ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 24 ประมุขนิกายเร้นดารา (2)
นักพรตเมิ่งยิ้มขมขื่นตอบว่า “เงื่อนไขของผู้สืบทอดนิกายดารา ประการแรกคือต้องไร้ญาติขาดมิตร ญาติสนิททั้งหก[1]ต้องขาดสิ้น จุดนี้ยังพอทำเนา ไม่ได้หายากนัก แต่เงื่อนไขประการที่สองคือทั้งชีวิตต้องไม่แต่งงานไร้ทายาท จุดนี้เริ่มยากอยู่บ้างแล้ว เงื่อนไขข้อที่สามคือต้องผ่านร้อนผ่านหนาว มองชีวิตและความตายทะลุปรุโปร่งก่อนอายุสามสิบ เงื่อนไขข้อที่สามนี้ ทำให้คนที่เลือกได้เหลือน้อยนิดไม่กี่คน แล้วนิกายดาราของพวกเรายังตั้งเงื่อนไขว่าผู้สืบทอดต้องมีพรสวรรค์ระดับกลางๆ ขึ้นไปจึงจะได้”
เซี่ยจินอี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “เงื่อนไขเหล่านี้ ศิษย์พอจะเข้าเงื่อนไขอย่างหวุดหวิดก็จริง แต่ศิษย์เชื่อว่า หากมีเพียงเงื่อนไขเหล่านี้ เช่นนั้นย่อมไม่มิสิ่งใดยากลำบาก”
นักพรตเมิ่งมองเขาอย่างแฝงความนัยแล้วตอบว่า “นี่ก็เพราะกฎของนิกายดาราบัญญัติไว้ ศิษย์ของพรรคเรา มิอาจเสพสุขกับลาภยศสรรเสริญ ต้องระหกระเหินเร่ร่อนทั่วทุกสารทิศเพื่อเพิ่มพูนความรอบรู้ ทั้งชีวิตต้องร่อนเร่ไร้บ้าน แล้วยังมิอาจเผยวรยุทธ์ แม้พบอันตรายถึงชีวิตก็ต้องหลีกเร้นมิอาจโต้กลับ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เป็นประมุขนิกายดารา แต่ทั้งชีวิตก็ไร้ชื่อเสียง ชีวิตที่ถูกพันธนาการเช่นนี้ ผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศไหนเลยจะทนได้ ดังนั้นกฎของพรรคเราจึงบัญญัติว่าหากผ่านการทดสอบก่อนอายุสามสิบปีจะได้กลายเป็นศิษย์ในนาม นับจากนั้นจนถึงก่อนอายุหกสิบปีท่องเที่ยวได้อิสระ แต่มิอาจฝึกฝนวรยุทธ์ชั้นสูงได้ ถึงอย่างไรลมปราณเก้ามรณะก็รักษาชีวิตได้อยู่แล้ว หากโชคร้ายตายไปย่อมพิสูจน์ได้ว่าคนผู้นี้ไม่มีนิสัยอดกลั้น ไม่คู่ควรเป็นผู้สืบทอดนิกายดารา หลังจากอายุหกสิบปี พวกเราจึงจะยอมรับว่าพิสูจน์เนื้อแท้ของคนผู้นี้ได้แล้ว และยอมรับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ”
เซี่ยจินอี้ขบคิดก่อนจะเอ่ยว่า “หากกล่าวเช่นนี้ ศิษย์ก็มิใช่ตัวเลือกเพียงคนเดียวหรือ”
