ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 13 ปรมาจารย์มาเยือน (1)
เฉิงซูเอ่ยอย่างเวทนา “เด็กโง่ เจ้าเป็นเพียงเด็กชะตารันทดคนหนึ่งที่ถูกคนเหล่านั้นหลอกลวงเท่านั้น มาบอกท่านลุงเฉิง หลังจากนี้เจ้าวางแผนไว้อย่างไร”
คุณหนูเซวียเอ่ยอย่างสับสน “ท่านลุงเฉิง ข้าก็ไม่รู้ว่าสมควรทำเช่นไร ก่อนหน้านี้ข้าเป็นศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ ชาติตระกูลมิใช่ชั่ว บุรุษที่ปรารถนาตัวข้ามีไม่รู้เท่าไร แต่หัวใจข้ามีเพียงเผยอวิ๋นผู้เดียว ไม่ใช่เพราะเขาคือคู่หมั้นของข้า แต่เพราะข้าชอบเขา
เมื่อเขาไปฝึกวิชายุทธ์ที่เส้าหลิน ข้าก็คิดอยากคู่ควรกับเขา ข้าไม่ต้องการให้เขาเห็นข้าเป็นเพียงสตรีธรรมดานางหนึ่ง ข้าปรารถนาจะเป็นความภาคภูมิใจของเขา ดังนั้นข้าจึงกราบเข้าเป็นศิษย์สำนักเฟิงอี้ ยามนี้ข้าพอจะกล่าวได้ว่าตนเองเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ รูปโฉมก็เรียกได้ว่างามโดดเด่น ข้าคิดว่าเขาจะเห็นข้าเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า ทว่าเขากลับเย็นชาต่อข้ามากขึ้นทุกที สุดท้ายยังตบแต่งกับผู้อื่น
ตอนแรกท่านพ่อเกลี้ยกล่อมข้าว่าอย่ายุ่งเกี่ยวกับเขาต่ออีกเลย แต่ข้ารู้สึกไม่ยินยอม ข้าตรากตรำลำบากเช่นนี้เพื่อเขา แต่เขากลับเห็นข้าเป็นรองเท้าขาดๆ พี่น้องทั้งหลายยุให้ข้าฝืนแต่งงานกับเขา แต่นั่นกลับไม่มีประโยชน์ เขาเอาแต่รักษามารยาทกับข้า ตกกลางคืนกลับไปอยู่ข้างกายสตรีนางนั้นเสมอ
ข้าคับแค้นนัก คับแค้นยิ่งนัก แต่ข้ามิอยากแสดงความอ่อนแอ จึงทำได้เพียงเบิ่งตามองพวกเขาอยู่ด้วยกัน ต่อมาเด็กคนนั้นเกิด ข้าไม่เคยเห็นเขายินดีเช่นนั้นมาก่อน พ่อตากับแม่ยายล้วนเอาแต่ดูแลแม่ลูกคู่นั้น สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนทนได้ ขอเพียงเขาหันมามองข้าสักครั้ง แต่เมื่อเขามา เขากลับเอ่ยเรื่องหย่าร้างกับข้า ในที่สุดข้าก็ทนไม่ไหว จึงคิดสังหารเด็กที่ทำลายความสุขของข้าคนนั้นแต่กลับล้มเหลว เขาไม่มีวันอภัยให้ข้าแล้ว”
เฉิงซูมองดูคุณหนูเซวียร่ำไห้เสียงดัง ในใจรู้ดีว่าหากมิใช่ยามนี้นางใจสลาย คงไม่มีวันเล่าความในใจให้คนนอกเช่นตนฟัง ในใจเขาทั้งสงสารทั้งเสียดาย อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “เด็กน้อย อย่าหาว่าลุงต่อว่าเจ้าเลย เจ้าคิดผิดมหันต์ที่ไปสำนักเฟิงอี้ ศิษย์ที่สำนักเฟิงอี้สั่งสอนล้วนงามสง่า มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเป็นฮองเฮาหรือพระสนมก็จริง แต่เผยอวิ๋นเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง
อย่างลุงเองเมื่อตอนแต่งงานกับท่านป้าของเจ้า ไม่ถึงสามเดือนลุงก็ไปรบ ท่านป้าของเจ้าต้องดูแลบุพการีทั้งสองเพียงลำพังสิบสองปีเต็ม จนกระทั่งข้าได้เป็นแม่ทัพจึงรับพวกเขามาฉางอัน เวลานั้นบุตรของข้าก็โตเสียแล้ว แต่ลุงเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นข้าก็ติดตามฝ่าบาทกรำศึกจากตะวันออกจรดตะวันตก ไฉนจะมีเวลาดูแลบิดามารดาบุตรชายบุตรสาว ล้วนเป็นท่านป้าของเจ้าที่ลำบากดูแลครอบครัว ทุกคนต่างล้อเลียนเรียกข้าว่าตาเฒ่าเฉิงผู้กลัวเมีย แต่ผู้ใดจะรู้ว่าในใจข้ารู้สึกผิด ชีวิตนี้ข้าผิดต่อนางมากนัก
หากเปลี่ยนเป็นเจ้า ถ้าเผยอวิ๋นออกรบ เจ้าก็คงติดตามไปด้วย แม้ด้วยวรยุทธ์และสติปัญญาของเจ้า อย่างน้อยก็ไม่มีทางเป็นภาระ ทว่าสิ่งที่เผยอวิ๋นต้องการคือภรรยาสักคนที่จะอยู่บ้านคอยดูแลบุพการีและเลี้ยงดูบุตรธิดาแทนเขา เด็กน้อย เจ้าโดดเด่นเกินไป ดังนั้นเผยอวิ๋นจึงไม่ยอมแต่งกับเจ้า”
คุณหนูเซวียตะลึงอยู่นานกว่าจะเอ่ยว่า “เขาไม่ได้ทำเพราะสำนักหรือ”
เฉิงซูยิ้มเฝื่อน “เจ้าคิดเช่นนั้น ข้าก็มิโทษเจ้า แต่เผยอวิ๋นมิใช่คนเช่นนั้น นี่ก็เป็นจุดที่เจ้าชอบเขามิใช่หรือ”
คุณหนูเซวียเอ่ยอย่างขมขื่น “วันนี้มาพูดสิ่งเหล่านี้ก็สายไปแล้ว หลานมิมีหน้าพบผู้คนแล้ว ขอท่านลุงโปรดอย่าห้ามข้าเลย”
เฉิงซูยิ้มระอา “เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดจึงเลอะเลือนแล้ว ต่อให้เรื่องใหญ่หลวงก็ต้องมีสักวิธีคลี่คลายได้ หากเจ้ายินยอมเริ่มต้นใหม่ รูปโฉมความสามารถเช่นเจ้า ไฉนจะหาที่พักพิงของตนเองไม่พบ ใต้หล้ากว้างใหญ่เช่นนี้ หากเจ้าฟังคำลุง ไปยังสถานที่ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักเจ้าแล้วเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ จะไม่ดีกว่าแสวงหาความตายหรือ”
คุณหนูเซวียเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้าเลื่อนลอย เฉิงซูเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็รู้ว่าเป็นช่วงสำคัญของการตัดสินใจแล้ว ทว่าตนกลับมิอาจเกลี้ยกล่อมต่อได้ เวลานี้จะเป็นการดีที่สุดหากให้คนรู้ใจสักคนมาเกลี้ยกล่อมนาง แต่คนผู้นี้หายากยิ่งนัก
ทันใดนั้นเสียงถอนหายใจอย่างรู้สึกผิดก็ดังมาจากนอกหน้าต่าง คุณหนูเซวียสีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางโผไปเปิดหน้าต่างก็พบบุรุษชุดดำคนหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลา มีไอสังหารเลือนรางอาบอยู่ทั่วร่าง แต่สีหน้าหม่นหมอง คิ้วกระบี่ขมวดจนเห็นชัด
คุณหนูเซวียอุทานออกมาคำหนึ่ง น้ำตาพลันไหลร่วง เฉิงซูส่ายศีรษะเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป บุรุษชุดดำผู้นั้นกระโดดข้ามหน้าต่างเข้ามา คุณหนูเซวียเอ่ยอย่างดุดัน “เจ้ามาทำอะไร มาหัวเราะเยาะข้าหรือ ตอนนี้คนทั้งหลายล้วนคิดว่าข้าเซวียชิวเสวี่ยโหดเหี้ยมอำมหิต พวกเขาต่างพูดกันว่าสมควรแล้วที่เจ้าหย่ากับข้า สมใจเจ้าแล้วสินะ”
