ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 21 แตกหักในที่สุด (1)
ต้ายง รัชศกอู่เต๋อเดือนหกปีที่ยี่สิบห้า จักรพรรดิเห็นว่ารัชทายาทเสื่อมคุณธรรมจึงรับสั่งให้ไท่จงร่วมพิธีบวงสรวงที่นครฉางอันแทน
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง
ความคิดในใจยงอ๋องหลี่จื้อดุจคลื่นโถม เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้กำลังแสดงไมตรีต่อเขา และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่อีกฝ่ายจะแบไพ่ให้เขา แม้เขารู้ดียิ่งว่าหากเจ้าสำนักเฟิงอี้สนับสนุน ตำแหน่งรัชทายาทคงเป็นของตนอย่างมั่นคง แต่เมื่อคิดไปคิดมา เขามิอาจทำใจยอมเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดได้ หากครั้งนี้ประนีประนอมย่อมต้องปล่อยให้สำนักเฟิงอี้แทรกซึมเข้ามาในอำนาจของตน ถึงเวลาตนยากจะผลักดันการปฏิรูป
หากเจ้าสำนักเฟิงอี้เสนอว่าจะรับธิดาของตนเป็นศิษย์ เขาย่อมปฏิเสธทันที แต่เจ้าสำนักเฟิงอี้กลับต้องการรับโหรวหลันเป็นศิษย์ แม้เจ้าสำนักเฟิงอี้เป็นศัตรูคนสำคัญของพวกเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟ่านฮุ่ยเหยาเป็นถึงหนึ่งในสามปรมาจารย์ ทั้งยังเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางจะครองอันดับหนึ่งในนั้น บุคคลเช่นนี้ต้องการรับโหรวหลันเป็นศิษย์ย่อมเป็นเกียรติของโหรวหลัน หากตนปฏิเสธเด็ดขาด เจียงเจ๋อจะคิดเช่นไร เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เงยหน้ามองเจียงเจ๋อ
ในใจข้ากำลังกลายเป็นผืนทะเลคลั่ง จะให้โหรวหลันกราบนางเป็นอาจารย์ อย่าแม้แต่จะคิด ข้ากับพ่อแม่บังเกิดเกล้าของโหรวหลันต่างหวังให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ข้าเพียงปรารถนาให้นางไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารหรืออาภรณ์ แต่งงานกับสามีที่ใจหมายสักคน อยู่เคียงคู่กันจนเส้นผมขาวโพลน ข้าไม่แม้แต่จะเตรียมให้โหรวหลันแต่งกับตระกูลมั่งคั่งสูงศักดิ์ด้วยซ้ำ เพื่อไม่ให้ลูกหลานตระกูลสูงที่คิดว่าตนเองสง่างามแต่มีสามภรรยาสี่อนุเหล่านั้นทำให้นางเสียใจ แล้วข้าจะให้นางไปเรียนกระบี่อะไรนั่นได้เช่นไร อนาคตให้เสี่ยวซุ่นจื่อสอนวิชาตัวเบาให้โหรวหลันเล็กน้อยไว้ป้องกันตัวก็พอแล้ว แน่นอนว่าหากนางชื่นชอบการร่ำเรียนวรยุทธ์จริงๆ ข้าก็จะยอมรับ แต่ไม่มีทางให้นางกราบเป็นศิษย์ของสตรีทรราชเช่นสตรีผู้นี้เด็ดขาด แต่เห็นชัดว่าเจ้าสำนำเฟิงอี้กำลังขอปรองดองกับยงอ๋อง หากข้าปฏิเสธเด็ดขาด ยงอ๋องจะไม่พอใจหรือไม่
ดวงตาสี่ข้างของข้ากับยงอ๋องมองสบกัน ในดวงตามีแต่ความกังวล ไม่เห็นพ้องต้องกันอย่างหาได้ยาก ข้ายิ้มเจื่อนในใจ เจ้าสำนักเฟิงอี้ลงมือไม่ธรรมดาจริงๆ เพียงประโยคเดียวสั้นๆ ก็ทำให้พวกเราต่างรุกถอยลำบาก นายบ่าวแตกสามัคคีได้
