ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 15 เสื่อมคุณธรรมฉาวโฉ่ (1)
ต้ายง รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้าเดือนหก องค์จักรพรรดิออกราชโองการประกาศจัดพิธีบวงสรวงหวงตี้ ตั้งปรัมพิธี ณ เขาเฉียวซาน ทั้งยังออกราชโองการให้รัชทายาทประกอบพิธีบวงสรวงที่ฉางอัน คาดไม่ถึงรัชทายาทกลับประพฤติตนเสื่อมทรามระหว่างเตรียมพิธี องค์จักรพรรดิพิโรธจึงสั่งกักบริเวณรัชทายาท
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติลี่อ๋อง
ซือเจินเห็นสภาพจึงยิ้มจางๆ เอ่ยว่า “องค์ชายมิต้องกังวล เส้าหลินทำเช่นนี้เพราะจำเป็นต้องทำ การกระทำของรัชทายาท แม้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ใต้หล้า แต่ก็ปิดบังประชาชนบนแผ่นดินมิได้ ยิ่งไปกว่านั้น พักนี้สำนักเฟิงอี้ประพฤติตนสวนกับหลักคุณธรรมจนทำให้ฝ่ายธรรมะกับอธรรมล้วนไม่สงบสุข เส้าหลินในฐานะพรรคธรรมะอันดับหนึ่ง มิอาจทนมองสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ ที่ผ่านมาองค์ชายช่วยเหลือวัดซอมซ่อของเรา ทั้งยังขยันทำงานราชกิจ ห่วงใยประชาชน แม้วัดซอมซ่อของเรามิอาจยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงในราชสำนัก แต่สำนักเฟิงอี้ยังเป็นสำนักในยุทธภพ วัดซอมซ่อของเขายังลงมือได้อยู่บ้าง”
ในใจข้ากับยงอ๋องผ่อนคลายลงพร้อมกัน ที่แท้เส้าหลินทนดูความเหิมเกริมของสำนักเฟิงอี้ไม่ไหวแล้ว จึงคิดจะชำระหนี้แค้นทั้งเก่าใหม่พร้อมกัน ทว่าในใจข้าคิดว่าคงเป็นเพราะ ‘ฮั่วจี้เฉิง’ จุดชนวนให้ยุทธภพโกลาหลจนสำนักเฟิงอี้ฉวยโอกาสกวาดล้างยุทธภพ เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้ อย่างน้อยก็มิอาจให้ทุกคนรู้โดยทั่วกัน มิฉะนั้นเกรงว่าข้าจะกลายเป็นตัวการใหญ่ผู้ทำให้ยุทธภพปั่นป่วน
ยามนี้เอง ซือเจินก็เอ่ยอีกว่า “อาตมาเดินทางครั้งนี้เพราะมาธุระอีกเรื่องหนึ่งด้วย ไม่นานมานี้ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะจัดพิธีบวงสรวงที่สุสานหวงตี้ ซือซิวศิษย์พี่ของอาตมารับบัญชาเดินทางมาควบคุมดูแลส่วนหนึ่งของพิธีการครั้งนี้ แม้ศิษย์พี่แตกฉานพระธรรมอย่างลึกซึ้ง ทว่ามิเคยฝึกปรือวรยุทธ์ ดังนั้นอาตมาจึงอารักขาเขามาส่ง”
ข้ากับหลี่จื้อพยักหน้าเงียบๆ เรื่องนี้พวกเราทราบอยู่แล้ว ซือซิวต้าซือเดิมทีเป็นขุนนางชื่อดังของรัชสมัยก่อน หลังจากแคว้นล่มสลายครอบครัวพลัดพรากก็หันมาพึ่งพุทธศาสนา ตอนนี้เป็นพระสงฆ์ชั้นสูงอันดับหนึ่งอันดับสองของทางพุทธ เขาแตกฉานพระธรรม ชำนาญภาษาสันสกฤต หลายปีที่ผ่านมาแปลพระคัมภีร์ภาษาสันสกฤตมากกว่าพันเล่ม เป็นผู้ทำความดีความชอบอันดับหนึ่งในการเผยแพร่พระธรรม คนผู้นี้ออกจากวัดย่อมคู่ควรให้ซือเจินคุ้มครองมาส่งด้วยตนเอง ต้องรู้ว่าแม้ซือเจินเป็นปรมาจารย์แห่งยุค ทว่าพูดถึงตำแหน่งในทางสงฆ์ เขาสูงศักดิ์เทียบซือซิวต้าซือมิได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ข้าก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ พิธีบวงสรวงที่สุสานหวงตี้ครั้งนี้ น่ากลัวว่าคงยากจะจบลงด้วยดี