คนผู้นั้นก็คือเผยอวิ๋นนั่นเอง เขาเอ่ยเสียงขรึม “ชิวเสวี่ย ข้าไม่เคยคิดจะทำร้ายเจ้าเช่นนี้ เรื่องราวดำเนินจนกลายมาเป็นเช่นในวันนี้ ข้าเองก็คิดไม่ถึง เดิมข้าคิดว่าหากเจ้ายอมถอนหมั้น เจ้าคงหาสามีที่สมดังใจหมายสักคนได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้”
เซวียชิวเสวี่ยหวนนึกถึงเรื่องในอดีต ความโศกเศร้าผุดพรายในหัวใจ “เจ้าเพียงต้องการสตรีธรรมดาสักคนเป็นภรรยาจึงไม่ยินดีแต่งงานกับข้าจริงหรือ”
เผยอวิ๋นเอ่ยอย่างหม่นหมอง “ชิวเสวี่ย เจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่ว่าบุ๋นหรือบู๊ล้วนร่ำเรียนจนสำเร็จไม่น้อย ข้าเคยมองดูเจ้าถกบทกวี โคลงกลอนมากมายที่เจ้าเอ่ยถึง ข้าล้วนไม่เคยได้ยิน การปกครองหรือการทหารเจ้าล้วนเคยศึกษา หากแต่งกับเจ้า ข้าคงมีภรรยาผู้เก่งกาจเพิ่มมาคนหนึ่ง ทว่าชิวเสวี่ย ข้ามิได้สนใจเรื่องเหล่านี้ การเป็นทหารรับใช้ชาติคือปณิธานของข้า ข้าไม่คิดใช้เล่ห์เหลี่ยมฟาดฟันกับผู้อื่น นอกบ้านเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อกลับมาในบ้าน ข้าปรารถนาเพียงชีวิตเรียบง่ายสงบสุข ข้าหวังว่าภรรยาของข้าจะทำอาหารง่ายๆ เป็นสักสองสามอย่าง เย็บเสื้อผ้าสักสองสามชุดให้ข้าเป็น คุยเรื่องสัพเพเหระในบ้านกับข้าได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่ต้องการภรรยาที่ในหัวเต็มไปด้วยความคิดลึกล้ำ ชิวเสวี่ย เจ้าเปล่งประกายเช่นนี้ ข้าเป็นฝ่ายไม่คู่ควรกับเจ้า”
เซวียชิวเสวี่ยเอ่ยอย่างขมขื่น “เจ้าพูดถูก ตั้งแต่แรกเป็นเจ้าต่างหากที่ไม่คู่ควรกับข้า ไม่คู่ควรกับข้า…” นางเอ่ยย้ำหลายครั้ง เอ่ยจนเสียงแหบแห้ง เผยอวิ๋นเดินเข้าไปก้าวหนึ่งแต่ก็หยุดเท้าเอาไว้ เขาไม่ยอมล่วงเกินอดีตคู่หมั้นคนนี้จนถึงที่สุด เพราะเขาปรารถนาให้สตรีนางนี้มีอนาคตที่ดีจริงๆ จะเป็นเช่นนั้นได้ต้องให้นางตัดใจจากตนเสีย มามอบความอ่อนโยนให้นางยามนี้ย่อมสายเกินไปแล้ว
ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเซวียชิวเสวี่ยก็สงบลง “ขอบใจเจ้าที่บอกความจริงกับข้า ไม่ใช่ข้าไม่ดี เพียงแต่เจ้าไม่ต้องการภรรยาเช่นข้าก็เท่านั้น เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน ฉางอันสถานที่แห่งความเศร้าเสียใจแห่งนี้ ข้าไม่ขออยู่ต่อ”
เผยอวิ๋นเงียบงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้ามีศิษย์น้องคนหนึ่งทำการค้าอยู่ที่หนานไห่ เขากับข้าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย หากเจ้ายอมเดินทางไปที่นั่น เขาจะต้องดูแลเจ้าอย่างดีแน่นอน”
เซวียชิวเสวี่ยนิ่งเงียบ ตอนที่เผยอวิ๋นคิดว่านางคงไม่ยอมรับนั่นเอง เซวียชิวเสวี่ยก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ “ขอบใจเจ้า ข้าได้ยินว่าทิวทัศน์ที่หนานไห่งดงามยิ่งนัก แล้วยังไปมาหาสู่กับคนต่างดินแดน ข้าอยากไปชมดูนานแล้ว”
