ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 57 เงาจันทร์เสี้ยว (2)
จี้กุ้ยเฟยตอบว่า เจ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป เจ้าขุดรากถอนโคนได้หมดจด ตอนนี้จึงไม่มีผู้ใดมีหลักฐานพิสูจน์ว่ารัชทายาทเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ วันนี้เจ้ากรมเหลียงเป็นนกในกรง ขอเพียงเวลาผ่านไปอีกสักระยะค่อยสังหารเขาปิดปากก็เรียบร้อย การควบคุมกรมคลังแม้สำคัญ แต่พวกเราจะทำให้รัชทายาทระแวงไม่ได้ ดังนั้นจึงมิอาจทำอย่างโจ่งแจ้ง คงต้องคิดหาวิธีจัดการให้คนของพวกเราเข้าไปสักหลายคน ตำแหน่งเจ้ากรมสำคัญยิ่งก็ปล่อยให้รัชทายาทวุ่นวายไป ทว่าฝ่ายที่ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วอาจล่วงรู้ข้อมูลบางอย่าง เจ้าได้ร่องรอยมาหรือไม่
หลี่หันโยวยิ้มเจื่อน จะว่าอย่างไรดีเล่า ผู้ที่ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วคือหอกลไกสวรรค์แห่งหนานฉู่ แต่อิทธิพลของพวกเขาอยู่ในที่ลับ ยามนี้จึงไร้ร่องรอยอย่างสิ้นเชิง แม้แต่กิจการที่ควบคุมดูแลอยู่ พวกเขาก็ถอนตัวออกไปหมดสิ้น หอกลไกสวรรค์แห่งนี้ลึกลับยากหยั่งอย่างแท้จริง อำนาจของพวกเราที่หนานฉู่ไม่แข็งแกร่งพอ เอื้อมไปไม่ถึงจริงๆ
จี้กุ้ยเฟยเอ่ยเรียบๆ เรื่องนี้เจ้าจำเอาไว้ก็พอแล้ว เจ้าสำนักกล่าวว่าหากทำให้คนหุบปากไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเบี่ยงเบนสายตาของพวกเขาเสีย ในเมื่อรัชทายาทเกิดเรื่องเช่นนี้ พวกเราก็ต้องให้ผู้อื่นเกิดเรื่องบ้าง ยิ่งเรื่องใหญ่ยิ่งดี เช่นนี้ผู้ใดยังจะจดจำเรื่องของรัชทายาทอีก จำไว้เพียงว่าหากพวกเราประคองรัชทายาทขึ้นสู่บัลลังก์ได้ ผู้อื่นย่อมมิกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ภารกิจสำคัญยามนี้ก็คืออย่าปล่อยให้จักรพรรดิสูญเสียความเชื่อมั่น เรื่องของฉางเล่อ เจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งแล้ว
หลี่หันโยวเอ่ยตอบ ศิษย์รับคำสั่ง ข้ามีความคิดแล้ว ขอให้อาจารย์อาวางใจ
จี้กุ้ยเฟยตอบแผ่วเบา เจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายที่เจ้าสำนักโปรดปราน ข้าจะไม่วางใจได้เช่นไรเล่า เจ้าจัดการให้ดีเถิด แม้ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาจากเจ้าสำนัก แต่ถึงอย่างไรเจ้าสำนักก็ยังไม่กำหนดผู้สืบทอด หากเจ้าสร้างความชอบมากพอ ข้าจะช่วยพูดกับเจ้าสำนักแทนเจ้า
เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา ดวงตาของหลี่หันโยวพลันทอประกายยินดีเจียนคลั่งวูบหนึ่ง แต่นางกลับมาสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็ว นางยอบกายคำนับ ขอบคุณความปรารถนาดีของอาจารย์อายิ่งนัก หันโยวเคารพศิษย์พี่ใหญ่อย่างยิ่ง มิกล้าคิดเพ้อฝันเช่นนั้น