นับตั้งแต่ต้ายงก่อตั้งแคว้น จักรพรรดิเคยจัดพิธีบวงสรวงใหญ่ที่สุสานหวงตี้มาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างจากปกติอยู่บ้าง องค์จักรพรรดิย่อมต้องเสด็จไปทำพิธีบวงสรวงที่เขาเฉียวซานด้วยองค์เอง แต่ในเวลาเดียวกันยังจะจัดพิธีบวงสรวงที่ฉางอันด้วย จัดพิธีบวงสรวงเวลาเดียวกันเพื่อหวังให้ชะตาเมืองของแคว้นต้ายงรุ่งเรือง ผู้ที่ทำพิธีบวงสรวงคู่กันย่อมมีแต่รัชทายาทที่รับหน้าที่ได้ ดังนั้นเริ่มตั้งแต่เดือนหก ฝ่าบาทจึงออกพระราชโองการให้รัชทายาทถือศีลที่ตำหนักบูรพา ตัวเขาเองก็ถือศีลอยู่ที่ตำหนักบำเพ็ญตน เดือนหกวันที่สิบสี่ องค์จักรพรรดิจึงจะเริ่มเสด็จไปยังสุสานหวงตี้ เดือนหกวันที่สิบห้า ประกอบพิธีบวงสรวง ผู้ที่ได้รับบัญชาให้ตามเสด็จได้แก่ ยงอ๋อง ฉีอ๋อง และขุนนางตำแหน่งสำคัญทั้งฝ่ายบุ๋นบู๊อีกจำนวนหนึ่ง ส่วนอัครมหาเสนาบดีเหวยกวนกับซื่อจงเจิ้งเสียรับบัญชาให้อยู่ที่เมืองหลวงช่วยเหลือรัชทายาทประกอบพิธีบวงสรวงสวรรค์
การถือศีลมิใช่เรื่องสบายอะไร ห้ามกินเนื้อ ห้ามดื่มสุรา ห้ามฟังดนตรี ห้ามเข้าใกล้ชายาและอนุ ห้ามร่วมงานศพ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการลงโทษ แล้วยังต้องทำจิตใจให้สงบ มิอาจจิตใจว้าวุ่น แต่รัชทายาทหลี่อันจะอดทนอย่างไรไหว
อาหารมีแต่จืดชืด ไม่มีรสชาติให้เอ่ยถึง รัชทายาทแทบจะกล้ำกลืนลงคอมิไหว ไม่ต้องจัดการราชกิจยังพอทำเนา เดิมทีเขาก็รำคาญเรื่องจุกจิกเหล่านั้นอยู่แล้ว แต่มิอาจฟังดนตรีชมระบำรำฟ้อนทำให้เขาหดหู่อย่างยิ่ง สิ่งที่ยากทานทนยิ่งกว่าก็คือเขาเป็นผู้ที่แต่ละวันผ่านราตรีอย่างเดียวดายมิได้ การไม่ได้แตะต้องนารีทำให้เขาหงุดหงิดกระสับกระส่าย แต่เขากลับต้องลำบากอดกลั้นถึงครึ่งเดือน แล้วยังต้องรักษาข้อห้ามอย่างเคร่งครัดภายใต้การสอดส่องของซื่อจงเจิ้งเสียอีก
หากมิใช่เรื่องสำคัญเช่นนี้ เขาคงเลิกอดทนไปเสียนานแล้ว ขณะที่ในใจกำลังครุ่นคิดว่าหากวันหน้าตนได้ขึ้นครองราชย์แล้วต้องจัดพิธีบวงสรวง จะไม่มีทางให้ยุ่งยากเช่นนี้เป็นเด็ดขาด ขันทีผู้นำสำรับกลางวันมาส่งก็มาถึง ขันทีผู้นั้นวางอาหารจำพวกผักใบเขียวหัวไชเท้าเหล่านั้นไว้บนโต๊ะ แล้วยกข้าวแดงชามหนึ่งมาตามด้วยน้ำชาหนึ่งกา หลี่อันสาปส่งสวรรค์อีกรอบ หลังจากนั้นจึงจับตะเกียบขึ้นมารับประทานสำรับอย่างลวกๆ แล้วค่อยเริ่มดื่มชา เมื่อจิบชาเข้าปากคำหนึ่ง ในใจของเขาก็เบิกบานขึ้นชั่วครู่
