใต้เท้าบาดเจ็บหนักเพิ่งหายดีไม่สะดวกออกมารับ จึงสั่งให้ฮูเหยียนโซ่วมาต้อนรับแทน
ลู่ช่านมององครักษ์หนุ่มพริบตาหนึ่ง แม้หน้าตาของคนผู้นี้แลดูธรรมดา แต่สองตาทอประกายเย็นเยียบ ฝ่ามือสองข้างทั้งกว้างทั้งใหญ่ ข้อนิ้วปูดนูน เส้นเอ็นพันกันยุ่งเหยิง คงเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์สายพลังภายนอกแน่นอน แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่สะเทือนฝุ่นสักเม็ด บ่งบอกว่าฝึกฝนจนบรรลุเข้าขั้นแล้ว ยิ่งเห็นรอบกายคนผู้นี้มีไอสังหารเลือนราง ท่วงท่าผึ่งผาย เขาคงจะต้องเป็นทหารกล้าที่อยู่ในกองทัพมานานเป็นแน่แท้ ยงอ๋องให้คนเช่นนี้มาอารักขาอาจารย์ ย่อมแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับอาจารย์อย่างยิ่ง ลู่ช่านครุ่นคิดในใจแล้วยิ้มน้อยๆ ตอบว่า รบกวนองครักษ์ฮูเหยียนนำทางด้วย
ทั้งสองเดินตามฮูเหยียนโซ่วอยู่เนิ่นนานกว่าจะมาถึงสวนอันเงียบสงัดและห่างไกลแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นป้ายเหนือประตูสวน ลู่ช่านก็รู้ว่าในที่สุดตนจะได้พบหน้าเจียงเจ๋อแล้ว ฮูเหยียนโซ่วบอกกล่าวพรรคพวกสี่คนที่คุ้มกันหน้าประตูสวนคำหนึ่งแล้วนำทั้งสองคนเดินเข้าไปในสวนเหมันต์ เมื่อเดินเข้ามาในสวนเหมันต์ลู่ช่านพลันรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก แม้มองไม่เห็น แต่เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าตำแหน่งสำคัญภายในสวนล้วนมีคนซ่อนตัวอยู่ ถึงมองไม่เห็นตัว แต่จากไอสังหารอันหนักอึ้งนั่นก็ทราบได้ว่าองครักษ์ที่นี่อย่างน้อยต้องมีฝีมือทัดเทียมฮูเหยียนโซ่ว ดูท่ายงอ๋องจะให้ความสำคัญกับอาจารย์อย่างหาใดเปรียบ
ทั้งสองคนถูกเชิญมายังโถงบุปผา มองแวบแรกก็เห็นเจียงเจ๋อที่นั่งอยู่ตรงนั้นกับเสี่ยวซุ่นจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงเจ๋อ
หยางซิ่วทำใจกล้ามองไปยังชายหนุ่มใบหน้าซูบเซียวผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ เขาสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อน เส้นผมเพียงใช้ปิ่นชิ้นหนึ่งกับแถบผ้าไหมสีขาวโพลนผืนหนึ่งมัดไว้ เขานั่งเอ้อระเหยลอยชายด้วยสีหน้าสงบสุข หากมิใช่เห็นสีหน้าซีดเซียวของเขา คงไม่มีทางคิดว่าเขาเพิ่งดิ้นรนหวนกลับจากความตายเมื่อไม่นานมานี้ หยางซิ่วถอนหายใจชื่นชมอยู่ในใจ เดิมเขาคิดว่าในเมื่อเจียงเจ๋อเพิ่งรอดชีวิตมาจากเงื้อมมือของมือสังหารหนานฉู่ ถ้าเช่นนั้นเขาคงเย็นชากับลู่ช่านยิ่งนักอย่างมิอาจเลี่ยง เขาไม่รู้ว่าผู้ที่ลอบสังหารเจียงเจ๋อสำเร็จคือผู้อื่น ความจริงถูกผู้คนเก็บซ่อน ยงอ๋องเองก็บอกกับผู้คนภายนอกว่าเจียงเจ๋อถูกมือสังหารจากหนานฉู่ลอบสังหารจนบาดเจ็บหนัก ถึงอย่างไรก็มิมีผู้ใดยินดีเปิดเผยความขัดแย้งภายในต้ายงออกสู่ภายนอก ดังนั้นแม้เจียงเจ๋อผิดหวังหมดเยื่อใยกับหนานฉู่ แต่เขาก็มิได้เคียดแค้นนัก
