ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 23 ประมุขนิกายเร้นดารา (1)
เซี่ยจินอี้เบิกตาโต เอ่ยเสียงหนาวสะท้าน “เจ้าพูดอีกครั้งซิ”
ชื่อจี้มองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ แล้วเอ่ยว่า “แม่นางซิ่วชุนผูกคอฆ่าตัวตายแล้ว ทั้งนางยังตั้งครรภ์อยู่ด้วย คุณชายของข้าตั้งใจส่งข้ามาแจ้งท่าน”
เซี่ยจินอี้มองสองมือของตนอย่างนิ่งอึ้ง มิพูดคำใดอีก ชื่อจี้ถอยออกไป ขณะที่เท้าของเขาเพิ่งจะก้าวพ้นประตู เขาก็ได้ยินเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้น เสียงร่ำไห้นั้นประหนึ่งจะขาดใจ หัวใจชื่อจี้ปวดร้าวตาม เขารีบเร่งฝีเท้าออกมา
เซี่ยจินอี้นั่งซึมกะทืออยู่ที่พื้นห้อง ในหัวใจไม่มีภาพของหลี่หันโยวปรากฏขึ้นอีก ในห้วงคะนึงของเขามีเพียงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังได้รู้จักซิ่วชุน เริ่มจากการเล่นสนุกจนต่อมาสตรีอ้อนแอ้นผู้นี้เดินเข้ามาในหัวใจของตน กี่ครั้งที่ทั้งสองกอดกันหลับใหล เฝ้าฝันถึงอนาคตอันงดงาม เขาถึงขั้นคิดว่าหากผ่านไปหลายปี เขาเก็บหอมรอมริบได้แล้วจะพาซิ่วชุนออกเดินทางไปแดนไกล บ้านเกิดเป็นสถานที่แห่งความเศร้าใจคงกลับไปไม่ได้ แต่ใต้หล้ายังมีสถานที่อีกมากมายนักให้พวกเขาลงหลักปักฐาน จนกระทั่งวันนั้นที่ตนเห็นหลี่หันโยว สตรีที่กลืนกินชีวิตและความฝันของตนผู้นั้น สตรีที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของตนแต่กลับลืมเลือนตนจนหมดสิ้นผู้นั้น นับตั้งแต่นาทีนั้น ชีวิตของเขาก็สิ้นสุด
ทุกวันเขาคิดเพียงจะประจบรัชทายาทผู้โหดร้ายคนนั้นอย่างไร จะคิดหาวิธีแก้แค้นหลี่หันโยวเช่นไร ดังนั้นเขาจึงยินยอมพร้อมใจเสี่ยงชีวิตเพื่อทำภารกิจที่เจียงเจ๋อมอบให้ตนจนสำเร็จ เพราะเขารู้ว่ากำลังของตนมีน้อยนิดเพียงไร ในสายตาของศิษย์สำนักเฟิงอี้คนหนึ่ง องค์หญิงเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่ง ฮูหยินของแม่ทัพคนหนึ่ง ความเป็นความตายของตนเสมือนหนึ่งมดแมลง ถ้าหากต้องการแก้แค้นก็มีเพียงต้องโค่นไม้ใหญ่ที่นางพึ่งพิง ดังนั้นยงอ๋องกับเจียงเจ๋อจึงเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของเขา
ทว่าในห้วงเวลาอันทุกข์ทรมานนั้น ข้างกายเขากลับมีสตรีเรือนร่างอรชรผู้นั้นปลอบโยนเขา ให้กำลังใจเขา ทำให้ในใจของเขายังเหลือแสงสว่างสายหนึ่ง แต่เขากลับไม่ได้คำนึงถึงนาง หลังจากตนยอมรับภารกิจที่มีโอกาสรอดเพียงหนึ่งในสิบนั่น เพื่อเก็บความลับ เขาไม่แม้แต่จะบอกลานาง เขาถึงขนาดคิดว่าหากตนแสร้งตาย สตรีผู้อ่อนหวานผู้นี้ก็คงลืมเลือนตนแล้วมีชีวิตเปี่ยมสุขของนางเอง แต่คิดไม่ถึงว่านางกลับฆ่าตัวตายตามคนรัก แล้วยังพาบุตรของตนตามไปด้วย ช่างเป็นการตัดสินใจที่เหี้ยมยิ่งนัก เหตุใดนางจึงเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ นี่คือกรรมตามสนองหรือ นี่คือกรรมตามสนองที่เชาช่วยรัชทายาททำเรื่องโหดร้ายต่อหญิงสาวผู้บริสุทธิ์มากมายเหล่านั้นใช่หรือไม่
ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ทรมาน เซี่ยจินอี้รู้สึกราวกับอวัยวะทั้งห้ากำลังถูกแผดเผา เวียนหัวตาลาย ใกล้จะหมดสติ ระหว่างที่ครึ่งหลังครึ่งตื่น เขาเหมือนได้หวนกลับไปยังบ้านเกิดกับซิ่วชุน สามีทำนาภรรยาทอผ้า ใช้ชีวิตของตนอย่างไร้กังวล ท่ามกลางความเลือนราง เหมือนบิดามารดาของตนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขากำลังอุ้มบุตรของตน ริมฝีปากยิ้มแย้มไม่หุบ
ระหว่างที่สะลึมสะลือ เซี่ยจินอี้ก็โคจรพลังภายในที่ได้รับถ่ายทอดมาจากอาจารย์โดยไม่รู้ตัว นั่นเป็นพลังภายในชนิดหนึ่งที่ไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากทำให้คนมีกำลังวังชาและนอนหลับสนิทได้ดีขึ้น หลายปีที่ผ่านมาเซี่ยจินอี้ฝึกฝนทุกวันไม่ขาด แม้ไม่มีข้อดีอื่นใด และถึงแม้พลังภายในของตนจะไม่เพิ่มพูน แต่ก็ไหลคล่องขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งปีที่ผ่านมาเพื่อไม่ต้องฝันเห็นเงาร่างอรชรของหลี่หันโยวอีก เซี่ยจินอี้ฝึกฝนอย่างเพียรพยายามยิ่งนัก วันนี้เมื่อตกอยู่ในห้วงความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เขาจึงเริ่มฝึกอย่างไม่รู้ตัว
ทว่าเมื่อฝึกไปเรื่อยๆ เซี่ยจินอี้พลันรู้สึกว่ามีความอบอุ่นร้อนผ่าวสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากจุดตันเถียน เซี่ยจินอี้ลังเลเพียงชั่วครู่ กระแสความอบอุ่นนั่นก็ไหลบ่าไปยังสี่แขนขาร้อยกระดูก เซี่ยจินอี้รู้สึกว่าเส้นลมปราณทั่วร่างเหมือนถูกเปลวเพลิงร้อนแรงแผดเผา แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือความทุกข์ทรมานในใจกลับลดทอนลงหลายส่วน ในใจเขาฉุกคิดบางอย่างจึงโคจรลมปราณต่อไป กระแสความอบอุ่นทะลักออกมาจากจุดตันเถียนเป็นระยะ เขาเตรียมใจยอมรับความเจ็บปวดมหาศาลแล้วตั้งใจโคจรลมปราณยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดราวกับทั้งร่างฉีกขาดนั่นกลับทำให้หัวใจเขาได้รับการปลอบประโลม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เขาเริ่มจดจ่ออยู่กับการนี้
หากมีคนเข้ามาในเวลานี้ก็จะเห็นภาพประหลาดภาพหนึ่ง บุรุษผู้หนึ่งรอบร่างมีลมปราณเลือนรางลุกไหม้ดุจเปลวเพลิง สีหน้าทุกข์ทรมานแต่กลับแฝงความสงบสุข ถือเป็นโชคดีของเซี่ยจินอี้ที่ชื่อจี้ผู้มาส่งอาหารยามเที่ยงเห็นประตูปิดสนิทจึงคิดว่าเขาเศร้าเสียใจจนมิยินดีออกมา ดังนั้นจึงเพียงตะโกนบอกคำเดียวด้านนอกแล้ววางอาหารไว้บนโต๊ะ ไม่คิดจะเข้าไปในห้องนอนดูเขา มิฉะนั้นเซี่ยจินอี้คงสิ้นชีวาเป็นแน่แท้
เมื่อถึงเที่ยงคืน เซี่ยจินอี้พลันรู้สึกว่าลมปราณเย็นสบายสายหนึ่งทะลักออกมาจากจุดตันเถียน ไหลแล่นไปทั่วร่าง จุดที่ลมปราณแล่นผ่าน สี่แขนขาค่อยๆ กลับมามีความรู้สึก รอจนกระทั่งลมปราณโคจรจนครบทุกตำแหน่ง เซี่ยจินอี้พลันรู้สึกมีกำลังวังชา ความเศร้าโศกและความรู้สึกผิดในหัวใจไม่ทำให้เขาเจ็บปวดจนอยากตายไปเสียอีกต่อไป เขาลุกขึ้นนั่ง รู้สึกว่าร่างกายเหม็นฉึ่ง เมื่อเพ่งมองก็เห็นคราบสีดำสนิทเปรอะเป็นแถบ เขารีบวิ่งออกไปในลานตักน้ำในบ่อมาล้างจนสะอาด หลังจากอาบน้ำ เขาจึงยื่นแขนทั้งสองข้างออกมา รู้สึกว่าผิวขาวผ่องจนแทบจะโปร่งแสง เรียบเนียนแล้วยังนุ่มเด้ง เขาตกใจยิ่งนัก มิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ในตอนนี้เอง ด้านหลังก็มีคนถอนหายใจ “อี้เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ผ่านด่านเจ็ดอารมณ์แล้ว”