จี้กุ้ยเฟยยิ้มน้อยๆ ตอบว่า ดีแล้ว เจ้าไปจัดการงานของเจ้าเถิด
จี้กุ้ยเฟยมองแผ่นหลังของหลี่หันโยว นางอยู่กลางสนามรบแห่งเกียรติยศและผลประโยชน์มานานจนรู้ว่าไม่ว่าคนเช่นไร หากพูดเหมือนสละความเย้ายวนของลาภยศได้ง่ายดาย นั่นล้วนเป็นคำโป้ปด อำนาจวาสนา ลาภยศสรรเสริญ ไฉนจะสละทิ้งได้ง่ายดายเช่นนั้น แม้มิรักใคร่เงินทองผลประโยชน์ แต่ความน่าเกรงขามยามกุมอำนาจไว้ในมือ เอื้อนเอ่ยหนึ่งคำใต้หล้าก้มหัวน้อมรับ สิ่งนั้นทำให้คนลุ่มหลงเมามายยิ่งกว่า บนโลกใบนี้มีสักกี่คนต่อต้านความเย้ายวนเช่นนี้ได้
ฮั่วจี้เฉิงซุ่มซ่อนอยู่ในพงหญ้าพลางสะกดกลั้นลมหายใจ เขาไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย ตอนนี้ในใจเขารุ่มร้อนดั่งเพลิงเผา ขณะที่สาปแช่งลูกน้องว่าไร้ความสามารถไม่หยุด พวกเขาไม่ทำตามแผนการของตนให้ดีจนถูกกองทัพของฉินชิงกวาดล้างอย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือ พวกที่น่าชังชิงที่สุดก็คือสำนักเฟิงอี้ พวกนางไล่ล่าตนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว หากมิใช่ตนชำนาญการเก็บซ่อนร่องรอย น่ากลัวว่าคงตายในมือสตรีนางนั้นนานแล้ว
ทันใดนั้นฮั่วจี้เฉิงพลันเห็นร่างหนึ่งปรากฏตัวใต้แสงจันทร์สลัว นั่นคือสตรีชุดเขียวนางหนึ่ง อาภรณ์ดูเรียบง่าย เป็นรูปแบบที่สตรีชาวบ้านต้ายงชอบสวมใส่ที่สุด ฮั่วจี้เฉิงพื้นเพเป็นคนแคว้นสู่ย่อมมีทักษะในการประเมินผ้าไหมแพรพรรณอยู่บ้าง เขามองปราดเดียวก็มองออกว่าอาภรณ์บนร่างสตรีนางนี้มิใช่ชุดที่ตัดเย็บจากร้านชื่อดัง แต่เหมือนอาภรณ์ที่สตรีผู้ชำนาญการถักทอตัดเย็บทำขึ้นมาเองเสียมากกว่า หากพบเจอในยามปกติ ฮั่วจี้เฉิงคงคิดว่าสตรีนางนี้เป็นเพียงหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง แต่ ณ ที่แห่งนี้ในยามนี้ นางกลับทำให้หัวใจของฮั่วจี้เฉิงหนาวยะเยือก
สตรีนางนั้นจุดไต้แล้ว แสงไฟสว่างฉายส่องใบหน้าเรียบเฉยของสตรีนางหนึ่ง สตรีผู้นี้หน้าตาธรรมดาสามัญ ทว่าสีหน้าเย็นชานิ่งเฉยบนใบหน้านั่นกลับทำให้ภาพลักษณ์ของนางแลดูลึกล้ำยากหยั่งถึงเพิ่มขึ้นหลายส่วน ฮั่วจี้เฉิงหัวใจกระตุก เขานึกถึงคำเล่าลือเกี่ยวกับสำนักเฟิงอี้ขึ้นมา ได้ยินว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้รูปโฉมงามล้ำเลิศ ศิษย์ทุกคนที่นางรับไว้จึงล้วนมีรูปโฉมทัดเทียมกัน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น คนผู้นี้ก็คือเหวินจื่อเยียน ศิษย์คนแรกของนาง
