ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 56 เงาจันทร์เสี้ยว (1)
หนานฉู่ รัชศกถงไท่ปีที่หนึ่งเดือนห้า จักรพรรดิต้ายงตั้งพระทัยจะหมั้นหมายองค์หญิงฉางเล่อกับเหวยอิงด้วยเหวยอิงมีความดีงามเป็นที่ประจักษ์ ทว่าองค์หญิงตัดเส้นพระเกศาลั่นวาจามิยอมทำตาม จักรพรรดิพิโรธหนักเป็นนานจึงสงบโทสะลงได้ ทรงตรัสด้วยองค์เองกับองค์หญิงว่า หากลูกมีใจให้ มิว่าสูงต่ำชั่วดี พ่อล้วนยอมทั้งสิ้น ทว่าองค์หญิงเพียงนิ่งเงียบ
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
จันทร์เสี้ยวแลคล้ายตะขอ ราตรีเงียบสงัด องค์หญิงฉางเล่อสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีขาวยืนอยู่บนบันได มองดูแสงจันทร์สลัวอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าที่เดิมทีเริ่มอิ่มเอิบหลายวันนี้กลับเศร้าหมอง เส้นผมดำสนิทดั่งน้ำหมึกถูกตัดไปครึ่งหนึ่งจนวันนี้เหลือเพียงประบ่า นางข้าหลวงมาช่วยตัดแต่งเส้นผมให้นางแล้ว แต่เพราะสั้นเกินไปจึงมิอาจเกล้ามวย ทำได้เพียงใช้ผืนผ้าไหมเส้นหนึ่งผูกไว้ สายลมยามค่ำเย็นสดชื่น องค์หญิงฉางเล่อสวมอาภรณ์ตัวบางจนหนาวเข้าไปถึงกระดูก แต่นางไม่ยอมกลับห้อง ยามรัตติกาลเช่นนี้นางยากจะนอนหลับใหล ผ่านไปเนิ่นนานนางจึงยกมือขาวผ่องขึ้นมา ในมือคือพัดพับเล่มหนึ่ง บนนั้นเขียนกลอนสี่วรรคเอาไว้
เย็นเฉียบเปรียบปานธารา บุกบั่นแสนไกลกลับสุดมรรคา ห้วงอารมณ์มิอาจพรรณนา กลั่นเป็นภาพคงมีเพียงความโศกา นางขับบทกวีแผ่วเบา หลายวันก่อนพระชายาของยงอ๋องเป็นผู้นำสิ่งนี้มามอบให้นาง นี่คือพัดที่คนผู้นั้นเขียนอักษรด้วยตัวเอง พระชายาของยงอ๋องทราบว่านางชื่นชอบบทกวีของเจียงเจ๋อจึงขอมาเพื่อมอบแก่นาง บางทีเจียงเจ๋อคงมิใส่ใจพัดประดับบทกวีเพียงหนึ่งเล่ม ทว่านับตั้งแต่นางได้พัดเล่มนี้มาก็พกไว้แนบกาย มิยอมแยกจากแม้ชั่วครู่
ตอนนี้เอง ลี่ว์เอ๋อก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือผ้าคลุมผืนหนึ่งแล้วเอ่ยวิงวอน องค์หญิง ท่านทรมานตนเองเช่นนี้ บ่าวทนมองมิไหว หากฝ่าบาทกับพระสนมทราบต้องตำหนิบ่าวว่าไม่ปรนนิบัติรับใช้ให้ดีเป็นแน่
องค์หญิงฉางเล่อแย้มสรวล รับผ้าคลุมมาแล้วเอ่ยว่า ข้าบอบบางเพียงนั้นเสียเมื่อไร ข้าเพียงนึกชอบทิวทัศน์ยามนี้ก็เท่านั้น เอาละ เจ้าไปพักก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวข้าก็จะไปนอนแล้ว
ลี่ว์เอ๋อเห็นองค์หญิงยังมีสีหน้าดีอยู่จึงรวบรวมความกล้าถามว่า องค์หญิง บ่าวมิเข้าใจ ใต้เท้าเซี่ยโหวเก่งกาจทั้งบู๊บุ๋นแล้วยังหล่อเหลายิ่งนัก ท่านมิต้องใจก็แล้วไป เพราะถึงอย่างไรทุกคนล้วนกล่าวกันว่าคุณชายเซี่ยโหวเป็นคนเจ้าสำราญ องค์หญิงจิตใจดีอ่อนหวาน หากมิชอบก็ไม่แปลกอันใด แต่ใต้เท้าเหวยไม่เพียงรูปทรัพย์เหนือผู้อื่น ทั้งยังครองตนผ่องแผ้ว มิเคยเจ้าชู้ประตูดิน แม้แต่เขา องค์หญิงก็ไม่ต้องพระทัย บ่าวมิเข้าใจจริงๆ
