ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 7 พานพบสหายเก่า (1)
ชายชราผู้นั้นขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มตรงหน้านี้แม้จะเป็นบัณฑิตอ่อนแอ ทั้งคำพูดคำจายังฟังอ่อนน้อมถ่อมตน แต่กลับคละเคล้าไปด้วยอำนาจคุกคามที่ซ่อนแฝง คล้ายมิให้ความสำคัญต่อฐานะของตนนัก เขาเองก็เป็นผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่ง ทราบดีว่าผู้ที่มายังเจียงหนานชุนแห่งนี้ล้วนมิใช่คนธรรมดาอันใด อีกทั้งด้านหลังของเขายังมีองครักษ์อยู่หลายคน พวกเขาล้วนมีบรรยากาศหนักอึ้ง มีแววตาเย็นชาดุดันเช่นยอดฝีมือ เห็นดังนั้นอีกฝ่ายจึงอดกล่าวไม่ได้ว่า ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร
ข้ายอมยิ้มเล็กน้อยก่อนส่งสัญญาณให้องครักษ์ด้านข้างกาย องครักษ์ผู้นั้นจึงตอบกลับไปอย่างฉะฉาน ท่านผู้นี้คือผู้ใต้บัญชาของยงอ๋อง ดำรงตำแหน่งซือหม่าแห่งจวนแม่ทัพเทียนเช่อ นามเจียงเจ๋อ ใต้เท้าเจียง
ชายชราผู้นั้นสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ซือหม่าแห่งจวนแม่ทัพเทียนเช่อ นี่เป็นตำแหน่งขุนนางอันดับต้นๆ ที่อยู่ภายใต้บัญชาของยงอ๋อง เขารีบโค้งตัวกล่าวอย่างมากมารยาทว่า ผู้น้อยชิงหยวนล่วงเกินใต้เท้าซือหม่าแล้ว ขอให้ใต้เท้าโปรดอภัยด้วยขอรับ
ข้ากล่าวเสียงเรียบ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด บัณฑิตอาภรณ์เหลืองผู้นั้นคือใครหรือ ถึงกับคิดใส่ร้ายข้าผู้นี้เชียว
ชายชรากล่าวอย่างกระอักกระอ่วน คนผู้นั้นแซ่เซี่ย นามเซี่ยจินอี้ เป็นโจรเสเพลที่มีชื่อในยุทธภพ เคยเป็นลูกศิษย์ของสำนักคงต้ง แต่เพราะมีพฤติกรรมเสเพลจึงถูกไล่ออกจากสำนัก เนื่องจากไม่ได้กระทำผิดเรื่องใหญ่อันใดจึงไม่ถูกทำลายวรยุทธ์ ก่อนหน้านี้เขามาที่เรือนของผู้น้อยหวังเข้าร่วมสมาพันธ์กวนจง ผู้น้อยเห็นว่าแม้คนผู้นี้จะมีนิสัยเสเพลไปบ้าง แต่ก็ยังมีใจคิดทำประโยชน์เพื่อต้ายงจึงรับเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะใจกล้าคับฟ้า ไม่เพียงแต่หยอกล้อดรุณีน้อย ทั้งยังขโมยของของนางไปอีกด้วย เดิมทีเพียงคิดส่งคนมาจับคนเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะพบเขาที่นี่ ทั้งยังถูกแผนการของเขาหลอกล่อเสียด้วย ทำให้ล่วงเกินใต้เท้าแล้ว
ข้าพยักหน้าด้วยท่าทีคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างก่อนตอบ ท่านเจ้าสมาพันธ์เชิญตามสบายเถิด คนผู้นี้กำเริบเสิบสานยิ่ง หากข้าจับกุมได้ ข้าจะส่งถึงมือท่านเจ้าสมาพันธ์ให้ท่านจัดการลงโทษเป็นแน่
ซาชิงหยวนกล่าวอย่างยินดียิ่ง เช่นนั้นต้องขอบคุณใต้เท้าแล้วขอรับ
