ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 16 เสื่อมคุณธรรมฉาวโฉ่ (2)
ตกกลางคืน หลี่อันนอนอยู่บนแท่นบรรทม ยิ่งคิดยิ่งนอนไม่หลับ ในที่สุดจึงลุกขึ้นสวมใส่อาภรณ์ เมื่อเห็นว่าขันทีน้อยที่คอยปรนนิบัติด้านนอกหลับสนิทแล้ว เขาจึงย่องออกมานอกตำหนัก เห็นองครักษ์หลายนายกำลังเฝ้ายามกลางคืน เขามาถึงตำหนักข้างก็เห็นเซี่ยจินอี้กำลังนอนหลับทั้งที่แต่งกายครบชุด นี่เป็นกฎของเหล่าองครักษ์ที่คอยรับใช้ในตำหนักบูรพา เขาก้าวเข้าไปดันเซี่ยจินอี้แผ่วเบา เซี่ยจินอี้สะดุ้งตื่นทันที เขายังไม่มีคุณสมบัติพกดาบหรือกระบี่ภายในตำหนัก มือจึงคลำไปที่เอว หลี่อันทราบว่าตรงเอวเขาซ่อนอาวุธลับไว้ จึงรีบกระซิบว่า “ข้าเอง”
เซี่ยจินอี้ตื่นเต็มตาทันที เขารีบร้อนลุกขึ้นคารวะ ขณะที่กำลังจะถามไถ่ หลี่อันก็โบกมือห้าม แล้วกระซิบว่า “เจ้าแวะไปเยี่ยมฉุนผินเป็นเพื่อนข้าหน่อย อย่าโหวกเหวกให้ผู้อื่นรู้”
เซี่ยจินอี้ตกใจมาก “องค์ชาย มิได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าองค์จักรพรรดิคงพิโรธหนัก”
หลี่อันยิ้ม “ไม่เป็นอะไร ไม่มีผู้ใดรู้หรอก พวกเรารีบไปรีบกลับย่อมไม่มีปัญหาประการใด” เซี่ยจินอี้เพียรพยายามเกลี้ยกล่อม แต่หลี่อันกลับเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ยามปกติเจ้าเชื่อฟังข้าทุกอย่าง เหตุใดวันนี้จึงดื้อดึงเช่นนี้ ยังไม่ลุกขึ้นไปด้วยกันกับข้าอีก”
ในดวงตาของเซี่ยจินอี้ฉายแววแน่วแน่ แล้วตอบว่า “ผู้น้อยรับบัญชา แต่องค์ชายออกไปเช่นนี้ออกจะไม่เหมาะอยู่บ้าง มิสู้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน”
หลี่อันคิดในใจว่ามีเหตุผล จึงเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าขององครักษ์ชุดหนึ่งแล้วแอบลักลอบไปยังตำหนักของฉุนผินพร้อมกับเซี่ยจินอี้ แม้ในพระราชวังมีองครักษ์อยู่ไม่น้อย แต่เซี่ยจินอี้ถนัดการลักเล็กขโมยน้อยเป็นที่สุด เขาจึงนำรัชทายาทเดินทางผ่านมาโดยมิได้พบคนเท่าใดนัก พบกองทหารราชองครักษ์ที่ลาดตระเวนยามกลางคืนอยู่หนหนึ่ง แต่ก็ถูกเซี่ยจินอี้ใช้ป้ายองครักษ์ตำหนักบูรพากับคารมตลบตะแลงหลอกจนผ่านมาได้
เมื่อมาถึงตำหนักของฉุนผิน หลี่อันก็ผลักประตูตำหนักอย่างอดรนทนรอไม่ไหว ประตูตำหนักบานนั้นมิได้ลงกลอนไว้ หลี่อันก้าวเข้าไปด้านในแต่ไม่เห็นเงาผู้ใด เขาเพียงคิดว่าฉุนผินคงไล่นางข้าหลวงกับขันทีไปแล้วจึงรีบร้อนเดินเข้าไปในห้องบรรทม แล้วก็เห็นโคมไฟสีเงินดวงหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ บนตั่งที่สลักเสลางดงาม ฉุนผินผู้สวมเพียงอาภรณ์ตัวบางกำลังนอนหลับอย่างมีความสุข แขนกลมกลึงสองข้างโผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มปักลาย ยิ่งดูเย้ายวนผู้คน นางข้าหลวงคนสนิทของนางมิได้อยู่ด้วย เห็นชัดว่าฉุนผินคงรอคอยเนิ่นนานจนทนมิไหวหลับไปแน่นอน ในใจหลี่อันยิ่งรู้สึกผิด ความปรารถนาที่ถูกฉุนผินจุดขึ้นยิ่งกดไว้ไม่อยู่ เขาถอดเสื้อผ้าอย่างสะเปะสะปะแล้วโถมขึ้นไปบนตั่งนอน