เหวินจื่อเยียนเป็นศิษย์ที่เจ้าสำนักเฟิงอี้รับไว้ตั้งแต่ยังสาว ไม่เพียงหน้าตาดาษดื่น พรสวรรค์ก็หาใช่ชั้นยอด แต่ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของสตรีนางนี้ทำให้ผู้คนนับถืออย่างแท้จริงจนเจ้าสำนักเฟิงอี้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาสำคัญให้ ได้ยินว่าวันนี้นางยังไม่ทันอายุสามสิบก็ครอบครองวรยุทธ์เจ็ดแปดส่วนของเจ้าสำนักเฟิงอี้แล้ว เมื่อครั้งนั้นที่สำนักเฟิงอี้ช่วยหลี่หยวนทำศึกรอบทิศ เหวินจื่อเยียนเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่สุดของเจ้าสำนักเฟิงอี้ เรียกได้ว่านางกรำศึกทั่วหล้า มือเต็มไปด้วยคาวโลหิต จนกระทั่งต้ายงสยบจงหยวนได้ สตรีนางนี้จึงกลับไปเก็บตัวในสำนักเฟิงอี้ ไม่ค่อยปรากฏตัวด้านนอกง่ายนัก ได้ยินว่าวรยุทธ์ของศิษย์สำนักเฟิงอี้กว่าครึ่ง นางเป็นผู้สั่งสอนให้แทนอาจารย์
ฮั่วจี้เฉิงชำนาญเคล็ดวิชาอยู่ชนิดหนึ่ง สามารถทำให้เสียงหัวใจเต้นกับเสียงลมหายใจแผ่วเบาอย่างยิ่งได้ เวลานี้เขาเสมือนหนึ่งก้อนหินไร้ชีวิต เขารับรู้ได้ว่าสตรีนางนี้กำลังรวบรวมสมาธิเงี่ยหูฟังสายลมพัดยอดหญ้าไหวรอบด้าน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง
เนิ่นนานหลังจากนั้น สตรีนางนี้ก็ดูเหมือนผิดหวัง นางโบกมือดับไต้ จากนั้นร่างกายก็หายไปท่ามกลางราตรี ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ฮั่วจี้เฉิงจึงขยับร่างกายเล็กน้อย เคลื่อนไหวแขนขาที่เหน็บชา เขาโคจรลมปราณอยู่ครู่หนึ่งก็แหงนมองแสงดาวบนฟากฟ้าคำนวณทิศทาง หอกลไกสวรรค์เคยส่งข่าวมาว่าหากเขาไปถึงกระท่อมในชนบทหลังหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปด้านหน้าอีกสามสิบลี้สำเร็จก็จะส่งเขาออกนอกเขตแคว้นต้ายงได้ เมื่อฮั่วจี้เฉิงรู้สึกว่าเรี่ยวแรงฟื้นกลับมามากแล้วจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
การเดินทางท่ามกลางรัตติกาลมืดสลัวเดิมทีก็ยากเย็นอย่างยิ่ง แล้วฮั่วจี้เฉิงยังเป็นวิหคกลัวคันศร ตลอดทางพะวงหน้าพะวงหลัง สุดท้ายกว่าจะมาถึงกระท่อมน้อยหลังนั้นได้ก็ฟ้าสางแล้ว กระท่อมหลังนี้อยู่ห่างไกลยิ่งนัก รอบด้านแทบไม่เห็นร่องรอยคนอาศัย ฮั่วจี้เฉิงลอบสังเกตอยู่นาน เมื่อไม่พบคนดักซุ่มจึงก้าวเข้าไปเคาะประตู บานประตูเปิดออก เด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีสองคนเห็นฮั่วจี้เฉิงก็เผยสีหน้ายินดี ฮั่วจี้เฉิงเดินเข้าไปในกระท่อมจึงเห็นร่างของหานอู๋จี้
หานอู๋จี้เห็นฮั่วจี้เฉิงก็พลันถอนหายใจ หัวหน้าฮั่ว เหตุใดท่านจึงดื้อดึงเช่นนี้ ยามท่านลอบจู่โจมครั้งแรกสำเร็จ ข้าแนะนำให้ท่านรีบถอนกำลังจากไป ท่านกลับไม่ยินยอม วันนี้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเสียหายหนักหนา ท่านจะทำเช่นไรดีเล่า
ฮั่วจี้เฉิงเอ่ยอย่างอับอาย ล้วนเป็นเพราะลูกน้องเหล่านั้นยุยง ข้าจึงตกลงไปในกับดัก แต่ไม่เป็นไร กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วยังมีคนเกือบครึ่งอยู่ข้างนอก ขอเพียงข้าตามหาพวกเขาพบ เพียงสามปีห้าปีก็ผงาดขึ้นอีกครั้งได้ แต่สินค้ารอบนั้นคงต้องฝากท่านจัดการแทนข้าแล้ว