องค์หญิงฉางเล่อตอบเรียบๆ เจ้าจะเข้าใจอันใดเล่า เอาละ ไปเถอะ
ลี่ว์เอ๋อหวาดหวั่นเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เหมือนมีแต่ก็เหมือนไม่มีบนใบหน้างดงามขององค์หญิง อำนาจที่มีเฉพาะในราชวงศ์ทำให้ลี่ว์เอ๋อไม่กล้าพูดมากต่อ ขยับตัวมือเท้าเบาถอยออกไป
องค์หญิงฉางเล๋อถอนหายใจแผ่วเบา สัมผัสราตรีหนาวเหน็บและขั้นบันไดเย็นเฉียบ เรือนร่างอรชรเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ขณะที่นางกำลังหมุนตัวกลับไปพักผ่อนในห้องบรรทม เสียงถอนหายใจพลันดังแว่วมากับสายลมยามดึก คิ้วดำเข้มขององค์หญิงฉางเล่อขมวดมุ่น เอ่ยขึ้นว่า ผู้ใดสอดแนมข้าอยู่ตรงนั้น
เงาสีเขียวขยับไหววูบหนึ่ง สตรีสวมอาภรณ์ชาววังสีเขียวผู้หนึ่งก็มายืนตรงหน้าองค์หญิงฉางเล่อ องค์หญิงฉางเล่อตกใจเล็กน้อย ที่แท้ก็น้องหันโยว เหตุใดดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้จึงมาตำหนักชุ่ยหลวนเยี่ยมเยียนข้า
หลี่หันโยวคารวะอย่างชดช้อยพลางตอบว่า วันนี้ข้าได้หมั้นหมายกับแม่ทัพฉิน แต่นึกขึ้นได้ว่าพี่หญิงอยู่ในวังคงเปล่าเปลี่ยว อดเป็นห่วงมิได้จึงตั้งใจมาหา พี่หญิงยังมิเข้านอนดังคาด ไม่ทราบพี่หญิงเชิญหันโยวเข้าไปสนทนาได้หรือไม่
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยเรียบๆ หลายวันนี้น้องหญิงมาอยู่เป็นเพื่อนบ่อยครั้ง ฉางเล่อซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ยามนี้ดึกสงัดไม่เหมาะพูดคุย น้องหญิงกลับไปพักผ่อนเถิด
หลี่หั่นโยวมุ่นคิ้วเรียวครุ่นคิด ในใจนึกถึงเรื่องที่พระชายาของยงอ๋องเข้าวังมาเมื่อสองวันก่อน หรือองค์หญิงฉางเล่อจะทราบเรื่องที่ข้าสร้างความลำบากให้เจียงเจ๋อที่จวนฉินแล้ว ผู้ใดมิรู้บ้างว่าองค์หญิงฉางเล่อชมชอบบทกวีของเจียงเจ๋อ อีกทั้งยังลือกันว่าผู้ที่องค์หญิงฉางเล่อมีใจปฏิพัทธ์ก็คือคนผู้นั้น ตอนนี้ดูท่าอาจเป็นเรื่องจริง มิเช่นนั้นไยครั้งก่อนพบหน้ายังสนิทสนม แต่วันนี้กลับเย็นชาดุจน้ำแข็ง หากเป็นเช่นนี้ตนต้องถามความจริงให้กระจ่าง มิเช่นนั้นไยมิใช่เหตุการณ์จะหลุดจากการควบคุม
หลี่หันโยวคิดมาถึงตรงนี้พลันขยับยิ้ม ได้ยินมานานแล้วว่าองค์หญิงชมชอบบทกวีของอัจฉริยะจากหนานฉู่ หลายวันก่อนหันโยวมีโชคได้ยลเจียงจ้วงหยวนขับขานบทกวีที่จวนตระกูลฉิน แม้มิใช่บทกวีที่ท่านจ้วงหยวนประพันธ์ แต่มีคำกล่าวหนึ่งว่าไว้ดีนัก บอกว่าบทกวีใช้ขับขานความในใจ พี่หญิงไม่อยากรู้รายละเอียดของเรื่องนี้หรือ