ข้ามองลู่ช่านปราดหนึ่ง เขาแลดูสุขุมกว่าครั้งก่อนที่พบกัน คิดว่าหลังจากต้องแบกรับความผิดชอบเพียงลำพังคงจะเติบใหญ่ขึ้นมากสินะ ข้าลุกขึ้นยืนแล้วแย้มรอยยิ้ม ท่านโหวน้อย ไม่พบกันนาน ท่านองอาจขึ้นอีกแล้ว
ลู่ช่านเห็นข้าก็อึ้งไปชั่วครู่ หลังจากได้ยินคำพูดของข้าจึงได้สติกลับมา เขารีบก้าวเข้ามาคำนับ ศิษย์คารวะอาจารย์ น้ำเสียงเจือสะอื้น ข้ารู้ว่าเขาเห็นสภาพข้าเป็นเช่นนี้จึงเศร้าใจ แม้แต่ตัวข้าเองเห็นตนเองในกระจกทองแดงยังรู้สึกว่าไม่เหลือเค้าเดิมอยู่บ้าง นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ข้ารักษาชีวิตมาได้ก็โชคดีล้นเหลือแล้ว ไหนเลยยังจะร้องขอมากกว่านี้ ถึงอย่างไรอย่างมากที่สุดอีกหนึ่งปีครึ่งข้าก็ฟื้นกลับมาแข็งแรงได้
ข้ายกมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า ท่านโหวน้อยลุกขึ้นเถิด ไม่สิ ยามนี้ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ของหนานฉู่แล้ว ข้าสมควรเรียกท่านว่าแม่ทัพลู่ เจียงเจ๋อเพียงเคยเป็นอาจารย์ของท่านแม่ทัพไม่กี่วัน จะกล้าเรียกขานเป็นศิษย์อาจารย์ได้เช่นไร
ลู่ช่านสงบจิตใจลงแล้วเอ่ยอย่างสุขุมว่า ในอดีตศิษย์ดื้อรั้น มิทราบความสำคัญของสิ่งที่อาจรย์สอนสั่ง ยามนี้นึกเสียใจก็สายเสียแล้ว ขออาจารย์อย่าได้บอกปัดความสัมพันธ์ ศิษย์ไม่มีทางอาศัยฐานะศิษย์อาจารย์มาขอร้องอาจารย์ให้ทำเรื่องมิสมควร
ข้ายิ้มฝาดเฝื่อน ท่านยังมีนิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้อยู่อีก เอาเถิด ข้าก็ไม่อยากโต้เถียงกับท่าน ลุกขึ้นเถอะ ข้ายังไม่ได้รับประทานอาหาร ท่านร่วมรับประทานเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถิด ท่านนี้คือ? ข้ามองหยางซิ่ว
ลู่ช่านลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยว่า นี่คือที่ปรึกษาหยางซิ่ว ลูกน้องใต้บัญชาของศิษย์
หยางซิ่วก้าวเข้าไปคารวะ ได้ยินชื่อเสียงระบือลือไกลของใต้เท้าเจียงมานานแล้ว ข้าขอคารวะ
ข้าอยากเข้าไปประคอง แต่พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกจึงได้แต่ขมวดคิ้วตอบว่า อภัยที่ข้าไม่สะดวกคำนับ ที่ปรึกษาหยางเชิญนั่งด้วยกัน
หยางซิ่วเห็นหน้าผากของเจียงเจ๋อมีเหงื่อไหลรินจึงรีบเอ่ยว่า ใต้เท้าร่างกายไม่แข็งแรง มิต้องมากพิธี