เมื่อกลับเข้ามาในห้อง ข้าก็มองไปทางเฉินเจิ่นและหานอู๋จี้ พลันนั้นข้าก็หัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าจะมีคนหลอกกระทั่งข้าด้วย
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยถาม คุณชายต้องการจับกุมเขาจริงๆ หรือขอรับ
ข้ายิ้มตอบ ใช่แล้ว ต้องจับกุมเขาแน่นอน แต่อย่าทำร้ายเขาเป็นอันขาด ข้าต้องการใช้คนผู้นี้ เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้ามีทางจับกุมเขาโดยมิให้ผู้อื่นรู้หรือไม่ เรื่องนี่ค่อนข้างยาก หากไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร สุดท้ายข้าย่อมมีวิธีอื่น
เสี่ยวซุ่นจื่อหัวเราะ คุณชายโปรดวางใจ เมื่อครู่ข้ามิได้ลงมือกับเขาเพราะต้องปกป้องคุณชาย แต่ข้าใช้กลิ่นสำหรับติดตามใส่เขาไว้แล้ว
ข้ามองไปยังเฉินเจิ่น เฉินเจิ่นจึงกล่าวขึ้นว่า คุณชายโปรดวางใจ พวกเรานำหนูตามกลิ่นสำหรับใช้ในการไล่ล่ามาด้วย ไม่ทราบว่าคุณชายอยากพบเขาที่ใดขอรับ
ข้าคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ คิดหาวิธีพาเขามาหาข้าที่นี่อย่างลับๆ จำไว้ว่าอย่าเผยร่องรอยเป็นอันขาด ข้าจะมาพบเขาพรุ่งนี้ จำไว้ อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด พวกเจ้าจงสกัดจุดเขาแล้วจับขังในกล่องก่อนพามาที่นี่
เฉินเจิ่นพูดขึ้นว่า คุณชายวางใจเถิด ที่นี่พวกเรารับผิดชอบเองขอรับ จะไม่เผยร่องรอยเป็นอันขาด
ระหว่างทางกลับจวน ข้ากำลังคิดคำนวณถึงความเป็นไปได้ของแผนการ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้มาก ขณะที่ข้านั่งอยู่ในรถม้า กำลังคิดแผนโต้ตอบเพลินๆ นั้นเอง จู่ๆ รถม้าก็หยุดลงกะทันหัน ร่างกายของข้าผงะไปด้านหน้า โชคดีที่เสี่ยวซุ่นจื่อประคองข้าไว้ทันกาลจึงมิได้ล้มลงไปจริงๆ ตอนนี้เอง ด้านนอกมีเสียงรายงานดังแว่วมา ใต้เท้า มีชายผู้หนึ่งพุ่งมาชนรถม้าขอรับ คนผู้นี้วิ่งออกมาจากซอยกะทันหัน ทำให้ม้าตกใจ แต่เขาหมดสติไปแล้ว อา ใต้เท้า คนผู้นี้แบกเด็กคนหนึ่งอยู่บนหลัง มีรอยแผลตรงหน้าอกด้วยขอรับ
ไม่ทันไรด้านนอกก็มีเสียงดาบเสียงกระบี่กระทบกันดังแว่วมา ไม่นานก็มีคนกลับมารายงานว่า ใต้เท้าขอรับ มีคนตามสังหารคนผู้นี้อยู่หลายคน พวกเราจับได้สองคน หนีไปได้คนหนึ่งครับ
ข้ากล่าวเสียงขรึมว่า พาเขากลับไป สอบถามให้ละเอียด ได้ผลแล้วแจ้งแก่ข้าด้วย
ขอรับ เสียงตอบกลับที่เต็มไปด้วยความนอบน้อมดังแว่วมาจากนอกรถม้า
ข้าหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวขึ้นว่า มิน่าเล่าคนทั่วไปจึงชื่นชอบเกียรติยศและความมั่งคั่งนัก ทำเพียงออกคำสั่งเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่ชอบเล่า
เสี่ยวซุ่นจื่อกระซิบถาม ต้องการให้ข้าลงไปดูหรือไม่ขอรับ
