ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 6 โหมโรง (2)
ข้าส่ายหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า อู๋จี้ ข้าเข้าใจความคิดของเจ้าดี แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจด้วยว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่มิได้มีใจซื่อสัตย์ภักดีต่อแคว้นสู่ แต่ทำเพื่อช่วงชิงอำนาจที่สูญเสียไปกลับมาเท่านั้น พวกเขาใช้วิธีเช่นนี้ก่อจลาจล มิเพียงแต่จะไม่มีโอกาสสำเร็จ ทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงผู้คนมากมายด้วย สุดท้ายพวกเขาจะทำร้ายคนอีกมากมาย เช่นว่าหากเจ้าไม่มีความสามารถในการปกป้องตนเอง พวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เจ้าคิดดูให้ดีเถิด ข้าไม่บังคับเจ้า เรื่องเหล่านี้ข้ามอบหมายให้คนอื่นไปทำแทนได้
หานอู๋จี้คุกเข่าลงกับพื้น กล่าวอย่างนอบน้อมว่า ผู้น้อยขอขอบคุณในความใจกว้างของคุณชายขอรับ
ข้ามองไปที่เฉินเจิ่น เขาพยักหน้าเล็กน้อย ข้ารู้ดีว่าเขารับช่วงต่อเรื่องนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังจับตาดูหานอู๋จี้ ไม่ปล่อยให้เขาเป็นอันตรายต่องานใหญ่ของข้าได้อีกด้วย
เมื่อเฉินเจิ่นเห็นหานอู๋จี้สงบลงแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า ไม่ทราบว่าคุณชายจะบอกเรื่องตัวตนของค่ายลับต่อยงอ๋องหรือไม่ขอรับ
ข้าแย้มยิ้มเล็กน้อย ถามกลับไปว่า เจ้าคิดเห็นเช่นไร
เฉินเจิ่นกล่าวตอบ ผู้น้อยคิดว่าหากบอกยงอ๋อง เช่นนั้นในอนาคตคุณชายก็จะมีอำนาจปกป้องตนเองน้อยลง แต่หากไม่บอกยงอ๋อง เกรงว่าในอนาคตยงอ๋องจะสงสัยในความภักดีของคุณชายได้ขอรับ
ข้ามองไปทางเสี่ยวซุ่นจื่อ เสี่ยวซุ่นจื่อจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว แต่จะอย่างไรก็มิอาจเปิดเผยตัวตนของค่ายลับอย่างโจ่งแจ้งเป็นอันขาด การที่คุณชายเดินหน้าและถอยหลังได้อย่างอิสระเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะการมีอยู่ของค่ายลับทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น หากยงอ๋องสงสัยในความภักดีของคุณชาย อย่างมากพวกเราก็แค่ออกไปจากต้ายง
ข้าคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าว เสี่ยวซุ่นจื่อสุดโต่งเกินไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้เท่ากับพวกเราจะเป็นศัตรูกับยงอ๋อง ย่อมไม่ดีแน่นอน ทว่าค่ายลับมิอาจเปิดเผยจริงๆ เอาเช่นนี้แล้วกัน ต่อไปข้าจะพยายามไม่พบกับเฉินเจิ่น ให้เฉินเจิ่นรับผิดชอบเป็นผู้ดูแลค่ายลับไป ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อรับผิดชอบถ่ายทอดคำชี้แนะของข้า