พวกเราสามคนนั่งลง เสี่ยวซุ่นจื่อยกข้าวต้มสามชามมาด้วยตนเอง ข้าแย้มยิ้มเอ่ยว่า ข้าวต้มเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารบำรุงที่ปรุงขึ้นอย่างใส่ใจ ข้างในใส่สมุนไพรบำรุงเอาไว้ ทั้งสองท่านลองชิมดู
ลู่ช่านลุกขึ้นรับชามที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งให้ เขาย่อมรู้เรื่องที่หลายวันก่อนหลี่ซุ่นผู้นี้สังหารเพชฌฆาตใจทมิฬที่ริมฝั่งแม่น้ำฉางเจียง ก่อนหน้าเพชฌฆาตใจทมิฬกลบฝังชื่อแซ่ไปทำงานให้เต๋อชินอ๋อง เขาเคยเป็นยอดฝีมือจำนวนน้อยนิดของหนานฉู่ ครั้งนี้ยิ่งลอบสังหารในจวนยงอ๋อง ‘สำเร็จ’ แล้วยังเผชิญศึกพันลี้หนีออกจากต้ายง ชื่อเสียงจึงทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คิดไม่ถึงว่ากลับถูกเด็กหนุ่มผู้นี้สังหารใต้แสงจันทราริมฝั่งแม่น้ำฉางเจียง เพียงชั่วข้ามคืน นามของหลี่ซุ่นจึงลือกระฉ่อนทั่วใต้หล้า ดังนั้นลู่ช่านจึงมิกล้าเมินเฉย
หยางซิ่วก็ลุกขึ้นมารับชามข้าวต้มดุจเดียวกัน เขาอดมองเจียงเจ๋อปราดหนึ่งไม่ได้ ชายหนุ่มผู้ผอมบางผู้นี้มีความพิเศษประการใดกันหนอจึงทำให้ยอดฝีมือเช่นนี้ยินยอมพร้อมใจเป็นบ่าวคอยทำงานรับใช้ให้
ข้าเห็นพวกเขาเกร็งเช่นนี้ก็อดหัวเราะมิได้ ครั้งนี้ได้ยินว่าท่านลู่ช่านเป็นราชทูตมาจากหนานฉู่ คิดว่าคงจะวางแผนรอบด้านมาแล้ว มิทราบมีเรื่องใดที่ข้าช่วยได้หรือไม่
สีหน้าของลู่ช่านฉายแววละอายแต่กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม แม้หนานฉู่พ่ายศึก ทว่ายามนี้เจ้าแคว้นองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ขุนนางและปวงประชาพร้อมใจ กองทหารพรักพร้อม ดังนั้นแม้ครั้งนี้จะยอมสวามิภักดิ์ขอสงบศึก แต่ก็หวังว่าต้ายงจะไม่เรียกร้องเงินทองแพรพรรณมากจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หวังว่าจะไถ่ตัวเจ้าแคว้นองค์ก่อนกับขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยกลับไปได้ แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องให้ฝ่ายทหารของต้ายงพยักหน้าจึงจะเป็นไปได้ ยงอ๋องเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในกองทัพ ดังนั้นศิษย์จึงจำเป็นต้องทราบเจตนาขององค์ชาย
ข้าเอ่ยเรียบๆ เรื่องการเจรจาสงบศึกเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นผู้ตัดสินใจ ความคิดขององค์ชายผู้ใดจะกล้าคาดเดา อีกประการหนึ่ง องค์ชายก็มิมีเจตนาจะสร้างความลำบากให้หนานฉู่ ท่านกังวลเกินไปแล้ว เรื่องเหล่านี้ข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ครั้งนี้ท่านมาหาผิดคนแล้ว