ข้าส่ายหน้า ไม่ต้องแล้ว คงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเรา ให้คนของจวนยงอ๋องไปตรวจสอบเถิด
เช้าวันต่อมา องครักษ์ที่ทำหน้าที่คุ้มครองข้าเมื่อวานก็เข้ามารายงานผล กล่าวว่าคนที่พวกเราช่วยไว้ได้สติแล้ว เพียงแต่บาดเจ็บสาหัส เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน คนผู้นี้เรียกตัวเองว่าหานจาง นอกจากนี้ก็ไม่ยอมบอกอะไรทั้งสิ้น ข้ามองไปทางเสี่ยวซุ่นจื่อด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม จะเป็นหานจางที่ข้ารู้จักหรือไม่ เสี่ยวซุ่นจื่อเดินออกไปครู่หนึ่งก็กลับมารายงานข้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่าเป็นหานจาง องครักษ์ที่เคยคุ้มครองข้าตอนอยู่แคว้นสู่จริงๆ
ข้าผุดลุกขึ้นโดยพลัน เร่งรุดรีบเดินไปยังสถานที่ที่หานจางพักรักษาตัว จนกระทั่งมาถึงห้องปีกที่สะอาดสะอ้านแห่งหนึ่ง หานจางนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีดราวกระดาษ ข้าเดินเข้าไปจับชีพจรเขา ไม่นานก็ดึงมือกลับ ยามนี้เขาเป็นตะเกียงใกล้สิ้นแสงแล้ว ข้าทำได้เพียงส่ายหน้า ยัดยาลูกกลอนเข้าไปในปากเขาเม็ดหนึ่ง ใบหน้าของเขาจึงค่อยปรากฏเลือดฝาดอย่างช้าๆ
ยามเมื่อเขาลืมตามาเห็นข้า ในดวงตาพลันปรากฏแววกระปรี้กระเปร่า ข้านั่งลงข้างกายเขา กล่าวอย่างใจเย็นว่า น้องหาน พวกเราพบกันช้าไปแล้ว ไม่กี่วันมานี้เจ้าคงได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นแน่ ทั้งยังไม่ได้พักผ่อนให้ดี ตอนนี้้ข้าไร้ความสามารถจะช่วยเหลือแล้ว เหตุใดเจ้าจึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้เล่า หากมีความปรารถนาใดจงบอกข้ามาเถิด เห็นแก่ที่พวกเราเคยรู้จักกัน ข้าจะพยายามทำตามความปรารถนาของเจ้าอย่างสุดความสามารถ
เสี่ยวซุ่นจื่อส่งสัญญาณให้คนอื่นถอยออกไป จากนั้นจึงมายืนอยู่ด้านหลังข้า มองไปทางหานจาง ดวงตาเย็นเฉียบ
หานจางเอ่ยปาก ใต้เท้าเจียง คิดไม่ถึงว่าจะได้พบท่านที่นี่ ท่านหันมาพึ่งพาต้ายงแล้วหรือ
ข้าแย้มยิ้มเล็กน้อย หนานฉู่พ่ายแพ้ย่อยยับต่อจากแคว้นสู่ แม้วันหน้าจะยืนหยัดขึ้นได้อีกครั้งแต่อย่างมากก็เป็นเพียงการต่อลมหายใจสุดท้ายออกไปเท่านั้น ถูกแล้ว ข้าหันมาพึ่งพิงยงอ๋องแล้ว
หานจางทอดถอนใจ ยังดี ยังดี ต้ายงยิ่งใหญ่เกรียงไกร คนพวกนั้นวิสัยทัศน์ย่ำแย่ยิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่มีโอกาสสำเร็จอย่างสิ้นเชิง ใต้เท้า แม่ยายและภรรยาของข้าล้วนตายจากไปหมดแล้ว ขอท่านได้โปรดเห็นแก่ที่เคยรู้จักกัน ช่วยดูแลบุตรีของข้าด้วยเถิด ช่วยดูแลให้นางเติบโตไปอย่างสงบปลอดภัยด้วยเถิดขอรับ
แววตาของข้าสั่นไหว บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น มิเช่นนั้นวันหน้าข้าจะอธิบายแก่บุตรีของเจ้าได้อย่างไร