นักพรตเมิ่งเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้าเจ้าข้าเคยเลือกอยู่สองคน แต่ตอนนี้เจ้าดูมีความหวังมากที่สุด ยามนี้เจ้าแสร้งตายปกปิดตัวตน ทั้งยังเผชิญเหตุการณ์เศร้าสลด มองทะลุความทุกข์จากอารมรณ์ ยามนี้เจ้าผ่าน ‘ด่านเจ็ดอารมณ์’ ด่านที่สามของลมปราณเก้ามรณะแล้ว หากหลังจากนี้สามสิบปีเจ้ารักษากฎของนิกายดาราได้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็เชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้สืบทอดของข้า”
นับตั้งแต่ผ่านด่านเจ็ดอารมณ์ เซี่ยจินอี้ก็รู้สึกว่าความคิดเฉียบไว ห้วงอารมณ์ในจิตใจค่อยๆ จืดจาง เขาไม่ปลอบอาจารย์แต่ย้อนถามว่า “หากพวกเราทั้งหลายล้วนบรรลุเงื่อนไข ถ้าเช่นนั้นอาจารย์จะเลือกเช่นไร”
นักพรตเมิ่งเอ่ยอย่างหยิ่งทะนง “พวกเราพรรคมารถือผู้แข็งแกร่งเป็นผู้นำ หากทุกคนล้วนผ่านการทดสอบ ถ้าเช่นนั้นย่อมต้องดูว่าหลังจากพวกเจ้าเข่นฆ่ากันเองแล้ว ผู้ใดเป็นคนรอดชีวิต”
เซี่ยจินอี้ยิ้มละไมแล้วถามอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าได้คุณสมบัติเบื้องต้นมาแล้ว อาจารย์ก็น่าจะสั่งสอนลูกไม้เล็กน้อยให้ข้าบ้าง เพื่อที่ข้าจะได้รักษาชีวิตให้ดี”
นักพรตเมิ่งไม่คิดว่านี่ขัดกฎเกณฑ์ เขาล้วงสมุดน้อยเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ บนนั้นเขียนตัวหนังสือบรรจงเล็กจิ๋วเอาไว้จำนวนหนึ่ง นักพรตเมิ่งกล่าวว่า “ของเหล่านี้ล้วนเป็นกลเม็ดเล็กน้อย เจ้าเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จนแตกฉานก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เจ้าจงรู้ไว้ หากเจ้าทนความเปล่าเปลี่ยวไม่ได้แล้วอาศัยสิ่งเหล่านี้สร้างชื่อในใต้หล้า ถึงเวลานั้นเจ้าจะสูญเสียคุณสมบัติในการสืบทอดตำแหน่งประมุขนิกาย แต่ตามกฎของนิกาย หากเจ้ายินยอมสละโอกาสเป็นประมุขนิกาย ถ้าเช่นนั้นนิกายดาราจะไม่เรียกคืนวรยุทธ์ของเจ้า ขอเพียงเจ้าไม่เอ่ยถึงนิกายดาราตลอดชีวิตก็ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขได้”
เซี่ยจินอี้ยิ้มหยัน เอ่ยขึ้นว่า “ท่านจะเชื่อถือพวกเราที่เป็นผู้เข้าคัดเลือกเหล่านี้จริงหรือ คงจะมีวิธีควบคุมอย่างอื่น”
นักพรตเมิ่งดวงตาทอประกาย เผยแววตาขบขันเจือจางก่อนจะล้วงยาลูกกลอนสีแดงเม็ดหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ แล้วเอ่ยว่า “นี่คือกู่[2]สัจจะที่บรรพจารย์พรรคมารของเราพัฒนามาจากพิษกู่ของดินแดนเผ่าเหมียว ขอเพียงเจ้ากินยานี่ลงไป หลังจากนั้นสาบานว่าหากมิได้เป็นประมุขนิกายดาราตลอดชีวิตจะไม่เอ่ยถึงนิกายดารา แล้วให้ข้าใช้วิชาอีกหน่อย เท่านั้นก็เรียบร้อย”
