ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 14 ปรมาจารย์มาเยือน (2)
เสี่ยวซุ่นจื่อส่งชาหอมมาให้ ข้าจึงยิ้มเอ่ยว่า “แม้แม่ทัพเผยถูกเล่นงานอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อเส้นทางขุนนางภายภาคหน้าของเขา ความจริงพวกเราก็ไม่นับว่าล้มเหลว ถึงอย่างไรสิ่งที่พวกเราให้ความสำคัญก็คอืเผยอวิ๋นผู้นี้ หาใช่กองราชองครักษ์กองนั้น วันพรุ่งนี้ส่งเทียบเชิญชวนแม่ทัพเผยมาเป็นแขกที่สวนเหมันต์ แล้วเชิญองค์ชายมาร่วมด้วย”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบเสียงเรียบเฉย “องค์ชายเชิญแม่ทัพเผยมาเยือนจวนวันพรุ่งนี้แล้ว ในเมื่อคุณชายอยากพบเขาเช่นกัน ข้าจะไปบอกองค์ชายให้จัดงานเลี้ยงที่สวนเหมันต์”
ข้าส่ายหน้าบอกว่า “ในเมื่อองค์ชายเชิญแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไป เรื่องบางเรื่องให้องค์ชายจัดการเองเถิด จริงสิ ฝ่ายเส้าหลินเป็นอย่างไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้วตอบว่า “สำนักใหญ่ย่อมอดกลั้นโทสะได้ ยามนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหว”
ข้ายิ้มน้อยๆ “หากมิได้ถ่อมตนอดกลั้นเป็น เจ้าคิดว่าเส้าหลินจะอาศัยสิ่งใดอยู่ยืนยงไม่ล่มสลาย ร้อยปีที่ผ่านมาพรรคและสำนักมากมายรุ่งเรืองเพียงชั่วบุปผาผลิก็เพราะขาดคุณสมบัติประการนี้ บางครั้งโลกก็เป็นเช่นนี้ เงยหน้าวอนขอไหนจะสู้ก้มหน้าฟังคำวิงวอน หากมิใช่เรื่องทางโลกผูกรั้ง ไยข้ายังเวียนวนอยู่ในโลกีย์ เสี่ยวซุ่นจื่อ วรยุทธ์ของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่ข้ามองว่าเจ้าลงมือโหดเหี้ยมเกินไป ขาดความอดกลั้น ข้าคิดเสมอว่ามิเป็นการดี โบราณกล่าวไว้ แข็งมิอาจอยู่นาน อ่อนมิอาจป้องกัน พลิกแพลงมิอาจชนะตรงไปตรงมา ใช้ทหารออกศึกไม่อาจใช้กลยุทธ์พิสดารเพียงท่าเดียว ข้าคิดว่าวรยุทธ์ก็คงเป็นดังนี้ เจ้าลองตรองให้ดี”
เสี่ยวซุ่นจื่อเหมือนกำลังขบคิด ในตอนนี้เอง เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ประสกเจียงช่างสติปัญญาล้ำเลิศเสียจริง หลักข้อนี้อาตมาพ้นอายุสี่สิบจึงบรรลุ”
ข้าผวาทันที เสียงนี้นุ่มนวลกังวานเสมือนหนึ่งดังข้างหู แต่ข้ารู้ตัวดีว่าประสาทสัมผัสทั้งหกของตนเหนือกว่าคนธรรมดา ข้ารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าในระยะร้อยจั้งมิมีผู้ใดอยู่ ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่อ แต่เสี่ยวซุ่นจื่อกลับขบคิดเข้าภวังค์ไปเสียแล้ว เห็นชัดว่าลืมเลือนหน้าที่คุ้มกันข้าอย่างสิ้นเชิง ข้าขบคิดแล้วพลันขยับยิ้ม “ผู้อาวุโสซือเจินมาเยือนสวนเหมันต์ช่างเป็นเกียรติ ขออภัยที่เจียงเจ๋อมิสะดวกออกไปต้อนรับ เชิญต้าซือมาพบหน้ากันในสวนเถิด”