ดวงตาของหานจางแปรเปลี่ยนเป็นเหม่อลอย เขากล่าวว่า หลังจากไปจากใต้เท้าแล้ว หานจางก็มิได้ไปปลูกผักทำนาอีก เดิมทีข้าเป็นศิษย์สำนักชิงเฉิง เคยฝึกวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่เพราะมีความแค้นของบ้านเมือง ข้าจึงไปเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วซึ่งเป็นกองกำลังต่อต้านต้ายง แค่กๆ แต่ลู่โหวที่รักษาการณ์อยู่ในสู่จงปราดเปรื่องแกร่งกล้ายิ่ง พวกเรารบแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นพวกเขาก็บ้าไปแล้ว ถึงกับเริ่มเข่นฆ่าสังหารราษฎรชาวแคว้นสู่อย่างโหดเหี้ยม พวกเขากล่าวว่าทุกคนที่ไม่ยอมต่อต้านหนานฉู่และต้ายงล้วนเป็นกบฏ สุดท้ายเมื่อพวกเขารู้ว่าข้าเคยอยู่ในค่ายทหารของหนานฉู่ก็ตามสังหารข้าไปทุกที่ แม้ข้าจะอธิบายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ข้าจึงทำได้เพียงอุ้มบุตรีหนีออกมา เดิมทีข้าคิดว่าภรรยาของข้าเป็นบุตรีของแม่ทัพเถียน หัวหน้ากลุ่มพันธมิตรก็เป็นญาติผู้พี่ของนาง คงไม่คิดทำร้ายนางแน่นอน แต่ภายหลังเมื่อข้าจับตัวมือสังหารได้คนหนึ่ง เขากลับบอกข้าว่าภรรยาของข้าตายแล้ว ทั้งยังตายอย่างอนาถยิ่ง นั่นเป็นเพราะหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรเคยเป็นคู่หมั้นของภรรยาข้า แต่ปีนั้นนางหลบหนีการแต่งงานออกมาแต่งให้ข้า เขาจึงมีใจคิดสังหารข้าอยู่ตลอด ส่วนภรรยาข้า เมื่อเขาบีบบังคับไม่สำเร็จจึงถูกสังหารจนตาย แม่ยายข้าก็ฆ่าตัวตายตาม ใต้เท้า ตอนแรกท่านบอกให้ข้ากลับไปบ้านเกิดและใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ข้ากลับไม่ยอมเชื่อฟังท่าน จึงได้มีจุดจบเช่นนี้
เมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองของหานจาง ข้าจึงกล่าวไปเรียบๆ ว่า ตอนนั้นข้าได้ยินเจ้าร้องไห้กลางดึกก็รู้แล้วว่าเจ้าคงมิอาจปลีกตัวออกจากเรื่องนี้ได้แน่ เจ้าเป็นคนแคว้นสู่ ข้ามิอาจโน้มน้าวมิให้เจ้าละความคิดกู้ชาติ จุดยืนของเจ้าไม่ได้ผิดอันใด เพียงแต่เจ้าเลือกผู้ร่วมงานผิดคนเท่านั้น เจ้าวางใจเถิด คู่แค้นของเจ้าต้องไม่มีจุดจบที่ดีเป็นแน่
แววตาของหานจางเต็มไปด้วยประกายไฟลุกโชน ใต้เท้า ขอร้องเถิด โปรดดูแลบุตรีของข้าด้วย ท่านไม่จำเป็นต้องบอกนางทุกสิ่งอย่าง ข้าไม่อยากให้นางถูกความแค้นของแว่นแคว้นเข้าพัวพันไปชั่วชีวิต ข้าอยากให้นางแต่งงานคลอดบุตร มีชีวิตที่สงบสุข
ข้าถอนใจเบาๆ ไปอุ้มบุตรีเขาเข้ามา