ก่อนเขาเข้ามาในตำหนักบูรพาเพื่อถือศีลก็คิดไว้แล้วว่ารสชาติชาชั้นเลวกับอาหารจืดชืดน่าจะทำให้ทุกข์ทนเกินไป จึงสั่งให้คนลอบสลับชาชั้นเลวเป็นชาโสมไว้ก่อน นี่เป็นความคิดของเซี่ยจินอี้ หากไม่มีชาโสมนี่ น่ากลัวว่าเขาคงหน้าตาซูบเซียวเพราะอาหารมิได้ดั่งใจนานแล้ว น่าเสียดาย หากมีสุราสักไหก็คงดี ดื่มชาเสร็จ เขาก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก จึงวางชาโสมไว้ด้านข้าง เตรียมไว้ดื่มต่อตอนอ่านคัมภีร์ยามบ่าย
ขันทีน้อยที่มาเก็บสำรับมือเท้าคล่องแคล่ว ทำงานเสร็จอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเจิ้งเสียก็มาส่งมอบคัมภีร์ที่เขาต้องอ่านยามบ่ายด้วยตนเอง หลี่อันมองกล่องคัมภีร์อย่างเหนื่อยหน่ายแล้วตัดสินใจไปงีบกลางวันก่อน แต่เพราะสั่งสมเรี่ยวแรงมาหลายวัน จึงทำให้หลี่อันยิ่งคิดถึงนงคราญคนโปรดเหล่านั้น พลิกไปพลิกมาก็ยังนอนไม่หลับ อดนึกถึงฉุนผินไม่ได้ มิได้พานพบหลายวัน มิรู้นางเป็นเช่นไร ยิ่งคิดในใจยิ่งคันยุบยิบ ทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นนั่ง ในใจคิดว่ามิสู้ออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย จะได้มิต้องพลิกไปมานอนมิหลับเช่นนี้
เดินออกจากห้องบรรทมก็เห็นองครักษ์ตำหนักบูรพาคอยตรวจตรารอบด้าน แต่กลับมิเห็นเงาซื่อจงเจิ้งเสีย ผู้ที่อยู่แทนเขาคือขุนนางกรมพิธีการผู้หนึ่ง เขาถามขึ้นมาอย่างมิใคร่ใส่ใจ “ใต้เท้าเจิ้งเล่า” ขุนนางผู้นั้นเอ่ยอย่างหวั่นกลัว “องค์ชาย อัครมหาเสนาบดีเหวยส่งคนมาเชิญใต้เท้าเจิ้งไปหารือเรื่องการบวงสรวง ต้องรอปลายยามเว่ยจึงจะกลับมา”
หลี่อันนึกยินดี หากเจิ้งเสียอยู่ที่นี่ เขาย่อมมิกล้าเหิมเกริม แต่เจิ้งเสียไม่อยู่ ถ้าเช่นนั้นตนเองจะเดินเล่นในสวนของตำหนักย่อมมิเป็นอะไรแล้ว เขาเงยหน้ามอง เซี่ยจินอี้องครักษ์คนสนิทของตนกำลังยืนรอฟังคำสั่งอยู่ด้านข้างพอดี เขากระซิบว่า “จินอี้ ข้าอยากเล่นขว้างศรสักหน่อย เจ้าแอบไปหยิบมา อย่าให้ผู้อื่นเห็น”
เซี่ยจินอี้ฟังจบก็มองซ้ายมองขวาครู่หนึ่ง “องค์ชายโปรดรอประเดี๋ยว ผู้น้อยจะไปนำมาเดี๋ยวนี้” เพียงครู่เดียวเซี่ยจินอี้ก็นำลูกศรกับไหมาจริงๆ นี่เป็นของรักของหลี่อัน เก็บไว้ที่ตำหนักบูรพามาตลอด ยามอ่านฎีกาเบื่อหน่ายก็จะหยิบมาเล่นฆ่าเวลาอยู่บ่อยครั้ง ไหเงินใบนี้ปากกว้างพุงอ้วนแต่ช่วงคอเรียวยาว ด้านในใส่เมล็ดถั่วเอาไว้จำนวนหนึ่ง ทำไว้เพื่อเพิ่มความยาก หากใช้แรงมากเกิน ศรที่ขว้างเข้ามาก็จะดีดกระเด็นออก ลูกศรที่ใช้ขว้างลงไหเหล่านั้นล้วนสลักทำมาอย่างประณีต วิจิตรงดงาม เซี่ยจินอี้ส่งลูกศรมาให้แล้วยิ้มแย้มเอ่ยว่า “องค์ชายโปรดออมมือไว้ไมตรีด้วย ครั้งก่อนผู้น้อยก็พ่ายแพ้อนาถ”
หลี่อันยิ้มแย้ม “หากพูดถึงการละเล่นขว้างศรนี่ พวกเจ้าล้วนสู้ข้ามิได้” พูดพลางก็ขว้างลูกศรออกมา ดอกเดียวเข้าเป้า เขายิ้มอย่างลำพอง แต่หลังจากชนะติดกันหลายรอบก็กลับรู้สึกเบื่อ ก่อนหน้านี้เซี่ยจินอี้มักจะบังเอิญโชคดีทำให้หลี่อันพ่ายแพ้อยู่สองสามรอบ เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่อันที่พลิกแพ้เป็นชนะได้ย่อมเบิกบานใจยิ่งนัก แต่วันนี้เซี่ยจินอี้กลับพลาดติดๆ กัน ทำให้หลี่อันชนะง่ายดายอย่างยิ่ง จนเขารู้สึกหมดสนุกอย่างช่วยไม่ได้ จึงตวาดอย่างโกรธเคือง “จินอี้ เจ้าไม่ตั้งใจเล่นกับข้าหรือ”