หานอู๋จี้หัวเราะ ไยต้องให้ข้าจัดการแทนท่านเล่า ข้าจะซื้อสินค้ารอบนี้ครึ่งราคา ส่วนท่านพกตั๋วเงินหนีไป ไยมิใช่ดีกว่าเหลือเพียงสองมือเปล่า
ฮั่วจี้เฉิงตกตะลึงถามขึ้นว่า พี่หานพูดจริงหรือ
หานอู๋จี้ตอบว่า ข้าจะกล้าหลอกลวงได้เช่นไร สินค้าเหล่านี้พวกเราจะค่อยๆ จัดการ อย่างไรก็คงไม่ขาดทุน แต่พี่ฮั่วต้องสร้างกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วขึ้นใหม่ ไม่มีเงินจะทำได้เช่นไร
ฮั่วจี้เฉิงค้อมกายคำนับตอบว่า ขอบคุณไมตรีของพี่หานยิ่งนัก หากวันหน้าผู้แซ่ฮั่วพลิกสถานการณ์ได้ จะไม่ทรยศน้ำใจของพี่หานแน่นอน
หานอู๋จี้ยิ้ม มิกล้า มีสหายเพิ่มหนึ่งคน มีหนทางเพิ่มหนึ่งสาย ข้าเพียงทำตามคำสั่งของท่านเจ้าหอเท่านั้น เอาละ พี่ฮั่ว ท่านอาบน้ำผลัดอาภรณ์ก่อน ข้าจะเตรียมสุราอาหาร ท่านกินให้อิ่มแล้วเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าที่ข้าเตรียมให้ แปลงโฉมปลอมตัว เอกสารประจำตัวทั้งหมดข้าตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว ท่านเดินอาดๆ จากไปได้เลย
ฮั่วจี้เฉิงเอ่ยอย่างกังวล แต่เหวินจื่อเยียนของสำนักเฟิงอี้ไล่ตามมาไม่เลิกรา นางจะยอมรามือได้เช่นไร
หานอู๋จี๋หัวเราะ หัวหน้าฮั่ววางใจเถิด ข้าเตรียมศพร่างหนึ่งไว้เป็นตัวแทนท่านแล้ว ศพอยู่ที่ห้องด้านข้างนี่เอง เมื่อท่านไปแล้ว ข้าจะจุดไฟเผากระท่อมแสร้งสร้างเรื่องว่าท่านถูกทำร้าย
ฮั่วจี้เฉิงฉุกใจคิดเรื่องหนึ่งแล้วเอ่ยว่า ให้ข้าดูตัวแทนนั่นก่อนว่าหน้าตาเหมือนหรือไม่
หานอู๋จี้ยกมือชี้ประตูน้อยบานหนึ่ง ฮั่วจี้เฉิงเดินเข้าไปดู บนเตียงหลังหนึ่งด้านในมีศพร่างหนึ่งวางอยู่จริง รูปร่างคล้ายกับตนยิ่งนัก คราวนี้เขาจึงวางใจ ดูท่าหอกลไกสวรรค์คงไม่ได้เตรียมจะโยนหินซ้ำเติมคนตกบ่อ
ฮั่วจี้เฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็กินอย่างตะกละตะกลามจนอิ่มท้องแล้วดื่มชาอีกหนึ่งถ้วย เขารู้สึกปวดร้าวทั่วทั้งตัวจนยากทานทน แต่เขาคิดว่าคงเป็นเพราะระหกระเหินเดินทางมาทั้งคืนจึงเหน็ดเหนื่อยเกินไป เขาอยากนอนหลับสักตื่นยิ่งนัก แต่มีศัตรูไล่ตามมาด้านหลัง ฮั่วจี้เฉิงจึงได้แต่เอ่ยว่า ดูท่าข้าคงต้องไปแล้ว ที่นี่อันตรายเกินไป
หานอู๋จี้ยิ้มน้อยๆ ขออภัยด้วย หัวหน้าฮั่ว ท่านคงไปไหนมิได้แล้ว
ฮั่วจี้เฉิงตกตะลึง คิดจะผุดลุกขึ้นพลันรู้สึกว่าสองขาไร้เรี่ยวแรง กระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ เขามองหานอู่จี้อย่างอึ้งงัน พวกเจ้าก็ทรยศเช่นกันหรือ
หานอู๋จี้เอ่ยอย่างเย็นชา เป็นชาวแคว้นสู่ดุจเดียวกัน แม้พวกเรามิได้ทุ่มเทฟื้นฟูแว่นแคว้น แต่ก็ไม่ทำร้ายคนบ้านเดียวกัน ท่านรับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ทำร้ายชาวแคว้นสู่ที่มิยินดีเข้าร่วมจนตกตายไปเท่าไร ความผิดของท่าน เอาต้นไผ่ทั้งขุนเขามาจารจดก็ไม่พอ