เดิมทีฉุนผินกำลังหลับสนิท ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีคนทาบทับลงมา นางครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่จึงคล้อยตามมิขัดขืน ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ได้สติจากอารมณ์รัญจวน จึงพบว่ามีคนทำหยาบช้าอยู่บนร่างกาย เดิมนางกำลังจะตะโกนด้วยความตกใจ แต่สัมผัสอันคุ้นเคยนั่นทำให้นางไม่ร้องตะโกนออกมา พอนางอาศัยแสงโคมสลัวจนมองเห็นบุรุษผู้นั้นชัด ในใจก็ตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ เหตุใดรัชทายาทที่อยู่ในช่วงถือศีลถึงลักลอบมาพบตนได้ แต่ผ่านไปครู่เดียว ความบ้าคลั่งของรัชทายาทก็ทำให้นางเคลิบเคลิ้มจนมิได้สนใจไถ่ถามอีก
ขณะที่พวกเขากอดรัดคลอเคลีย ในใจเซี่ยจินอี้มีแต่ความหวาดหวั่น เขาลอบมองสำรวจครู่หนึ่งก็พบว่าขันทีกับนางข้าหลวงทั้งหมดล้วนหลับลึก เห็นชัดว่าถูกคนสกัดจุดนิทรา ดูท่าที่แห่งนี้จะเป็นกับดักที่วางเอาไว้ และรัชทายาทก็คือกวางที่ร่วงลงมาสู่กับดักนี้ ส่วนตนเองก็คือผู้ช่วยที่ช่วยมัดเชือกปิด แต่พอเขาคิดอีกรอบ รัชทายาทประพฤติตัวเช่นนี้มีอันใดคู่ควรให้เห็นใจเล่า ตนต้องรีบกินยาเพื่อไม่ให้ตายอนาถถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ
เขารีบหยิบยาลูกกลอนที่เจียงเจ๋อให้ออกมาแล้วกินยาลูกกลอนที่หุ้มขี้ผึ้งสีเขียวลงไปก่อน กลิ่นหอมอ่อนจางที่ชวนให้คนสดชื่นทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่ง หลังจากนั้นเขาจึงซ่อนยาลูกกลอนที่หุ้มขี้ผึ้งสีดำเอาไว้ ห้ามเลินเล่อทำหายเด็ดขาด เขายืนเฝ้าอยู่นอกห้องบรรทมอย่างเงียบๆ มิทราบว่าจะได้รอจนรัชทายาทออกมา หรือว่าจะพบพายุลูกใหญ่ยามเรื่องนี้ถูกเปิดโปง
ตอนที่รัชทายาทเพิ่งเข้าไปในห้องบรรทมของฉุนผินไม่นาน หลี่หยวนที่ถือศีลอยู่ในตำหนักบำเพ็ญตนกำลังนอนหลับสนิท เขาอายุมากแล้ว การถือศีลหลายวันนี้จึงถือเสียว่ามาพักผ่อนรักษาตัวขจัดตัณหาทำใจให้สงบ ทันใดนั้นระหว่างที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น เขาก็เห็นสีแดงฉาบย้อมบนกระดาษหน้าต่าง จึงสวมอาภรณ์แล้วจำใจลุกขึ้น จากนั้นตะโกนถามเสียงดัง “เกาโฮ่ว เหลิ่งชวน ด้านนอกเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ขันทีผู้สวมอาภรณ์สีขนอูฐอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งผลุนผลันเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท ตำหนักบูรพาไฟไหม้ ยามนี้เหล่าองครักษ์กำลังดับไฟอยู่ หัวหน้าองครักษ์เหลิ่งคอยอารักขาอยู่ด้านนอก”