ต่อไปนี้ภารกิจของค่ายลับก็คือแทรกซึมเข้าสู่ชนชั้นล่างของชาวฉางอันให้ได้ จำคำพูดข้าไว้ให้ดี ห้ามมีส่วนเกี่ยวข้องกับกองกำลังของผู้สูงศักดิ์เป็นอันขาด เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ยงอ๋องรับรู้ถึงการมีอยู่ของค่ายลับก็จะไม่ระแวงข้าเกินไปนัก เพราะจะอย่างไรยงอ๋องคงไม่เชื่อว่าข้าจะไม่มีกองกำลังไว้พึ่งพิงแม้แต่น้อย อย่างมากข้าก็แค่บอกไปว่าค่ายลับเป็นผู้ใต้บัญชาของเสี่ยวซุ่นจื่อ อย่างไรเสียสิ่งที่ข้าบอกก็เป็นเรื่องในอดีต เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยพวกเขาคงเห็นถึงความลึกล้ำมิอาจคาดเดาของเสี่ยวซุ่นจื่อบ้าง
เสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้ารับ ตอนที่ยงอ๋องเข้าจับกุมคุณชายก็ส่งยอดฝีมือจำนวนหนึ่งมาจับตาดูพวกเราอยู่ตลอด แม้ข้าจะเข้าออกจวนได้ตามใจ แต่หากพาคุณชายไปด้วยเกรงว่าคงหนีได้ยาก ตอนนี้องครักษ์ที่ยงอ๋องส่งมาอยู่ข้างกายพวกเราก็มีวรยุทธ์ไม่เลว แต่นั่นหมายถึงการปกป้องคุ้มครองเท่านั้น ในหมู่พวกเขาไม่มียอดฝีมือที่พอจะสู้กับข้าได้เลย วรยุทธ์ของพวกเขาต่ำกว่าข้าไม่น้อย ทำได้เพียงร่วมมือกับข้าเพื่อปกป้องคุณชายเท่านั้น
ขณะข้าคิดกำชับบางอย่างกับพวกเขา จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะและเสียงอาวุธกระทบกันดังแว่วมา ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อย หอสุราเจียงหนานชุนเป็นหอสุราชั้นสูง จะมีคนลงมือที่นี่ได้อย่างไร ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่อครู่หนึ่ง อีกฝ่ายเข้าใจความหมายของข้าจึงรีบเดินออกไปทันควัน ไม่ทันไรก็กลับมาแจ้งต่อข้า ที่แท้มีคนทะเลาะกันอยู่ด้านนอกนี่เอง
เสี่ยวซุ่นจื่อบอกว่าดูเหมือนเป็นเรื่องบุญคุณความแค้นของคนในยุทธภพ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นสงครามนองเลือดมาแล้ว ทั้งยังเคยพบสงครามน้ำลายของเหล่าบัณฑิตมาบ้าง แต่ยังไม่เคยเห็นการล้างแค้นของชาวยุทธภพมาก่อนจึงเกิดความสนใจอย่างอดไม่อยู่ ข้าจึงบอกกล่าวต่อเสี่ยวซุ่นจื่อคำหนึ่งก่อนเดินออกไปจากห้อง
แม้เจียงหนานชุนจะเป็นหอสุราขึ้นชื่อ แต่ความจริงก็เป็นเพียงหอในสวนเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น ในสวนล้วนเป็นทิวทัศน์อย่างเจียงหนาน ไม่ว่าจะบุปผา ป่าไผ่ สะพานน้อย ธาราไหล ภูเขาจำลอง พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้แบ่งพื้นที่ในสวนออกเป็นหลายร้อยเขตอย่างชาญฉลาด แต่ละพื้นที่มีหอศาลาที่มีลักษณะเด่นแตกต่างกันออกไป ล้วนเป็นทิวทัศน์ที่ช่วยให้จิตใจสงบท่ามกลางความวุ่นวายในปัจจุบัน ระหว่างหอแต่ละแห่งมีระเบียงทางเดินเชื่อมกัน นอกระเบียงทางเดินเต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม ดังนั้นพื้นที่หอแต่ละแห่งจึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวและหรูหรายิ่ง เหมาะสำหรับการพบปะพูดคุยความลับเป็นที่สุด