ฮั่วจี้เฉิงเอ่ยอย่างเดือดดาล เรื่องเหล่านี้เกี่ยวอันใดกับเจ้า เจ้าได้ผลประโยชน์จากข้าไปตั้งเท่าไร
หานอู๋จี้เอ่ยอย่างเฉยเมย ใช่แล้ว พวกเราพึ่งพาอาศัยท่านไม่น้อย แต่วันนี้ท่านสิ้นไร้หนทางแล้ว พวกเราไม่ยินดีจะถูกท่านลากลงคลองไปด้วย ท่านล่วงรู้เรื่องราวของหอกลไกสวรรค์ของพวกเราอยู่บ้าง อีกอย่างท่านเจ้าหอสั่งลงมาแล้วว่าต้องชิงสังหารท่านปิดปากก่อนสำนักเฟิงอี้ให้ได้ จะให้สำนักเฟิงอี้รู้ว่าเบื้องหลังท่านมีพวกเราบงการอยู่ไม่ได้เด็ดขาด
ฮั่วจี้เฉิงใจสะท้านเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม้ระยะนี้ตนเองทำการใดสำเร็จดังใจ แต่สิ่งที่ทำเกินกว่าครึ่งก็ล้วนเป็นเขาที่แนะนำ ตนเองกลายไปเป็นหมากให้ผู้อื่นเสียแล้วหรือ เขาทะนงในตัวเองยิ่งนัก เมื่อคิดได้ดังนี้จึงเดือดดาลดั่งคลุ้มคลั่งห้ามตนเองไม่ได้ ดวงตาแทบปริฉีก
หานอู๋จี้แย้มยิ้มจาง เอ่ยขึ้นว่า หัวหน้าฮั่ว ลงไปยมโลกพบหน้าหานจางกับภรรยาก็อย่าลืมขอขมาพวกเขา แล้วก็ฝากบอกคุณชายตระกูลข้าด้วยว่าคุณหนูโหรวหลันสบายดี ดวงตาของฮั่วจี้เฉิงทอประกายวูบหนึ่งเหมือนเพิ่งเข้าใจ พวกเจ้ามาล้างแค้นให้หานจาง
หานอู๋จี้ไม่พูดมากต่อ มีดสั้นเล่มหนึ่งไหลลงมาจากแขนเสื้อ ตวัดเพียงแผ่วเบาก็ปาดผ่านลำคอของฮั่วจี้เฉิง แม้กระทั่งยามชีวิตของบุรุษผู้เหิมเกริมคนนี้สิ้นสุด ดวงตาของเขาก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความคับแค้นและเดือดดาล
หานอู๋จี้หยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาแล้วเทผงด้านในลงบนร่างของฮั่วจี้เฉิง เสียงฟู่ที่ชวนให้คนหวาดผวาดังขึ้นพักหนึ่ง ศพของฮั่วจี้เฉิงก็สลายกลายเป็นแอ่งน้ำใส หลงเหลือไว้เพียงเสื้อผ้าและรองเท้ากับของกระจุกกระจิกเล็กน้อย หานอู๋จี้เอ่ยเรียบๆ ซานจื่อ ฉวีหวง พวกเจ้าเก็บของให้เรียบร้อย พวกเราสมควรไปได้แล้ว
หลังจากหานอู๋จี้คุมเด็กหนุ่มทั้งสองกำจัดร่องรอยทั้งหมดแล้วจุดไฟเผากระท่อม จากไปได้ไม่นาน เหวินจื่อเยียนก็เดินทางมาถึงที่แห่งนี้ นางรู้ตัวนานแล้วว่ามีคนปิดบังร่องรอยของฮั่วจี้เฉิงแล้วสร้างร่องรอยหลอกไม่น้อยเพื่อล่อให้นางไปผิดทาง แต่ในที่สุดนางก็แกะรอยทีละชั้นจนพบร่องรอยที่แท้จริงของฮั่วจี้เฉิง น่าเสียดายนางมาสายไปก้าวหนึ่ง จึงพบแต่ศพไหม้เกรียมร่างหนึ่งเท่านั้น ดวงตาของนางทอประกายเย็นเยียบแลดูประหลาดก่อนจะเก็บศพร่างนั้นขึ้นมา เพราะมาทันกาล ดังนั้นส่วนใหญ่ของศพจึงยังไม่ทันไหม้หมด มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่ไหม้เกรียมไปแล้ว เหวินจื่อเยียนยิ้มหยัน ศพร่างนี้เพียงมองมือเท้าก็รู้แล้วว่ามิใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ ฮั่วจี้เฉิงคิดจะเล่นกลจักจั่นลอกคราบก็ต้องถามตนดูก่อนว่ายอมหรือไม่