ภาพเบื้องหน้าพร่าลายวูบหนึ่ง ภิกษุวัยกลางคนผู้ห่มอาภรณ์สีเทารูปหนึ่งก็ปรากฏตัวที่ประตูสวนแล้วก้าวเดินมาอย่างแช่มช้า ข้าเพ่งมองสุดความสามารถจึงเห็นว่าภิกษุวัยกลางคนผู้นี้มีหน้าตาเกลี้ยงเกลา ใบหน้าดั่งจันทร์เต็มดวง กลางหว่างคิ้วมีไฝสีแดงดุจไข่มุกสีชาดติดอยู่เม็ดหนึ่ง มองดูอย่างไรก็รู้สึกว่าภิกษุรูปนี้เป็นเพียงพระธรรมดารูปหนึ่ง ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าย่างก้าวอันเชื่องช้าของปรมาจารย์ผู้นี้ ทุกการเคลื่อนไหวลื่นไหลสอดคล้องกับธรรมชาติเสมือนกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
ตอนนี้เสี่ยวซุ่นจื่อเพิ่งเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาทอประกายวาววับ แม้เขารู้จักตัวตนของคนผู้นี้ แต่สำหรับเขาแล้ว คนทั้งหลายในใต้หล้าจะมีหรือไม่มีก็ได้ ดังนั้นเขาจึงเกิดจิตสังหารขึ้นมา หากบุคคลเช่นนี้ต้องการทำร้ายคุณชาย ตนต้องมีกำลังพอหยุดยั้งจึงจะใช้ได้
จิตสังหารของเขาเพิ่งก่อตัว ฉับพลันก็รู้สึกว่ามีแรงกดดันอันแข็งแกร่งบีบเข้ามาหาจากรอบด้าน ในใจเขาตื่นตระหนก เขามองคุณชายแต่กลับพบว่าสีหน้าของเจียงเจ๋อไม่เปลี่ยนแปลง จึงรู้ว่าแรงกดดันนี้มุ่งมาที่ตนเท่านั้น เขาต่อต้านสุดกำลัง ทว่าแรงกดดันนั้นกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกคล้ายมีคนพร่ำสวดมนต์อยู่ริมหูให้ตนยอมจำนน แต่เดิมทีความมุ่นมั่นของเขาก็แน่วแน่อย่างยิ่งจึงฝืนต้านมิยอมถอยหลัง
แรงกดดันนั่นแข็งแกร่งขึ้นทุกทีจนเสี่ยวซุ่นจื่อรู้สึกว่าทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าแทบกระดิกไม่ได้ ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดขึ้นมา เขาผ่อนแรงต่อต้านเล็กน้อย แรงกดดันนั่นก็อ่อนลงตามดังคาด เขายิ้มหยัน ฉับพลันไอสังหารพวยพุ่งจากทั่วร่าง ไอสังหารเย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูกแผ่ขยายในสวนเหมันต์อย่างรวดเร็ว
ภาพอันแปลกประหลาดบังเกิด ทั้งที่เป็นพลบค่ำของคิมหันต์ฤดู แต่ภายในสวนเหมันต์จากศาลาตรงกลางจรดประตูสวน ครึ่งหนึ่งกลับเย็นเยือกดุจสายลมสารท ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งอบอุ่นดุจยามวสันต์ กระแสพลังสองสายปะทะกัน แม้ลมปราณเย็นยะเยือกนั่นจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ แต่ความเด็ดเดี่ยวชนิดที่ยอมตายไม่ยอมถอยกลับรุนแรงขึ้นทุกทีจนแม้แต่ลมปราณอบอุ่นสายนั้นก็ค่อยๆ ถูกย้อมด้วยไอสังหารเย็นเยียบ
แม้ข้านั่งอยู่ในศาลา ไม่ได้สัมผัสลมปราณที่ไม่เข้ากันดุจน้ำกับไฟนั่นด้วยตนเอง แต่เมื่อเห็นใบไม้รอบบริเวณร้อยจั้งหล่นร่วงลอยคว้างปั่นป่วนโดยไร้ลมย่อมรู้ได้ว่ามีสิ่งผิดปกติ ต่อมาเห็นสีหน้าของเสี่ยวซุ่นจื่อย่ำแย่ขึ้นทุกที คิดดูก็รู้ว่าผู้ใดตกเป็นรอง ข้ากลอกลูกตารอบหนึ่ง จากนั้นคว้าถ้วยชาใบหนึ่งขึ้นมาแล้วออกแรงเขวี้ยงลงพื้น เป็นดังที่ข้าคิด ความตกใจเล็กน้อยครั้งนี้ทำให้ทั้งสองคนที่กำลังประลองพลังภายในเริ่มเก็บลมปราณพร้อมกัน เพียงชั่วครู่ทุกสิ่งก็คืนสู่ปกติ