หอน้อยที่ข้าอยู่สงบหรูหราเป็นอย่างยิ่ง เมื่อข้าเปิดประตูห้องที่อยู่ชั้นสองออกไปพบว่าด้านนอกเป็นระเบียงที่ถูกล้อมด้วยรั้วสีแดง ด้านข้างมีบันไดที่ทอดตัวลงไปยังชั้นล่าง องครักษ์ของยงอ๋องล้วนรอรับคำสั่งอยู่ที่ชั้นล่าง ส่วนข้ายืนอยู่หน้ารั้วตรงระเบียง ทอดสายตามองลงไป พบว่าบริเวณระเบียงทางเดิมที่เชื่อมไปสู่หอน้อยอีกแห่งหนึ่งมีชายชราผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ ด้านหลังเขามีบุรุษวัยกลางคนหน้าตาดุดันยืนอยู่สองคนและดรุณีน้อยผู้มีรูปโฉมงดงามยืนอยู่อีกคนหนึ่ง
บนภูเขาจำลองที่อยู่นอกระเบียงทางเดินมีบัณฑิตในอาภรณ์สีเหลืองยืนอยู่ คนผู้นั้นมีรูปโฉมหล่อเหลางดงาม เพียงแต่คละเคล้าด้วยลักษณะเสเพลอยู่หลายส่วน ในมือถือขลุ่ยหยกอยู่เลาหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามของเขามีชายหนุ่มหน้าตาองอาจยืนประจันหน้าอยู่ คนผู้นั้นถือกระบี่หยกอยู่ในมือ ทั้งสองกำลังต่อสู้ประมือกัน วิชากระบี่ของชายหนุ่มผู้นั้นไม่เลวเลย กระบี่ฟาดฟันฉวัดเฉวียนทำให้บัณฑิตผู้นั้นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ทว่าบัณฑิตผู้นั้นกลับแค่นหัวเราะออกมาอย่างดูแคลน ข้าเห็นชายหนุ่มผู้นั้นหน้าแดงก่ำไปถึงหู เรียกได้ว่าโกรธจนคลั่งแล้วโดยแท้
ขณะที่ข้ามองลงไป บัณฑิตผู้นั้นกำลังลงมือตอบโต้พลางตะโกนว่า โอ้ จะเอาชีวิตกันจริงๆ หรือ บัณฑิตน้อยเช่นข้าเพียงพูดหยอกล้อไม่กี่ประโยค ทั้งยังไม่ได้แย่งชิงสาวงามกับเจ้า เจ้าวางใจเถิด แม้ศิษย์น้องของเจ้าจะงดงาม แต่ข้าเห็นสาวงามในใต้หล้าจนชินชาหมดแล้ว เห็นคนงามกว่านางมาก็ไม่น้อย เพียงแค่หยอกล้อไม่กี่ประโยค ทั้งยังไม่ได้แตะต้องนางแม้แต่ปลายเส้นผม เหตุใดต้องสู้สุดชีวิตเพียงนี้เล่า
ชายหนุ่มผู้นั้นตะโกนลั่น เหลวไหล ไร้สาระ เจ้ามาขอพึ่งพาอาศัย พวกเราก็ต้อนรับขับสู้เจ้าด้วยเจตนาดี แต่เจ้า เจ้ากลับทำเรื่องเสียมารยาทเช่นนั้นออกมาได้ ผิดต่อศิษย์น้องของข้ายิ่ง กล่าวจบก็ตวัดกระบี่เร็วยิ่งขึ้น
บัณฑิตอาภรณ์เหลืองผู้นั้นสกัดกระบวนท่าพลางกล่าวสาบานด้วยท่าทีจริงจัง สตรีงามชั้นยอด บุรุษล้วนหมายปอง ข้าเพียงเลื่อมใสคนงามจึงตามจีบคุณหนูเจียงอยู่ไม่กี่วัน ทั้งยังไม่ได้มีพฤติกรรมเสียมารยาทแม้แต่น้อย อีกอย่างคุณหนูเจียงเป็นศิษย์สำนักเฟิงอี้ ต่อให้ข้ามีความกล้าหาญคับฟ้าก็ไม่กล้าล่วงเกินนางเป็นแน่ จิงจิง จิงจิง เจ้าช่วยอธิบายแทนข้าด้วยเถิดว่าข้ามิได้ทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจจริงๆ
ดรุณีรูปโฉมงดงามผู้นั้นมีใบหน้าแดงระเรื่อ กล่าวอย่างดุดันว่า ตามจีบอันใดกัน วันๆ เอาแต่พัวพันอยู่ข้างกายข้า ไม่มีอะไรทำก็ไปเป่าขลุ่ยเซียวอยู่ด้านนอก อีกทั้ง…อีกทั้งยังขโมยของของข้าด้วย เจ้าอยู่เฉยๆ ให้ศิษย์พี่ของข้าตีเจ้าดีๆ เถิด จากนั้นก็คืนของเข้ามา มิเช่นนั้นข้าไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่
บัณฑิตอาภรณ์เหลืองผู้นั้นทอดถอนใจยาว เฮ้อ ดูแล้วพวกเจ้าคงไม่ยอมปล่อยข้าไปแน่ นี่น้องชาย ดูเรื่องสนุกพอแล้วกระมัง หากเจ้ายังไม่ช่วยข้าอีก ข้าคงตายแน่แล้ว
ขณะกล่าว ขลุ่ยหยกในมือของบัณฑิตผู้นั้นก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นเงาพิสดารนับร้อยพัน ชายหนุ่มคู่ต่อกรคล้ายแยกแยะไม่ออกจึงถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ผู้ใดจะทราบ เขาถึงกับลืมว่าตนยืนอยู่บนภูเขาจำลอง ทำให้ร่างกายโอนเอนไปครู่หนึ่ง เขารีบหยัดยืนให้มั่นคง ทว่าในพริบตานั้นเอง ชายบัณฑิตพลันทะยานตัวขึ้น พร้อมมุ่งหน้ามายังทิศทางที่ข้ายืนอยู่ ปากก็ตะโกนว่า น้องชาย ช่วยข้าด้วย
ชั่วขณะที่ร่างกายของเขาพุ่งทะยานมา ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หลังชายชราก็ทะยานร่างออกมาจากด้านหลังประดุจเหยี่ยว บัณฑิตผู้นั้นสะบัดมือ ไม่นานก็เกิดเสียงระเบิดรุนแรงดังขึ้นครั้งหนึ่ง พื้นที่บริเวณหลายจั้งในสวนเต็มไปด้วยควันสีเขียวพวยพุ่ง ในกลุ่มควันยังคละเคล้าไปด้วยควันสีแดงจางๆ ตอนนี้เอง บัณฑิตผู้นั้นตะโกนออกมาว่า น้องชาย อย่าใช้พิษ ข้ากับพวกเขามิได้มีความแค้นยิ่งใหญ่อันใดต่อกัน
ทุกคนรีบกลั้นหายใจทันควัน เมื่อควันสีเขียวสลายไป หลายคนก็จ้องเขม็งมา ทว่าบัณฑิตผู้นั้นหนีไปทางระเบียง หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว บัณฑิตอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งหัวเราะเสียงแห้ง บ่าวท่าทางสำอางที่ยืนอยู่ด้านหลังก็หันหน้าหนีคล้ายกำลังแอบหัวเราะ
ชายหนุ่มผู้นั้นชี้กระบี่มาทางระเบียงอย่างโกรธเกรี้ยวพลางกล่าวว่า เจ้าสารเลวผู้นั้นรีบส่งตัวเขาออกมาเสีย เจ้าถึงกับใช้พิษกลางวันแสกๆ เช่นนี้ จะต้องไม่ใช่คนดีอันใดแน่
ข้าที่ถูกกระบี่ชี้หน้าอดหัวเราะเสียงแห้งมิได้ นี่ข้าถึงกับถูกใส่ความเชียวหรือ เมื่อครู่เสี่ยวซุ่นจื่อลอบบอกกับข้าว่าบัณฑิตผู้นั้นต้องการฝ่าวงล้อมออกไป ข้าจึงทำเพียงดูด้วยความใคร่รู้ว่าเขาจะฝ่าออกไปเช่นไร เมื่อยามที่ควันสีเขียวปรากฏ เสี่ยวซุ่นจื่อก็รีบมาขวางอยู่ด้านหน้าข้า จากนั้นพวกเราก็ได้ยินคำพูดใส่ความของอีกฝ่าย ควันสีแดงนั้นคือสิ่งใดข้าเองก็ไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าไม่ใช่ยาพิษแน่นอน ทว่าสำหรับคนที่ถูกความโกรธเกรี้ยวบังตาแล้ว จะอธิบายอย่างไรได้อีกเล่า