เวลานี้เอง เสียงของเสี่ยวซุ่นที่อยู่ข้างกายข้าก็ดังขึ้น “ไม่…” แต่ยังเอ่ยไม่ทันจบเสียงก็ขาดหายไป ข้าเงยหน้ามอง ดวงตาทั้งคู่ของเจ้าสำนักเฟิงอี้แฝงแววเยาะหยันจางๆ ปลายหางตาข้าเหลือบเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก สีหน้าอับอายและโกรธเกรี้ยว ในใจจึงรู้ว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้จะต้องปิดกั้นเสียงของเสี่ยวซุ่นจื่อไว้แน่ ข้ารู้มาตลอดว่าเสี่ยวซุ่นจื่อสังเกตสีหน้าน้ำเสียงและรับมือกับสถานการณ์กะทันหันได้เหนือกว่าข้า ข้าพลันบังเกิดไหวพริบปฏิภาณ เข้าใจความลำบากใจของยงอ๋องแล้ว จึงเอ่ยเสียงดังว่า “เจ้าสำนักช่างเมตตา เดิมเจียงเจ๋อสมควรขอบคุณความเมตตาแทนบุตรสาว แต่บุตรสาวข้ากำพร้ามาแต่เล็ก พวกเราพ่อลูกเป็นชีวิตของกันและกัน ตัดใจพรากจากมิได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น บุตรสาวตัวน้อยนิสัยดื้อรั้น คงทนร่ำเรียนกระบี่มิได้ เจียงเจ๋อเพียงหวังให้นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุข มิต้องการให้นางโดดเด่นเกินหน้าผู้ใด”
เป็นดังคาด ทันทีที่ข้าเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงยงอ๋องผ่อนลมหายใจออก
ดวงตาของเจ้าสำนักเฟิงอี้ฉายแววทะมึนจางๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าเห็นบทกวีของเจียงซือหม่าโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นคนคร่ำครึเช่นนี้ มิชอบเห็นสตรีมีความสามารถโดดเด่นเช่นนั้นหรือ”
ข้าตอบอย่างระมัดระวัง “เจ้าสำนักเข้าใจผิดแล้ว เจียงเจ๋อมิได้มีหมายความเช่นนั้น ทว่าการเป็นยอดคนย่อมต้องทุ่มเทกายใจเหนือผู้อื่นร้อยเท่า เจียงเจ๋อจึงปรารถนาเพียงให้บุตรสาวมีชีวิตธรรมดาสามัญ มิต้องสร้างชื่อเลื่องลือ ขอเพียงมีความสุขกับครอบครัว มิขอคุณความชอบมากล้นใต้หล้า หวังเพียงหาเลี้ยงชีพได้ ดำรงตนในคุณธรรม ยามบ้านเมืองพบภัยทุ่มสุดกำลังช่วยเหลือ ยามบ้านเมืองสงบสุขเป็นเพียงชาวประชาผู้สวามิภักดิ์ต่อแผ่นดิน”
ดวงตาของเจ้าสำนักเฟิงอี้ฉายแววเยาะหยันแล้วเอ่ยว่า “หากทุกคนทำเช่นนั้น ยังจะมีผู้ใดค้ำจุนแผ่นดินได้ เจียงซือหม่าเอาแต่รักษาตัวรอดเกินไปแล้ว”
ข้าแย้มรอยยิ้ม “กล่าวกันว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ใต้หล้าผู้มีปณิธานมีใจทะเยอทะยานมากมายนับไม่ถ้วน แต่หากไม่มีประชาชนคนธรรมดา ผู้ใดจะขับเคลื่อนบ้านเมือง หากทุกคนล้วนอยากเป็นวีรบุรุษ เช่นนั้นใต้หล้าไยมิโกลาหล แม้ข้าโชคร้ายเกิดในกลียุคถูกผูกมัดอย่างมิอาจเลือก แต่ข้าจะไม่สนับสนุนให้บุตรสาวข้าต้องทุ่มเทจนรากเลือดเช่นข้าเด็ดขาด”
เจ้าสำนักเฟิงอี้เงียบงันครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ต่างปณิธานมิอาจร่วมทาง ยงอ๋องมิทราบคิดเช่นไร”