หลี่หยวนตระหนก วันนี้เป็นวันที่สิบสองแล้ว ก่อนพิธีบวงสรวงเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ช่างอัปมงคลยิ่งนัก เมื่อนึกได้ว่าไฟไหม้ที่ตำหนักบูรพา ในใจเขาพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี จึงถามขึ้นว่า “รัชทายาทเล่า รีบไปรับเขามา อย่าให้เขาเป็นอะไร”
เกาโฮ่วสีหน้าวิกตกเล็กน้อย ลอบเหลือบมองแต่มิกล้าเอ่ยวาจา หลี่หยวนโมโห ถามว่า “เป็นอะไร รัชทายาทบาดเจ็บแล้วหรือ”
เกาโฮ่วมิอาจไม่พูด “องค์ชายถือศีลอยู่ในตำหนักบูรพาโดยมีเจิ้งซื่อจงคอยดูแล คืนวันนี้ตำหนักบูรพาไฟไหม้ เจิ้งซื่อจงจึงส่งคนไปช่วยรัชทายาท แต่กลับพบว่ารัชทายาทไม่อยู่ในห้องบรรทม”
หลี่หยวนรู้สึกเหมือนน้ำเย็นอ่างหนึ่งสาดรดลงมาจากศีรษะ ในใจหนาวยะเยือก เขาตรัสถามช้าๆ “รัชทายาทไปที่ใด”
เกาโฮ่วเหงื่อเย็นหลั่งจนชุ่ม ตอบว่า “บ่าวก็มิทราบ แต่เมื่อครู่เจิ้งซื่อจงส่งคนออกสืบหา รายงานมาว่ามีองครักษ์ตำหนักบูรพาสองนายไปที่ตำหนักหันเซียง” กล่าวถึงตรงนี้ ตัวเขาก็สั่นระริก
หลี่หยวนนิ่งดุจตุ๊กตาไก่ไม้ เอ่ยว่า “ตำหนักหันเซียง ฉุนผิน เหอะ เหลิ่งชวน เจ้าตามข้าไปตำหนักหันเซียง”
มีเงาร่างขยับวูบหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนผู้สวมเครื่องแบบหัวหน้าองครักษ์ส่วนพระองค์ผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา บุรุษวัยกลางคนผู้นี้หน้าตาธรรมดา แต่ท่วงท่าสง่างาม ประกายเย็นเยียบโชนฉายจากดวงตา เขาคือองครักษ์คนสนิทของจักรพรรดิต้ายง วรยุทธ์เหยียบเข้าสู่ขั้นสุดยอด ได้รับความไว้วางใจจากหลี่หยวนที่สุด ยามนี้เป็นถึงสมุหราชองครักษ์ ได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิ เขาเอ่ยราบเรียบ “ฝ่าบาทโปรดอย่ากลัดกลุ้มเกินไปจนทำร้ายพระวรกาย”
หลี่หยวนเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่ต้องพูดแล้ว รีบไปตำหนักหันเซียง สั่งเซี่ยโหวให้กักตัวองครักษ์ ขันทีกับนางข้าหลวงทั้งหมดของตำหนักบูรพาไว้ อย่าให้พลาด”
ตอนที่หลี่หยวนพาเหลิ่งชวน เกาโฮ่วกับองครักษ์และขันทีอีกหลายคนรีบเร่งไปถึงตำหนักหันเซียง สถานที่แห่งนี้ยังคงเงียบสงบ มิทราบปัญหาของฝั่งตำหนักบูรพาอย่างสิ้นเชิง หลี่หยวนส่งสายตา องครักษ์นายหนึ่งก้าวเข้าไปถีบประตูตำหนักจนเปิดออก เซี่ยจินอี้ที่กำลังเฝ้าอยู่ด้านหน้าตัวสั่นเทาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นจักรพรรดิต้ายงหลี่หยวนผู้อยู่ใต้แสงจันทร์กำลังจับจ้องมาที่ตนด้วยความเดือดดาล ทว่าในหัวใจเขากลับสงบ เขาหันกลับไปตะโกนว่า “ฝ่าบาทเสด็จ”
ดวงเนตรของหลี่หยวนทอประกายดุร้าย ไม่ต้องให้เขาออกคำสั่ง ร่างกายของเหลิ่งชวนพลันทะยานออกไปตบหนึ่งฝ่ามือกลางแผ่นหลังของเซี่ยจินอี้อย่างหนักหน่วง เซี่ยจินอี้รู้สึกว่าตนเองลอยปลิวออกไปประหนึ่งขี่ก้อนเมฆ ร่างกายกระแทกบนกำแพงอย่างแรง พลังภายในอันกล้าแข็งทะลักเข้ามาในเส้นลมปราณของตนในพริบตา เบื้องหน้าของเซี่ยจินอี้ดับมืดหมดสติไป