เซี่ยจินอี้รีบเอ่ยว่า “องค์ชาย ผู้น้อยจะกล้ามิตั้งใจได้เช่นไร ความจริงคือในใจผู้น้อยกังวลเรื่องอื่นอยู่”
หลี่อันถามอย่างสงสัย “มีเรื่องอันใดทำให้เจ้าต้องว้าวุ่นใจเช่นนี้”
เซี่ยจินอี้เอ่ยว่า “วันนี้ผู้น้อยได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เดิมทีสมควรถวายแด่องค์รัชทายาท แต่ยามนี้รัชทายาทกำลังถือศีลอยู่ ดังนั้นจึงมิกล้านำถวาย”
หลี่อันแย้มรอยยิ้ม “ข้าก็คิดว่าเรื่องอันใด เอาของมาสิ”
เซี่ยจินอี้มิกล้าปฏิเสธ รีบล้วงถุงหอมทำจากผ้าไหมใบหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ หลี่อันรับมา เห็นถุงหอมใบนี้ประณีตงดงามอย่างยิ่ง ด้านบนปักดอกบัวคู่ ในใจก็คิดบางอย่าง เขาเปิดถุงหอมออก ด้านในนอกจากถุงเครื่องหอมยังมีผ้าเช็ดหน้าไหมสีเขียวหยกบางดั่งปีกจักจั่นผืนหนึ่ง เขาคลี่ผ้าเช็ดหน้าไหมก็เห็นว่าบนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นปักลายยวนยางปีกแดงหัวขาวสองตัวกำลังคล้องลำคออยู่ด้วยกัน ด้านล่างเขียนบทกวีตัวเล็กไว้บรรทัดหนึ่ง ‘เฝ้าบันไดคอยชะเง้อข้ามเมฆหมอก คิดถึงมิคลายจนจันทร์เสี้ยวทาบผืนฟ้า ราตรีนี้เฝ้ารำพึงถึงสัญญา พระพายพาหยาดน้ำค้างเคียงเขนย’ หลี่อันรู้สึกว่าหัวใจหวั่นไหว ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มีกลิ่นความรักลอยอ้อยอิ่ง หรือว่าฉุนผินจะฝากคนส่งมา
ขณะที่เขากำลังล่องลอยอยู่ในความคิด เซี่ยจินอี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “องค์ชาย ผู้ที่มาส่งของสิ่งนี้คือขันทีน้อยคนสนิทข้างกายพระสนมฉุน แต่องค์ชายยามนี้กำลังถือศีลอยู่ ของสิ่งนี้ออกจะไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงมิกล้านำถวาย แต่หากเก็บไว้ก็ไม่ซื่อตรงกับองค์ชาย ด้วยเหตุนี้ผู้น้อยจึงลำบากใจยิ่ง”
หลี่อันหัวเราะ “เจ้ามีความชอบไร้ความผิด ดีละ เจ้าออกไปเถอะ ข้าสมควรสวดคัมภีร์แล้ว” เซี่ยจินอี้รีบเก็บลูกศรกับไหแล้วถอยออกไป
ยามบ่าย ฉากหน้าหลี่อันนั่งอ่านพระคัมภีร์ แต่ในใจกลับคิดคำนวณ ฉุนผินคงเชิญชวนข้าให้ลอบไปพบราตรีนี้เป็นแน่ แต่ตอนนี้ข้าห้ามเข้าใกล้สตรี เรื่องนี้ทำมิได้เด็ดขาด ทว่าเมื่อคิดถึงดวงหน้างามวิลาศกับเรือนร่างอันน่าหลงใหลที่เกิดจากการฝึกระบำเป็นเวลานานของฉุนผิน ในใจเขาก็คันยุบยิบ อีกประการ หลังจากทะเลาะกับชายารองหลานเมื่อครั้งก่อน เขาก็ไม่ได้เข้าวังมาลอบพบฉุนผินอีก ยามนี้เขาถือศีลที่ตำหนักบูรพามาสิบสองวันแล้ว ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยวยากหลับใหล เมื่อคิดว่าราตรีนี้ฉุนผินกำลังรอคอยตนให้ไปหาก็อดหัวใจเต้นระรัวไม่ได้ จินตนาการโลดแล่น