ทุกคนต่างเข้าใจความนัยในคำพูดของนาง ยงอ๋องยิ้มละไมตอบว่า “ข้าก็คิดว่าโหรวหลันไม่เหมาะกับการร่ำเรียนวรยุทธ์ หากเจ้าสำนักได้พบรัชทายาท ฝากแสดงความเป็นห่วงแทนข้าด้วย บอกว่าข้าจักถวายฎีกาปกป้องแน่นอน ขอรัชทายาทสงบจิตสงบใจ รักษาร่างกายให้ดี”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ถอนหายใจยาว พวกเราต่างจิตใจสับสนวุ่นวาย แม้รู้สึกว่าเสียงถอนหายใจครั้งนี้ของนางเต็มไปด้วยความเมตตาและความเสียดาย แต่ข้ากับหลี่จื้อกลับไม่หวั่นไหว เจ้าสำนักเฟิงอี้เห็นเช่นนี้จึงเอ่ยอย่างเย็นชา “องค์ชาย รัชทายาทเป็นพี่ชายของท่าน ยามนี้เขาถูกกักบริเวณ มิทราบองค์ชายจะโยนหินซ้ำหรือจะนิ่งดูสถานการณ์”
นางเอ่ยคำถามนี้ออกมา ยงอ๋องก็ยิ้มฝาดเฝื่อนในใจอีกหน แม้เขากับรัชทายาทอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ตายไม่เลิกราต่อกันแล้ว แต่เรื่องนี้จะพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งได้เช่นไร วาจาเอ่ยออกมาแล้วดั่งสายลม มิว่าอย่างไรรัชทายาทก็เป็นเหนือหัวของเขา เป็นพี่ชายของเขา ในใจเห็นรัชทายาทเป็นศัตรูคู่อาฆาตได้ แต่อยู่ต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนี้ หากตนเองเอ่ยออกมา เกรงว่าไม่นานก็คงแพร่ไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อ ต่อให้ในจวนอ๋องมิมีคนกินบนเรือน ขี้บนหลังคา แต่เจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่มีทางเก็บความลับไว้แน่ หากตนเองบอกว่าจะนิ่งดูสถานการณ์ ถ้าเช่นนั้นมิว่าอย่างไร ครั้งนี้ตนก็มิอาจโหมกำลังโจมตีรัชทายาทได้แล้ว ขณะที่เขากำลังละล้าละลัง เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็ยิ้มละไมเอ่ยออกมาอีกหน “รัชทายาทเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาทเพราะคดีกรมคลังกับคดีกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว มิทราบยงอ๋องคิดเห็นเช่นไร เรื่องนี้คิดว่าองค์ชายคงรู้แจ่มเจ้ง”
หลี่จื้อเลิกคิ้ว แม้เขาไม่กระจ่างในสองเรื่องนี้นัก แต่เขารู้ดียิ่งว่าเรื่องนี่มีใครคอยชักใย เขาก็มิได้หวังว่าเรื่องเหล่านี้จะถูกซ่อนเป็นความลับได้ตลอดไป แต่หากเจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยอย่างไร้หลักฐาน ย่อมกล่าวโทษว่าเขาไร้มารยาทมิได้ เขาเอ่ยอย่างเฉยเมย “สองเรื่องนี้ คนทั่วใต้หล้ามีใครมิรู้บ้างเล่า แต่ติดที่เกรงอำนาจจึงมิกล้าเอ่ยโจ่งแจ้งเท่านั้น”
เจ้าสำนักเฟิงอี้หัวเราะเย็นชา ในเสียงหัวเราะแฝงสำเนียงเยาะหยัน นางเอ่ยแช่มช้า “หากกล่าวถึงหลักฐาน ข้าย่อมไม่มีสิ่งใดหยิบออกมาให้ดู แต่องค์ชายสมควรรู้ว่า หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าหลักฐานก็คงปรากฏ”