เรื่องของเผยอวิ๋นจึงเปลี่ยนจากหนักเป็นเบาเช่นนี้ แม้ขุนนางฝ่ายตรวจสอบหลายคนกับขุนนางในราชสำนักมากมายต่างพากันยื่นฎีการ้องเรียน แต่เมื่อหนังสือสารภาพผิดของคุณหนูเซวียถูกนำออกมา ฎีกาเหล่านี้ก็ไม่มีพลังอีกต่อไป ส่วนคุณหนูเซวียก็หายตัวไป แม้ตระกูลเซวียบอกกับภายนอกว่าคุณหนูเซวียปลงผมออกบวชแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางออกบวชที่ใด สตรีผู้น่าเศร้าและน่าเห็นใจคนนี้เลือนหายไปจากสายตาของผู้คนเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคุณหนูเซวียได้รับการอารักขาจากขุนศึกตระกูลเว่ยกั๋วกงออกจากฉางอันนานแล้ว จรจากสถานที่ซึ่งทำให้นางขมขื่นเศร้าเสียใจแสนสาหัสแห่งนี้
ทว่าจุดจบของเรื่องกลับมิได้สมใจดั่งที่ข้าจินตนาการเอาไว้ เผยอวิ๋นยังคงได้รับผลกระทบ แม้ไม่ได้ถูกลดขั้นหักเบี้ยหวัด แต่จักรพรรดิก็ส่งเซี่ยโหวหยวนเฟิงมาเป็นรองแม่ทัพกองราชองครักษ์แห่งค่ายอุดรคู่กับเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ ค่ายอุดรที่เดิมทีประหนึ่งหนึ่งแผ่นเหล็กแผ่นเดียวกันก็ถูกตะปูตัวหนึ่งดึงดันตอกแทรกเข้ามาจนได้ เซี่ยโหวหยวนเฟิงบุคลิกสง่างาม ซอกแซกหาช่องทางเก่งฉกาจ อีกทั้งยังเป็นขุนนางคนโปรดของจักรพรรดิ ดังนั้นเขาจึงหาที่ยืนได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก โชคดีที่เผยอวิ๋นเป็นที่รักของเหล่าทหารอย่างยิ่งมาตลอด เขาจึงไม่ถึงกับเสียฐานอำนาจไปจนหมด สุดท้ายเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็ไม่กล้ารุกคืบรุนแรงเกินไป สถานการณ์จึงกลายเป็นการคุมเชิงระหว่างกัน
ข้านั่งอยู่ในศาลารับลม ดื่มด่ำกับสายลมเอื่อยยามค่ำคืน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นไม้ใบหญ้าโชยเข้าจมูก ริมฝีปากจรดอยู่กับใบไผ่ใบหนึ่งที่เพิ่งเด็ดมาพลางตั้งสมาธิบรรเลงบทเพลงเรียบง่ายบทหนึ่ง เสียงเพลงไม่มีชั้นเชิงแต่แว่วหวานชวนฟังลอยล่องตามสายลมราตรีกังวานอยู่ในสวนเหมันต์ เมื่อเพลงจบ เงาของเสี่ยวซุ่นจื่อจึงปรากฏตัวขึ้นไกลๆ
ไม่ทราบว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด ทุกครั้งที่ข้าหดหู่หรือกลัดกลุ้ม ข้าจะโยนทุกสิ่งทิ้งแล้วนั่งบรรเลงเพลงขลุ่ยใบไผ่อยู่ที่นี่ สิ่งนี้ทำให้จิตใจข้าสงบลงได้เสมอ ข้ามิเคยลืมเลือนคำวินิจฉัยโรคของท่านหมอซัง ในเมื่อมิอาจหนีห่างจากโลกอันวุ่นวายได้ ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่ใช้วิธีการเช่นนี้มาชะล้างจิตวิญญาณของตนเอง
องครักษ์ในสวนเหมันต์ต่างรู้ว่ายามข้าบรรเลงขลุ่ยใบไผ่ห้ามมารบกวนข้าเด็ดขาด แม้แต่เสี่ยวซุ่นจื่อก็ไม่มารบกวนข้าในเวลานี้ เคยมีองครักษ์ที่ค่อนข้างได้รับความไว้วางใจจากข้าคนหนึ่งละเมิดกฎข้อนี้จนถูกข้าไล่ออกจากสวนเหมันต์ นับจากนั้นเป็นต้นมาก็มิมีผู้ใดกล้าแตะต้องเกล็ดย้อนของข้าอีก