องค์หญิงฉางเล่อหวั่นไหว สองวันก่อนพระชายาของยงอ๋องเข้าวังมาแล้วเผลอเอ่ยถึงการละเล่นร่ายบทกวีในงานสังสรรค์ขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ แต่ยามนั้นเสด็จแม่อยู่ด้านข้าง ตนไม่มีโอกาสถามให้ละเอียด นางจึงเอ่ยว่า ข้าใคร่ฟังรายละเอียด
หลี่หันโยวข้ามเรื่องการต่อสู้ขับเคี่ยวของคนทั้งหลายแล้วเอ่ยถึงบทกวีที่แต่ละคนเลือกมาเท่านั้น สุดท้ายเมื่อเอ่ยถึงวรรค ‘สิ้นเสียงบรรเลงมิเห็นผู้ใด เหนือชลาลัยเหลือเพียงทิวเขาคราม’ ทันใดนั้นองค์หญิงฉางเล่อก็แย้มรอยยิ้มจาง หลี่หันโยวสังเกตเห็นแต่แสร้งไม่รับรู้ แล้วเอ่ยต่อว่า บทกวีที่ใต้เท้าเจียงเลือกมาดียิ่งนัก สองวรรคสุดท้ายนี้เปี่ยมอารมณ์ องค์หญิงคิดว่าสายตาของใต้เท้าเจียงเป็นเช่นไร
องค์หญิงฉางเล่อแย้มยิ้ม สาเหตุที่ใต้เท้าเจียงเลือกกลอนบทนี้กว่าครึ่งคงต้องการทำให้จบเรื่องอย่างขอไปที บทกวีของเขาที่ข้าเคยอ่าน บ้างความหมายลึกซึ้ง บ้างทรงพลัง บ้างเปี่ยมอารมณ์ บ้างนิ่งสงบปล่อยวาง แต่ไม่มีผลงานเกี่ยวกับภูตผีสิ่งลี้ลับเช่นนี้ พูดพลางก็มองพัดบทกวีในมืออย่างอดไม่ได้
หลี่หันโยวฉุกใจจึงเอ่ยขึ้นว่า พัดของพี่หญิง ให้น้องยืมดูหน่อยได้หรือไม่
องค์หญิงฉางเล่อเหลือบมองหลี่หันโยวแล้วตอบว่า มิใช่เรื่องลับอันใด พัดเล่มนี้ข้าแย่งมาจากมือพี่สะใภ้รอง หลายปีที่ผ่านมาใต้เท้าเจียงมีบทกวีเผยแพร่น้อยนัก ตัวอักษรลายมือก็น้อยยิ่งกว่า พูดพลางส่งพัดไปให้
หลี่หันโยวอ่านบทกวีบนพัดเสียงเบา รับรู้ถึงความโศกเศร้าเจือจางถาโถมเข้าใส่ใบหน้า บทกวีช่างงดงามลึกซึ้งจนอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า ใต้เท้าเจียงช่างเก่งกาจทางกวีมิมีผู้ใดเทียมอย่างแท้จริง
องค์หญิงฉางเล่อรับพัดกลับมาแล้วขยับยิ้ม บทกวีของใต้เท้าเจียงแพร่หลายอยู่ทั่วแผ่นดิน หากน้องหญิงชื่นชอบ มิสู้ลองหาอ่านดู
หลี่หันโยวเห็นสีหน้าเบิกบานเจือบนใบหน้าขององค์หญิงฉางเล่อพลันถามขึ้นว่า เหตุใดองค์หญิงจึงปฏิเสธการสมรสเด็ดขาดนัก หรือว่าในใจท่านมีผู้ใดอยู่แล้ว
องค์หญิงฉางเล่อสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด นางตอบอย่างเฉยเมย น้องหญิงรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงรีบร้อนเลือกสามีให้ข้า
หลี่หันโยวคำนับพลางเอ่ยว่า ฝ่าบาททรงรักองค์หญิง ใต้หล้าล้วนรู้
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ เลือดเนื้อเชื้อพระวงศ์ เยื่อใยบางเบา แม้เสด็จพ่อทรงรักข้า แต่มิได้รีบร้อนหาสามีให้ข้าด้วยเหตุนั้น ในอดีตเสด็จพ่อส่งข้าไปแต่งงานยังแดนไกล ในพระทัยยังเสียใจไม่วาง ดังนั้นหากข้ามิได้แต่งงานกับบุรุษที่พึงใจสักคน เสด็จพ่อก็จะรู้สึกผิดต่อข้าอยู่ตลอดไป
หลี่หันโยวแววตาเปลี่ยนไปวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า พี่หญิงแค้นเคืองฝ่าบาทหรือไม่