หลี่จื้อขมวดคิ้ว เขาย่อมทราบว่าหากหลี่หยวนนึกสงสัยแล้วสืบค้นอย่างละเอียด แม้หาหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันมิพบ แต่หลักฐานแวดล้อมก็อาจหาพบอยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ตนย่อมเสียผลประโยชน์อย่างมาก แต่จะให้ก้มหัวเช่นนี้ ในใจเขาก็ไม่ยินยอม เพลิงโทสะในหัวใจยิ่งแผดเผาร้อนแรง สายตาของเขาประหนึ่งกระบี่แหลมคมมองไปยังเจ้าสำนักเฟิงอี้
เวลานี้ข้าจึงเอ่ยอย่างมีแผนการ “เจ้าสำนักโปรดวางใจ องค์ชายของข้าเพียงมิต้องการอวดความดีความชอบเท่านั้น ความจริงแล้วองค์ชายเตรียมถวายฎีกาปกป้องรัชทายาทไว้แล้ว ความผูกพันพี่น้องเนิ่นนาน ความภักดีของนายเหนือหัวกับขุนนางหลายปี ยงอ๋องเป็นผู้สัตย์ซื่อ หากมิไร้เมตตาจนสิ้นความชอบธรรม องค์ชายไม่มีทางจับอาวุธขึ้นมาแน่นอน”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ฟังถ้อยคำดุจซ่อนเข็มแหลมใต้แพรไหมของเจียงเจ๋อแต่กลับมิสนใจ นางแย้มรอยยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอบใจยงอ๋องแทนรัชทายาท เย็นแล้ว ข้ายังต้องไปพบสหายเก่าอีกหลายคน ขอลาตรงนี้ หากมีวาสนาย่อมได้พบหน้ากันอีก” กล่าวจบสายตาของนางก็หันไปมองภิกษุผู้ห่มกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาที่ไม่รู้ว่าโผล่มายืนอยู่ไกลๆ ตั้งแต่เมื่อไร นางใช้สายตาทักทายเล็กน้อยแต่ไม่เห็นเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีก ทว่าร่างกายกลับประหนึ่งควันบางเบา พริบตาเดียวก็หายไป เวลานี้พวกเราที่อยู่ตรงนั้นจึงโล่งอกได้อย่างแท้จริง
หลี่จื้อยิ้มฝาดเฝื่อน “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าแรงกดดันเพิ่มเป็นเท่าทวี เจ้าสำนักเฟิงอี้ออกโรงเอง ครานี้คงไม่มีหวังอันใดแล้ว”
ข้าเอ่ยอย่างเฉยเมย “องค์ชายโปรดวางใจ เดิมทีครั้งนี้ก็ไม่ได้หมายจะบรรลุจุดประสงค์ทันทีอยู่แล้ว” หลังจากนั้นข้าจึงหันไปมองเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วถามอย่างเป็นห่วง “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”
แววตาเสี่ยวซุ่นจื่อฉายแววอับอายปนโกรธแค้น เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
ข้าได้ยินก็หัวเราะ “เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน เจ้าเพิ่งอายุกี่ปีจะขันแข่งอันใดกับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์อย่างผู้อื่น ซือเจินต้าซือยังกล่าวว่าอนาคตของเจ้ามิอาจประมาณ พ่ายแพ้ชั่วครั้งชั่วคราวต้องเสียใจปานนั้นเชียวหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าผ่อนคลายลงมากแต่ยังนิ่งเงียบ ข้าเห็นเขากลับเป็นปกติแล้วจึงวางใจ ตอนนี้ซือเจินต้าซือหายไปแล้ว ยอดคนก็คือยอดคน หลี่จื้ออมยิ้มมองข้าแล้วเอ่ยว่า “เอาละ สุยอวิ๋น ท่านมิต้องซุกซ่อนอมพะนำแล้ว มีแผนการอันใดก็รีบบอกมาเถิด”
ข้ากำลังจะเอ่ยตอบ ตอนนี้เองหัวหน้าองครักษ์ฉางเอินก็รีบร้อนวิ่งมาแต่ไกล แล้วรายงานว่า “องค์ชาย ในวังมีราชโองการลงมา”