ตอนนี้เอง องครักษ์หลายนายของจวนยงอ๋องก็พุ่งทะยานขึ้นมาชั้นบน เมื่อเห็นข้าปลอดภัยไร้อันตรายองครักษ์ผู้หนึ่งก็เดินมาข้างกายข้าพลางกระซิบถาม ใต้เท้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ
ข้าส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนกล่าวด้วยเสียงอันดัง ท่านทั้งหลาย คนเมื่อครู่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า ขอให้พวกท่านตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยเถิด
ชายหนุ่มผู้นั้นตวาดกลับ อย่ามาพูดจาเล่นลิ้น ตอนที่พวกเราพบคนผู้นั้น เขากำลังเดินไปหาเจ้า เมื่อครู่ก็ฝ่าวงล้อมไปทางเจ้า หากพวกเจ้ามิได้เป็นพรรคพวกกันก็แปลกแล้ว บอกมาเสีย เจ้าเซี่ยจินอี้ เสเพลผู้นั้นเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า
ข้าแย้มยิ้มบางเบาพลางกล่าว ข้าไม่รู้จักคนผู้นั้นจริงๆ โปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วย
ทันใดนั้นเอง ชายชราก็กล่าวขึ้นว่า เจ้าดูถูกสติปัญญาของพวกเราเพียงนี้เชียวหรือ เดิมทีเจ้าคนแซ่เซี่ยก็เดินไปทางเจ้า เมื่อครู่พอเห็นพวกเจ้าก็คิดฝ่าวงล้อมออกไปทางเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากพวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกัน เหตุใดจึงไม่ท้วงติงตั้งแต่แรกเล่า
ขณะนี้เอง องครักษ์ผู้หนึ่งเดินมากระซิบข้างหูข้าว่า คนพวกนี้เป็นคนของสมาพันธ์กวนจงแห่งฉางอัน ชายชราผู้นั้นคือซาชิงหยวนผู้นำสมาพันธ์ สมาพันธ์กวนจงรวบรวมชาวยุทธ์ในฉางอันเอาไว้มากมาย เป็นสมาพันธ์ที่คอยควบคุมชาวยุทธ์ให้กับราชสำนัก ซาชิงหยวนผู้นี้มีจุดยืนเป็นกลาง แต่ค่อนข้างโน้มเอียงไปทางฉีอ๋อง เนื่องจากลูกศิษย์ลูกหาหลายคนของเขาล้วนรับใช้อยู่ในกองทัพฉีอ๋องขอรับ
เมื่อได้ยินดังนี้ สมองของข้าพลันคิดสร้างแผนการคร่าวๆ ออกมาได้แผนหนึ่ง รีบเอ่ยปากกล่าวว่า ท่านเจ้าสมาพันธ์กล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้องนัก พวกข้าได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกจึงออกมาดูความครึกครื้นเท่านั้น แต่จู่ๆ คนผู้นั้นก็ลากพวกข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ใกล้ๆ นี่ยังมีระเบียงอยู่อีกหลายแห่ง ผู้น้อยจะทราบได้อย่างไรว่าคนผู้นี้จะหนีมาทางพวกข้า ท่านเจ้าสมาพันธ์ฟังความเพียงข้างเดียวเช่นนี้ มิสมฐานะจริงๆ