องค์หญิงฉางเล่อส่ายศีรษะ ตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายในใจข้ามิเคยเคืองแค้น ตั้งแต่เยาว์วัยฉางเล่อชมชอบบทกวี นิสัยโอนอ่อนว่าง่าย ไม่เข้มแข็งเด็ดขาดเช่นสตรีต้ายงของเรา หากมิใช่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่รักใคร่ เกรงว่าฉางเล่อคงมิมีฐานะให้เอ่ยถึง ฉะนั้นเมื่อเสด็จพ่อมีราชโองการส่งข้าไปแต่งงานแดนไกล แม้ข้าเศร้าโศกแต่มิเคืองแค้น อีกประการหนึ่งข้าเติบใหญ่มาได้ด้วยประชาชนทั่วใต้หล้า จะไม่เสียสละเพื่อต้ายงได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้แม้ข้าต้องแต่งงานไกลถึงแว่นแคว้นแดนศัตรู ชะตาลิขิตให้ชาตินี้มิอาจอยู่ครองคู่จนเส้นผมขาวโพลน ทั้งยังต้องสังหารบุตรที่ยังมิทันลืมตาดูโลกด้วยมือตน ในใจฉางเล่อก็มิเคยเคียดแค้นต้ายงหรือเคืองแค้นเสด็จพ่อ
ยามนี้เสด็จพ่อต้องการให้ข้าแต่งงานหวังให้ข้ามีความสุข แต่ข้าผ่านร้อนผ่านหนาวจนรู้สึกชืดชากับคำว่าความรักสองคำนี้เสียแล้ว จึงปรารถนาเพียงอยู่ทดแทนบุญคุณเสด็จพ่อเสด็จแม่เท่านั้น วันหน้าไม่ว่าพี่ชายคนใดขึ้นครองบัลลังก์ หญิงหม้ายอ่อนแอคนหนึ่งเช่นข้าคงมิต้องถูกคลางแคลง ถึงเวลาฉางเล่อมีลูกประคำกับพระพุทธรูปอยู่เคียงข้าง ชีวิตนี้ก็เพียงพอแล้ว
หลี่หันโยวถอนหายใจ องค์หญิง หรือว่าท่านยังคิดถึงเจ้าแคว้นหนานฉู่อยู่ เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ท่านไยต้องครองตนซื่อสัตย์ต่อเขา ระหว่างที่เอ่ยถ้อยคำซึ่งกระทั่งตนเองยังไม่เชื่อ หลี่หันโยวก็ใช้สายตาเศร้าสร้อยมององค์หญิงฉางเล่อ
องค์หญิงฉางเล่อตอบอย่างนิ่งสงบ มิใช่เช่นนั้น ข้าเพียงหมดใจจะรักแล้วก็เท่านั้น มิใช่ทุกคนล้วนอยากเอาอย่างเหวินจวิน[1]
หลี่หันโยวเอ่ยแย้ง เหวินจวินเองก็เป็นกุลสตรี นางเพียงพานพบซือหม่าเซียงหรูผู้เปี่ยมความสามารถจึงเกิดใจปฏิพัทธ์มิอาจหักหามตนเองเท่านั้น หากใต้เท้าเจียงมีใจหมายหงส์ฟ้า มิทราบองค์หญิงจะคิดเช่นไร
องค์หญิงฉางเล่อจ้องหลี่หันโยว ดวงตาทอประกายเย็นเยียบขึ้นมา หลี่หันโยวแย้มยิ้ม ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่าหากองค์หญิงพอพระทัย มิว่าผู้ใดล้วนเป็นราชบุตรเขยได้ทั้งสิ้น ใต้เท้าเจียงเก่งกาจสามารถมิมีใครเทียม หากองค์หญิงหมายใจ น้องยินดีบอกกับฝ่าบาทแทนท่าน
องค์หญิงฉางเล่อแววตาเย็นยะเยือกขึ้นกว่าเดิมแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา หลี่หันโยว ข้าอยู่ในวังต้ายงมานาน ทั้งยังเคยเป็นพระมเหสีแห่งหนานฉู่ แม้มิได้แสดงตัวบ่อยครั้ง แต่เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมสักนิดจริงหรือ
หลี่หันโยวสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน นางยอบกายคำนับ องค์หญิงโปรดระงับโทสะ น้องเพียงเป็นห่วงจากใจจริง ทนมององค์หญิงกลัดกลุ้มหน้านิ่วมิได้เท่านั้น หากล่วงเกินที่ใด หันโยวยินดีรับโทษ
องค์หญิงฉางเล่อสีหน้าเย็นชากว่าเดิมแล้วเอ่ยแช่มช้า ใต้เท้าเจียงเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง หากมิใช่คนเช่นเสด็จพี่รอง คนธรรมดาไม่มีทางกล่อมให้เขาสวามิภักดิ์ได้เป็นอันขาด แม้เป็นเช่นนี้เขาก็มิใช่ผู้ที่คนทั่วไปจะดูแคลนได้ ข้ารักความสามารถของเชา นับถือคุณธรรมของเขา ความในใจข้ามิใช่สิ่งที่จะให้คนเช่นเจ้ามาบิดเบือน ข้ารู้ว่าเวลานี้ราชสำนักพัวพันซับซ้อน แต่ฉางเล่อเป็นเพียงคนนอก เหตุใดเจ้าจึงดื้อดึงจะลากข้าไปเกี่ยวให้ได้ องค์หญิงจิ้งเจียง แม้ข้ามิชอบการต่อสู้ แต่หากพวกเจ้าบีบคั้นต่อไป ข้าคงได้แต่กราบทูลเสด็จพ่อว่าจะออกบวชเป็นชีเสียเดี๋ยวนี้ ถึงเวลานั้นคงนับว่าสมความปรารถนาของพวกเจ้า
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยอย่างเย็นชาต่อ ข้าเหนื่อยแล้ว เชิญองค์หญิงจิ้งเจียงกลับเถิด ดึกแล้วน้ำค้างแรง ท่านระวังตัวให้ดี หากมีข่าวลือเช่นนี้ออกไปอีก ข้าคงต้องขอให้เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ทวงความเป็นธรรมให้แล้ว
หลี่หันโยวมองส่งแผ่นหลังขององค์หญิงฉางเล่อ ดวงตาคู่นั้นฉายแววนึกเสียใจ นางคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าองค์หญิงฉางเล่อผู้อ่อนหวานน่ารักในยามปกติจะมีด้านที่น่ากลัวมิอาจล่วงเกินเช่นนี้ หากตนเข้ามายุ่งต่อไปจนทำให้องค์หญิงมีโทสะออกบวชไปด้วยความโกรธ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทสงบความเดือดดาลได้เป็นแน่ วันนี้คงได้แต่รามือก่อนแล้ว
ระหว่างที่รีบเร่งเดินกลับที่พักก็เห็นจี้กุ้ยเฟยสีหน้าคร่ำเคร่งรอนางอยู่ นางรีบก้าวเข้าไปทักทาย อาจารย์อา ท่านมาได้อย่างไร มีเรื่องสำคัญประการใดหรือ
จี้กุ้ยเฟยตอบว่า เจ้าสำนักถ่ายทอดคำสั่ง ฮั่วจี้เฉิงถูกศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไล่ตามอยู่ หนีไม่รอดแน่แล้ว แต่ยามนี้ราชสำนักความเห็นแตกเป็นหลายฝ่าย จำต้องจัดการอย่างรอบคอบ
หลี่หันโยวเอ่ยอย่างยินดี ศิษย์พี่ใหญ่วรยุทธ์ล้ำเลิศต้องจับตัวมาได้แน่ แต่แล้วคิ้วเรียวก็มุ่นเข้าหากันอีกครั้ง แต่เรื่องรัชทายาทจะช่วยได้อย่างไร กั้นคำคนยากยิ่งกว่ากั้นสายน้ำ เจ้าสำนักสั่งสอนศิษย์เช่นนี้เสมอ มิทราบอาจารย์อามีวิธีใดหรือไม่
[1]เหวินจวิน หมายถึงจั๋วเหวินจวิน หนึ่งในสตรีผู้โด่งดังในด้านความสามารถของจีน แม้นางโชคร้ายเป็นหม้ายแต่ยังสาว แต่ก็ได้พบรักกับสามีคนที่สองจนมีชีวิตคู่ที่มีความสุขด้วยกัน