เซี่ยจินอี้รับยาลูกกลอนกู่มาแล้วเอ่ยอย่างชืดชา “ยานี่หากอาจารย์ออกคำสั่ง ข้าก็จะพิษกำเริบตายหรือ”
นักพรตเมิ่งส่ายศีรษะเอ่ยว่า “มิใช่เช่นนั้น ขอเพียงเจ้าไม่เอ่ยถึงนิกายดารา ความเป็นความตายของเจ้าอาจารย์ย่อมมิอาจกำหนดได้ ยิ่งไปกว่านั้น กู่สัจจะยังมีข้อดีอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือทำให้มนุษย์แก่ชราช้าลงและไม่ถูกทำร้ายจากพิษกู่ชนิดอื่น ปีนี้อาจารย์อายุแปดสิบสามปีแล้ว ยามที่ต้องอธิบายเกี่ยวกับนิกายเราให้พวกเจ้ารู้เท่านั้นจึงจะคลายกู่ที่ว่านี้”
เซี่ยจินอี้เชื่อว่าสิ่งที่อาจารย์ผู้มีพระคุณเอ่ยมิมีคำลวง สีหน้าจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขาถือยาลูกกลอนกู่ขึ้นมาแล้วถามอีกว่า “ท่านอาจารย์ เรื่องที่เกิดขึ้นกับศิษย์ ท่านรู้กระจ่างหมดสิ้นใช่หรือไม่”
นักพรตเมิ่งถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์รู้แปดเก้าในสิบส่วน ยามนั้นอาจารย์พำนักอยู่ที่เขาคงต้ง แม้เห็นว่าเจ้าซื่อสัตย์ภักดี แต่ดูดวงชะตาจากใบหน้าแล้วทั้งชีวิตจะมีแต่ความทุกข์โศก ดังนั้นข้าจึงคอยสังเกตเจ้า เมื่อเจ้ากลับคงต้งมาแจ้งเรื่องที่บ้านกับสำนัก ข้าก็สืบเรื่องราวแทนเจ้า ก่อนหน้าสำนักเฟิงอี้ส่งคนมาสังหารเจ้าปิดปาก ข้าก็คิดหาวิธีทำให้เจ้าสำนักคงต้งรู้เรื่องนี้ เขาจึงขับไล่เจ้าออกจากสำนักเพราะไม่กล้าล่วงเกินสำนักเฟิงอี้
หลังเจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ ข้าไม่สอนวรยุทธ์อื่นให้เจ้า แต่ทำให้เจ้ากลายเป็นคนเสเพลเยี่ยงวันนี้ ประการแรกเพื่อให้สำนักเฟิงอี้วางใจเรื่องเจ้า ประการที่สองเพราะหากเจ้าต้องการเป็นประมุขนิกายเรา มิเคยใช้ชีวิตอิสระตามใจ หาความสุขให้ตนเอง จะทนผ่านวันเวลาอันยาวนานนั่นได้เช่นไร ต่อมาหลังเจ้าลงจากเขา แม้ข้าไม่ได้คอยตามเจ้า แต่ข้าใช้เงินจ้างหัวขโมยคนหนึ่งไว้ล่วงหน้าให้เขาสะกดรอยเจ้าอยู่หลายปี ดังนั้นครานี้พอเจ้าเกิดเรื่องที่ฉางอัน ข้าจึงรีบร้อนเดินทางมา น่าเสียดายก็แต่ซิ่วชุน เดิมข้าคิดว่าในเมื่อเจ้ามีห่วงแล้ว ข้าก็ไม่คาดหวังกับเจ้าอีก ขอเพียงเจ้าพาแม่นางน้อยผู้นั้นกับบุตรที่ยังไม่ลืมตาดูโลกของเจ้าจากไปอย่างปลอดภัย ข้าก็ไม่มีวาสนากับเจ้าอีก แต่ผู้ใดจะรู้ว่า แม่นางน้อยผู้นี้กลับถูกคนฆ่าตาย”
สีหน้าเซี่ยจินอี้เปลี่ยนไปทันทีแล้วเอ่ยเสียงเข้ม “อาจารย์ ท่านพูดอันใด ใต้เท้าเจียงบอกว่าซิ่วชุนผูกคอตายมิใช่หรือ”