เซี่ยจินอี้หันหลังกลับไปมอง ใต้แสงจันทร์ขาวกระจ่าง มีนักพรตอาภรณ์สีเหลืองผู้หนึ่งกำลังยืนยิ้มน้อยๆ นักพรตผู้นั้นไม่ทราบว่าอายุเท่าใด แม้หน้าตางดงาม ผิวดั่งทารก แต่เส้นผมกลับสีขาวโพลนประหนึ่งอายุร้อยปีแล้ว เซี่ยจินอี้เอ่ยเรียกแผ่วเบา คนผู้นี้ก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณคนที่สองของตน นักพรตเมิ่งนักพรตแห่งนิกายเทียนตู เขาก้าวเข้าไปคารวะ เดิมอยากจะร่ำไห้สักหน แต่กลับรู้สึกว่าน้ำตาไม่ยอมไหลออกมา ในใจอดรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นอีกไม่ได้
นักพรตเมิ่งก้าวเข้ามาประคองเขาแล้วเอ่ยว่า “อี้เอ่อร์ มีบางเรื่องที่วันนี้เจ้ารับรู้ได้แล้ว อาจารย์มิใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึงประมุขคนปัจจุบันแห่งนิกายดาราของพรรคมาร”
เซี่ยจินอี้ตกตะลึงเล็กน้อย เขาเคยได้ยินอาจารย์เล่าเรื่องสามนิกายแห่งพรรคมาร เมื่อออกมาอยู่ในโลกภายนอกจึงเพิ่งทราบว่าเรื่องเหล่านี้มีน้อยคนนักที่ล่วงรู้ เขาเคยสงสัยว่าอาจารย์อาจเป็นคนของพรรคมาร แต่เมื่อนึกถึงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามีเพียงอาจารย์ที่ดีต่อตนที่สุดจึงโยนความคิดทิ้งไป วันนี้ได้ยินอาจารย์ยอมรับฐานะของตนเองกับปาก ในใจเซี่ยจินอี้กลับเหมือนวางก้อนหินใหญ่ลง เขาหัวเราะตอบว่า “มิว่าอาจารย์มีฐานะเป็นผู้ใด จินอี้ล้วนมิใส่ใจ แต่จินอี้มีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจ ขออาจารย์โปรดบอกอี้เอ๋อร์ด้วย”
นักพรตเมิ่งจับมือเซี่ยจินอี้มานั่งบนม้านั่งหินในลานบ้านแล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ศิษย์เอ๋ย อาจารย์มิได้เลือกผู้สืบทอดผิดจริงๆ จงฟังสิ่งที่ข้าจะเล่าให้ดี ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกว่าพรรคมารแบ่งออกเป็นสามนิกาย คำกล่าวที่ว่า ‘ฟ้าดินโกลาหล สุริยาปรากฏ จันทราเกื้อหนุน ดาราเฝ้าพิทักษ์’ หมายถึงการแบ่งงานของทั้งสามนิกาย
ท่านประมุขรุ่นแรกของพรรคมารของเราชาติกำเนิดยากจนต่ำต้อย เขาชิงชังชนชั้นสูงมากอำนาจเหล่านั้นสุดหัวใจ คิดว่าความพินาศของแว่นแคว้นหนึ่งล้วนเป็นเพราะเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงที่ฟอนเฟะจนถึงที่สุดเหล่านั้นคอยสูบกินเลือดเนื้อของประชาชน เขาเคยกล่าวว่าหากเจ้าแผ่นดินปรีชา ปวงประชาก็จะทุกข์ยากน้อยลง หากเจ้าแผ่นดินเบาปัญญา ประชาชนกลับจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ดังนั้นเขาจึงก่อตั้งพรรคมารขึ้นมาเพื่อกำจัดโลกอันเละเทะและอยุติธรรมใบนี้