มิรู้ว่าภิกษุรูปนั้นก้าวเท้าเช่นไร แต่ระยะร้อยจั้งกลับเสมือนไกลเพียงหนึ่งก้าว แค่ยกเท้าก็เหยียบมาถึงข้างศาลา เขาแย้มรอยยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “วรยุทธ์ของประสกหลี่เลือกสร้างหนทางใหม่ แล้วยังเดินบนเส้นทาง ‘ไร้ใจ’ เดิมทีอาตมาคิดจะใช้เสียงมนตร์ชี้นำให้บรรลุ แต่คิดไม่ถึงว่าโยมหลี่หัวใจแกร่งดุจศิลา ไม่หวั่นไหวกับสิ่งภายนอก หากประสกหลี่ตั้งใจตรากตรำฝึกฝนจนบรรลุขอบขั้น ‘ละวางกิเลส’ ได้จะต้องเป็นปรมาจารย์แห่งยุคแน่นอน”
เสี่ยวซุ่นจื่อก้าวเข้าไปคำนับ “ปรมาจารย์ชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยมิมีใจทะยานอยากเป็นปรมาจารย์ ขอเพียงปกป้องคุณชายของข้าให้สงบสุขได้ทั้งชีวิตก็เพียงพอแล้ว”
ซือเจินเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างขณะที่มองเสี่ยวซุ่นจื่อ เขาเห็นแววตาจริงจังในดวงตาคู่นั้นของอีกฝ่าย นั่นคือความตั้งใจที่แน่วแน่และไม่มีวันหวั่นไหว ในใจเขาอดทอดถอนใจไม่ได้ สวรรค์ช่างจัดการได้เยี่ยมยอดนัก หากคนผู้นี้มิมีสิ่งใดเหนี่ยวรั้ง เกรงว่าคงทำตามอำเภอใจ กร่างกำเริบทั่วหล้า ท้ายที่สุดคงกลายเป็นปีศาจเข่นฆ่าผู้คน ก่อเภทภัยใหญ่หลวงยิ่งกว่าพรรคมารเป็นร้อยเท่า แต่สวรรค์มีเมตตา จึงสร้างคนผู้หนึ่งมาผูกมัดเขา ตักเตือนเขา ซือเจินหันไปมองเจียงเจ๋อผู้ขว้างถ้วยเป็นคำเตือนเมื่อครู่จนทำให้พวกตนสองคนหยุดมือแล้วพูดจากันด้วยดี แม้ชายหนุ่มผู้นี้แววตาในดวงตาทั้งสองหม่นหมอง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเข้าใจเรื่องราวในโลกทะลุปรุโปร่ง เขาค้อมกายเล็กน้อยคำนับเจียงเจ๋อแล้วเอ่ยว่า “อาตมาซือเจิน คารวะท่านเจียง”
ข้ามือไม้ลนลานเล็กน้อยรีบคำนับคืน “ต้าซือเป็นถึงปรมาจารย์ เจียงเจ๋อไหนเลยจะกล้ารับการคำนับเช่นนี้ โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย ต้าซือเชิญนั่งเถิด”
ซือเจินยิ้มเล็กน้อยตอบว่า “วันหน้าประสกจะรู้ว่าประสกคู่ควรได้รับการคารวะครั้งนี้ของอาตมาแล้ว”
ข้าเอ่ยอย่างนอบน้อม “ต้าซือมาเยือนครานี้ เจียงเจ๋อรู้สึกเป็นเกียรติจนตื่นตกใจ มิทราบมีเรื่องใดต้องการชี้แนะหรือ”
ซือเจินเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “เดิมทีอาตมามาเยือนครานี้เพราะต้องการพบยงอ๋อง แต่ได้ยินมานานว่าประสกชาญฉลาดน่าทึ่งจึงแวะมาเยี่ยมเยือนก่อน วันนี้ได้พานพบจึงเห็นว่าประสกบาดเจ็บที่ชีพจรหัวใจ น่ากลัวว่ารั้งอยู่ในวังวนโลกีย์นานเข้าจะลดทอนอายุขัย ในเมื่อประสกชำนาญวิชาแพทย์ ไยมิคิดถึงตนเองบ้างเล่า”
ข้ายิ้มน้อยๆ ตอบว่า “เจียงเจ๋อเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ยงอ๋องมีบุญคุณต่อเจียงเจ๋อเท่าขุนเขา น้ำพระทัยกว้างขวางขององค์ชายทำให้เจียงเจ๋อนับถือจากใจ หากเจียงเจ๋อผละหนีจากโลกไปยามนี้คงรู้สึกผิด จึงมิกล้าทำ ต้าซือโปรดอย่าบอกเรื่องนี้กับองค์ชายให้พระองค์ต้องกลัดกลุ้มใจ”
ซือเจินถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยต่อว่า “ความตั้งใจนี้ของประสกเจียง สวรรค์และปวงชนเป็นประจักษ์พยาน อาตมาย่อมปิดปากสนิท ประสกเคารพเส้าหลินของข้า แม้อาตมามิคิดเล็กคิดน้อยเรื่องบุญคุณความแค้นเฉกเช่นปุถุชน แต่ยึดถือเรื่องการตอบแทน อาตมามีเคล็ดวิชาพลังภายในอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ได้มีประโยชน์อันใด เพียงทำให้ร่างกายแข็งแรง บำรุงชีพจรหัวใจ แม้ประสกมิเคยฝึกฝนวรยุทธ์ แต่เคล็ดวิชานี้เป็นเพียงวิธีควบคุมลมหายใจ คิดว่าคงไม่เปลืองแรงนัก หวังว่าจะช่วยเหลือประสกเจียงได้”
ข้าเอ่ยอย่างยินดี “ขอบคุณต้าซือยิ่งนักที่เมตตามอบให้ ท่านหมอซังเคยกล่าวว่าวิชายุทธ์ในใต้หล้า มีเพียงเคล็ดวิชาของวัดเส้าหลินที่สงบคล้อยตามธรรมชาติ รักษากายใจได้ดีที่สุด หากเจียงเจ๋อมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นสักหลายปี ล้วนเป็นเพราะความกรุณาของต้าซือ”
ซือเจินยิ้มน้อยๆ “ประสกเจียงสนับสนุนเหนือหัวผู้ทรงธรรม เท่ากับทำคุณประโยชน์ให้บ้านเมืองและปวงประชา เคล็ดวิชาเท่านี้นับเป็นอันใด” พูดจบก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชานั้นให้แล้วอธิบายให้ข้าฟังอย่างละเอียด เสี่ยวซุ่นจื่อที่อยู่ด้านข้างสีหน้ายินดี เดิมทีเขาก็เป็นห่วงร่างกายของข้าอย่างที่สุดอยู่แล้ว วันนี้เมื่อเห็นว่ามีโอกาสดีขึ้นย่อมดีใจเป็นล้นพ้น สายตาที่มองซือเจินอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากไกลๆ ยงอ๋องหลี่จื้อพากวนซิว โก่วเหลียน จ่างซุนจี้ จิงฉือและซือหม่าสยงเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน เมื่อทุกคนมาถึงหน้าศาลาก็คำนับตามฉบับพิธีการอย่างนอบน้อม แม้ซือเจินมีฐานะเป็นปรมาจารย์ แต่ไม่มีท่าทางหยิ่งยโสแม้แต่น้อย เขายิ้มละไมคำนับคืน
หลี่จื้อก้าวเข้ามาเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น “นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่ไปคารวะต้าซือ เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ต้าซือยังคงรูปโฉมเช่นเดิม แต่หลี่จื้อตรากตรำทำศึกจนแก่ชราลงมากนัก”
ซือเจินเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “องค์ชาย อาตมามาเยือนครั้งนี้เพื่อบอกต่อเจตนาของวัดเรา หากองค์ชายมีรับสั่ง วัดของเราตั้งแต่บนจรดล่างมิมีผู้ใดมิฟังคำสั่ง”
หลี่จื้อตกตะลึง สีหน้ากลับมีความลังเลปรากฏขึ้น เดิมทีเขาหวังเพียงให้วัดเส้าหลินช่วยเหลือเกื้อกูลบ้างก็พอใจแล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับได้รับการสนับสนุนเต็มกำลังจากวัดเส้าหลิน นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น