เสี่ยวซุ่นจื่อเดินออกไปครู่หนึ่งไม่นานก็กลับมาพร้อมดรุณีน้อยอายุราวหนึ่งขวบกว่า เด็กน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ยื่นมือไปทางบิดาคล้ายต้องการให้เขาอุ้ม ใบหน้าที่ยังเยาว์นั้นดูน่ารักยิ่ง ดวงตากลมโตทั้งสองเปล่งประกายราวน้ำพุ ข้าเห็นหานจางมีท่าทียินดีแต่กลับไม่อาจลุกขึ้นนั่ง ข้าจึงยื่นมือมาอุ้มนางเสียงเอง จากนั้นจึงจูบลงไปบนแก้มนางอย่างอดไม่อยู่ ดรุณีตัวน้อยส่งเรียกเอ่ยเรียกว่า ท่านพ่อ มือเล็กๆ คว้าจับผ้าที่พันอยู่รอบคอข้า ข้ามองนางด้วยความเปี่ยมสุขก่อนกล่าวว่า น้องหาน บุตรีของเจ้าปราดเปรื่องยิ่งนัก ทั้งยังน่ารักมากด้วย
ไม่ทราบว่าหานจางไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใดถึงกับลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมทั้งคารวะและกล่าววิงวอนว่า ใต้เท้า ข้าทราบดีว่าอาจเป็นการบีบบังคับท่านเกินไป แต่ขอร้องเถิด ท่านช่วยรับบุตรีคนนี้ไว้ด้วยเถิด โปรดดูแลนางให้ดีด้วยเถิดขอรับ
ข้าชะงักไปเล็กน้อย กำลังคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่มีเค้าความงามของเด็กน้อยก็พูดคำใดไม่ออก พานให้คิดไปว่าหากเพียวเซียงมิได้ลาลับไปแล้ว บุตรของพวกเราคงเติบโตเท่านี้แล้วกระมัง เมื่อคิดเช่นนั้นข้าก็เกิดใจอ่อน บอกไปว่า ข้าตัวคนเดียวไม่มีภรรยา หากน้องหานมิรังเกียจ ข้าจะรับเด็กคนนี้เป็นลูกบุญธรรม จะปฏิบัติต่อนางดั่งลูกแท้ๆ น้องหาน เด็กคนนี้มีชื่อว่าอะไรหรือ
หานจางหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจ กล่าวตอบเบาๆ ว่า ใต้เท้า เดิมทีหานจางเป็นเด็กกำพร้า เรื่องแซ่ก็ใช้ตามที่ท่านอาจารย์ตั้งให้ หากใต้เท้าไม่รังเกียจ โปรดเลี้ยงดูเด็กคนนี้เป็นดั่งลูกแท้ๆ ของท่าน อย่าได้กล่าวถึงฐานะดั้งเดิมของนางอีกเลย
ข้ามองหานจาง เมื่อมองผ่านดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้าท้อแท้คู่นั้น พลันเห็นความรักที่เขามีต่อบุตรสาวที่คละเคล้าไปด้วยความเสียใจอันยิ่งยวด ข้าจึงกล่าวต่อไปด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า ย่อมได้ ภรรยาแซ่หลิวของเจ้าตกตายไปเพราะพบเจอความยากลำบากแล้ว ข้าจะบอกเด็กคนนี้ว่านางคือบุตรีแท้ๆ ของข้า ส่วนชื่อ ให้ชื่อเจียงโหรวหลันแล้วกัน
หานจางกล่าวด้วยท่าทีซาบซึ้งใจ ขอบคุณใต้เท้ามากขอรับ โหรวหลัน โหรวหลัน ฮั่วจี้เฉิง หัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วใช้วิธีโหดเหี้ยมร้ายกาจยิ่ง ต่อไปใต้เท้าต้องระวังให้มากนะขอรับ
กล่าวจบหานจางก็หลับตาลง ไร้ซึ่งเสียงลมหายใจอีก ตอนนี้เองโหรวหลันยื่นมือทั้งสองออกไปทางบิดาของตนคล้ายต้องการให้อีกฝ่ายโอบอุ้ม ข้าอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมกอด น้ำตาสายหนึ่งหยดหายไปราวกับฝุ่นละออง ในสงครามอันวุ่นวายมีเรื่องน่าสังเวชเช่นนี้เกิดขึ้นมิใช่น้อย โหรวหลันร้องไห้หนัก ราวกับทราบว่าบิดาของตนจากโลกนี้ไปแล้ว