ท่านบรรพจารย์คิดว่าหากปวงประชาทุกข์เข็ญต้องมีผู้จับอาวุธลุกขึ้นสู้ สร้างแผ่นดินขึ้นใหม่ ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ให้ประชาราษฎรสงบสุขอีกร้อยปี เขาไม่ต้องการให้ประชาชนต้องทนทุกข์ยามราชวงศ์เน่าเฟะ เขาจึงก่อตั้งสามนิกายขึ้นมา นิกายสุริยาคือแม่ทัพใหญ่ที่จะจับอาวุธลุกขึ้นสู้ นิกายจันทราคือกุนซือที่จะยุยงให้ผู้มีอำนาจเหล่านั้นเข่นฆ่ากันเองจนก่อสงคราม โค่นล้มราชสำนัก กระตุ้นให้เกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากราชวงศ์ใหม่รากฐานมั่นคง คนนิกายสุริยากับนิกายจันทราของพวกเราย่อมเหลือไม่กี่คน เมื่อสงครามอันโกลาหลเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนย่อมไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนั้น ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคมารของเราจะสืบทอดต่อได้เช่นไร บรรพจารย์ท่านฉลาดล้ำลึกดุจมหาสมุทร จึงก่อตั้งนิกายดาราขึ้นมาต่างหาก จุดประสงค์ของนิกายดาราก็คือเร้นกายอยู่ในโลก ดั่งเช่นดวงดาราพราวพร่างบนฟากฟ้า แม้เห็นเป็นธรรมดาแต่กลับมิรู้จัก
พวกเรานิกายดารารับผิดชอบภาระใหญ่หลวงในการสืบทอดพรรคมาร คอยปกป้องความลับของพรรคเรามาทุกยุคทุกสมัย รอจนกระทั่งแผ่นดินโกลาหล พวกเราจึงคัดเลือกเด็กหนุ่มที่ฐานะต่ำต้อยแต่หัวใจมีปณิธานยิ่งใหญ่เหล่านั้นมาถ่ายทอดวรยุทธ์ของนิกายสุริยากับกลศึกตำราพิชัยสงครามของนิกายจันทราให้แก่พวกเขา ดังนั้นที่พรรคมารมักถูกฝ่ายอธรรมกับธรรมะรวมถึงราชสำนักรุมเล่นงานอยู่เสมอ แต่กลับฟื้นกลับมาจากเถ้าถ่านได้ร่ำไป ก็เป็นเพราะคุณงามความดีของพวกเรา สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ แม้แต่ท่านบรรพจารย์ก็คิดหาวิธีการที่ดีกว่าในการทำให้ชาวบ้านอยู่อย่างสงบสุขไม่พบ จึงได้แต่ใช้สงครามขจัดสิ่งโสมมในโลก สร้างความสงบสุขขึ้นใหม่”
ดวงตาของเซี่ยจินอี้ฉายแววสงสัย ถามขึ้นว่า “อาจารย์ หากเป็นเช่นนั้น นิกายดาราไยมิใช่นั่งบนภูชมเสือกัดกันเล่า จุดชนวนให้ใต้หล้าปั่นป่วน ตนเองกันตัวเองออกมา นั่นไยมิใช่ทำเกินไปแล้ว”
นักพรตเมิ่งยิ้มขมขื่นตอบว่า “เด็กโง่ เจ้าคิดว่าผู้สืบทอดของนิกายดาราหาง่ายมากนักหรือ นิกายดาราสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ประมุขทุกคนหลังจากได้รับสืบทอดมรดกจากประมุขรุ่นก่อนแล้วต้องออกตามหาศิษย์ที่จะรับสืบทอดมรดกต่อ ส่วนประมุขรุ่นก่อนต้องกลับไปที่ซ่อนลับซึ่งนิกายดาราของเราเฝ้าพิทักษ์ เพื่อทุ่มเทฝึกฝนเคล็ดวิชาลับของนิกายดาราที่มีชื่อว่า ‘ลมปราณเก้ามรณะ’ หากฝึกเคล็ดวิชาชนิดนี้แล้ว ชีพจรหัวใจจะแข็งแกร่งถึงที่สุด หากไม่ตัดศีรษะออกมาก็จะไม่สิ้นชีวิตเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดวิชานี้ยังทำให้พวกเรามีอายุขัยมากกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบปี แต่จวบจนบัดนี้ นิกายดาราที่สืบทอดต่อกันมาสิบเจ็ดรุ่นกลับเกือบขาดตอนไปถึงสองครั้ง”
เซี่ยจินอี้ครุ่นคิดแล้วถามขึ้นว่า “หรือว่าผู้สืบทอดนิกายดาราต้องมีเงื่อนไขพิเศษประการใดจึงหายากนัก”