ลู่ช่านรู้ว่าเจียงเจ๋อเอ่ยเช่นนี้เป็นเพียงข้ออ้าง ขณะที่กำลังจะเกลี้ยกล่อมต่อ ตอนนี้เองเสียงกังวานก็ดังมาจากนอกประตู จะกล่าวว่ามาหาผิดคนได้เช่นไรเล่า หากมิใช่แม่ทัพลู่มาขอพบท่านก่อน ข้าก็คิดอยู่ว่าจะไม่ให้หนานฉู่ได้อยู่สบายนัก
หลี่จื้อเอ่ยพลางพาโก่วเหลียนเดินเข้ามา ลู่ช่านกับหยางซิ่วต่างลุกขึ้นคารวะ หลี่จื้อแย้มยิ้มเอ่ยว่า แม่ทัพลู่ ข้าเคยมีวาสนาพบหน้ากับลู่กงบิดาของท่านครั้งหนึ่ง ได้ยินว่าลู่กงมีบุตรชายห้าวหาญ วันนี้ได้พบสมดั่งคำร่ำลือ น้องสามของข้าเขียนสาสน์มาเล่าว่าแม่ทัพลู่ใช้ทหารดุจดั่งเทพ เขานับถือยิ่งนัก
ลู่ช่านเอ่ยอย่างสุขุม กระหม่อมเพียงอาศัยบารมีของบิดาเท่านั้น องค์ชายถึงจะเป็นปรมาจารย์แห่งการนำทัพในใต้หล้า แสงหิ่งห้อยจะกล้าทาบรัศมีกับดวงจันทราได้เช่นไร
หลี่จื้อนั่งลงแล้วเอ่ยเสียงขรึม ข้ารู้ว่าสองแคว้นกลับมาปรองดองเป็นสิ่งที่ต้องเกิด ทว่าแคว้นของท่านแต่งตั้งตำแหน่งจักรพรรดิตามอำเภอใจ มิสนสถานะบริวาร ต้ายงของข้านำทัพเข้าปราบย่อมถูกต้องชอบธรรม แม้แคว้นท่านเสียหายหนักหนาก็สมควรสละดินแดนชดใช้ ส่วนเรื่องการไถ่ตัวเชลยคืน ข้าไม่มีความเห็น ว่าแต่แคว้นของท่านอยากจะจ่ายค่าไถ่สักเท่าใดเล่า
ลู่ช่านเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง แม้หนานฉู่มีความผิด แต่เหตุการณ์ที่ฉีอ๋องนำทัพรุกรานก่อนก็เป็นความจริงเช่นกัน องค์ชายบุกยึดเจี้ยนเย่ กวาดต้อนขุนนางแคว้นข้าเป็นเชลยแล้วยังปล้นชิงเงินทองแพรพรรณนับไม่ถ้วน ยามนี้แคว้นข้าบนล่างรวมใจเป็นหนึ่ง หากแคว้นท่านยังคิดข่มเหง ต่อให้พวกเราเป็นแคว้นเล็กกำลังอ่อนแอก็จะขอต่อต้านถึงที่สุด แม้หนานฉู่เป็นบริวารของต้ายง แต่ก็เป็นญาติผ่านการแต่งงานด้วย แคว้นท่านมีเจตนาจะรุกรานอยู่นานแล้ว ถึงยามนี้พวกเราคุกเข่าขอสงบศึก แต่จะไม่ยอมให้แคว้นท่านเรียกร้องตามใจ เจ้าแคว้นองค์ใหม่ของแคว้นข้าขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เจ้าแคว้นองค์ก่อนย่อมมีสถานะเป็นเพียงสามัญชน หากแคว้นท่านอยากเก็บไว้ก็เชิญตามแต่ใจ เจ้าแคว้นองค์ก่อนกับองค์หญิงฉางเล่อของแคว้นท่านเป็นสามีภรรยา บุตรเขยใช้ชีวิตพึ่งพิงพ่อตาก็เป็นเรื่องธรรมดา
หลี่จื้อแววตาวาววับแล้วฉีกยิ้ม พูดได้ดี ช่างสมเป็นวีรบุรุษหนุ่ม หนานฉู่ไยมียอดคนมากมายนัก ข้าเลื่อมใส หลังจากนั้นก็เอ่ยอย่างแฝงความนัย เรื่องนี้ย่อมหารือกันได้ แม้ข้ามิอาจเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ก็จะไม่สร้างความลำบากให้แม่ทัพลู่