หลี่หยวนไม่มององครักษ์ที่ถูกสังหารคนนั้นสักครั้ง บุกเข้าไปในห้องบรรทมก็เห็นโอรสองค์โตของตนสีหน้าซีดเผือดอยู่บนตั่งที่สลักเสลางดงามพร้อมกับฉุนผินผู้ไม่มีอาภรณ์ติดกายสักชิ้นกำลังหวาดกลัวจนสติไม่สมประดี หลี่หยวนรู้สึกราวกับอวัยวะภายในทั้งห้ากำลังถูกแผดเผา เวียนศีรษะตาลาย โซเซจนหวิดจะล้มทรุด แต่ได้เกาโฮ่วกับขันทีหลายคนพยุงเอาไว้ หลี่หยวนไม่พูดพร่ำ ตรัสอย่างโกรธเกรี้ยวทันที “เหลิ่งชวน ยังไม่สังหารบุตรอกตัญญูคนนี้ของข้าอีก”
เหลิ่งชวนแววตาวูบไหว แต่มิกล้าขัดพระบัญชา จึงนิ่งงันไม่ขยับ หลี่หยวนตรัสอย่างเกรี้ยวกราด “เป็นอันใด แม้แต่คำพูดของข้า เจ้าก็ไม่เชื่อฟังแล้วหรือ”
เหลิ่งชวนเอ่ยด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ฝ่าบาท รัชทายาทเป็นถึงผู้สืบทอดบัลลังก์ แม้จะมีความผิดก็ต้องประกาศให้ใต้หล้ารู้แจ้ง ไฉนจะจัดการเช่นนี้ได้”
หลี่หยวนเดิมทีเพียงโทสะครอบงำจิตใจ คำพูดประโยคนี้ของเหลิ่งชวนทำให้เขาใจเย็นลง เวลานี้หลี่อันได้สติกลับมาแล้ว รีบโถมมาข้างหน้าโขกศีรษะไม่หยุด “เสด็จพ่อไว้ชีวิตด้วย เสด็จพ่อไว้ชีวิตด้วย”
หลี่หยวนมองเขาอย่างรังเกียจเดียดฉันท์แล้วยกเท้าขึ้นถีบ เตะหลี่อันกระเด็นไปด้านข้าง ก่อนจะตรัสว่า “เกาโฮ่ว เจ้าส่งลูกอกตัญญูคนนี้ไปกักบริเวณที่ ‘ตำหนักจิ่นอาน’ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม อีกทั้งคนในตำหนักหันเซียง ไม่ว่าตำแหน่งเล็กหรือใหญ่สังหารให้สิ้น ฉุนผิน ฉุนผิน ข้าไม่อยากเห็นหน้านางอีก” ตรัสจบ หลี่หยวนก็หมุนตัวเดินออกไป เหลิ่งชวนรีบติดตาม
เกาโฮ่วรับพระบัญชาจึงอยู่ต่อ เขาออกไปตะโกนเรียกข้างนอก องครักษ์จำนวนหนึ่งพุ่งเข้ามาในตำหนักหันเซียงประหนึ่งพยัคฆ์ เพียงครู่เดียวขันทีและนางข้าหลวงในตำหนักหันเซียงก็ถูกรัดคอตายสิ้น พวกเขาส่วนใหญ่เพิ่งตื่นจากฝัน ยังมิรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตายเสียแล้ว
ส่วนเซี่ยจินอี้ฟื้นขึ้นมาระหว่างที่พวกหลี่หยวนเข้าไปในห้องบรรทม เขาหยิบยาลูกกลอนที่หุ้มขี้ผึ้งสีดำออกมาอย่างยากลำบาก ด้านในคือยาลูกกลอนกลิ่นประหลาดเม็ดหนึ่ง เซี่ยจินอี้คิดในใจว่า ข้าจะตายหรืออยู่ล้วนพึ่งเจ้าแล้ว หลังกลืนยาลูกกลอนลงไป เซี่ยจินอี้พลันรู้สึกว่าแขนขาชาหนึบ ทั้งร่างมิอาจกระดิกกระเดี้ยว ดวงตาเบิกโพลงไร้เรี่ยวแรง แต่ดันมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่เสี้ยวหนึ่ง
ไม่นานนักหลี่หยวนก็เดินจากไป องครักษ์เหล่านั้นเริ่มสังหารคนปิดปากตามพระบัญชา เมื่อมาถึงตาเขา องครักษ์ผู้หนึ่งก็ยื่นมือมาหยั่งลมหายใจเขาแล้วเอ่ยว่า “คนนี้ตายแล้ว ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องดู หัวหน้าเหลิ่งลงมือ ไฉนจะยังมีคนรอด”