นักพรตเมิ่งมองเขาอย่างเวทนาแล้วเอ่ยว่า “ข้าไปถึงจวนรัชทายาทสายไปเพียงเล็กน้อย ศพของแม่นางซิ่วชุนยังอุ่นอยู่ นางถูกคนจี้จุดตาย แม้ปกปิดไว้ แต่มิอาจปิดบังสายตาข้าได้”
เซี่ยจินอี้เอ่ยเสียงพร่า “ผู้ใด ผู้ใดสังหารซิ่วชุน นางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอคนหนึ่ง ทั้งไม่อันตราย ทั้งไม่มีผลประโยชน์ ผู้ใดจะสังหารนาง”
นักพรตเมิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไปถึงช้าจึงมิเห็นคนร้าย แต่เจ้าเดาไม่ได้หรือ”
เซี่ยจินอี้พลันรู้สึกประหนึ่งหัวใจถูกดาบเฉือน หันหน้าหนีไม่พูดจาอีก นักพรตเมิ่งถอนหายใจเอ่ยว่า “หากข้ามิบอกเรื่องนี้กับเจ้า เป็นไปได้มากอย่างยิ่งว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้สืบทอดของข้า แต่ข้ามิต้องการให้เจ้านึกเสียใจไปชั่วชีวิต เด็กน้อย หลังจากนี้เจ้าจงดูแลตนเองให้ดี”
เซี่ยจินอี้มองแสงแรกด้านนอกหน้าต่างแล้วรู้สึกว่าอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา เขาเอ่ยเสียงเฉยชา “อาจารย์ ข้าทำได้ถึงขั้นใดจึงจะนับว่ายังมีคุณสมบัติชิงตำแหน่งประมุข”
นักพรตเมิ่งมองเขาอย่างมีความนัย แล้วเอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่ายามที่เจ้าเสียคุณสมบัติไปเจ้าจะเข้าใจเอง คนตัวเล็กคนหนึ่งหยิบยืมแสงรัศมีของผู้อื่นได้ แต่ยามใดที่คนมากมายมองเห็นแสงรัศมีของตัวเจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องไปแล้ว สามสิบปีหลังจากนี้ในวัดที่พวกเราศิษย์อาจารย์เคยอาศัย ข้าหวังว่าเจ้าจะไปตามนัดได้ตรงเวลา ตอนนี้เจ้าควรกินยาได้แล้ว”
เซี่ยจินอี้มองยาลูกกลอนกู่แล้วพึมพำ “ยลสมุทรสายนทีมิอาจเทียบ ตัดอูซานเมฆาใดมิเสมอเทียม นอกจากความแค้น บนโลกใบนี้ยังมีสิ่งใดที่ข้าปล่อยวางมิลงอีกเล่า” กล่าวจบเขาก็กลืนยาลูกกลอนกู่ลงไป มิรู้ว่าเพียงรู้สึกไปเองหรือเป็นความจริง เขารู้สึกว่าทันทีที่ยาลูกกลอนสัมผัสปากก็ไหลลงท้องไปเอง
นักพรตเมิ่งมองเขาอย่างพอใจ แล้วเอ่ยว่า “หวังว่าพวกเราศิษย์อาจารย์จะมีวาสนาได้พบกันอีก คนในเรือนหลังนี้ข้าสกัดจุดของพวกเขาเอาไว้ ตอนนี้พวกเขาคงใกล้ตื่นแล้ว อาจารย์ต้องไปแล้ว”
เงาสีเหลืองขยับวูบหนึ่ง นักพรตเมิ่งก็หายตัวไป ใบหน้าหล่อเหลาของเซี่ยจินอี้เผยรอยยิ้ม นั่นเป็นรอยยิ้มละไมที่ชวนให้คนที่เห็นรู้สึกขมขื่น
ผ่านไปไม่นาน ชื่อจี้ที่สีหน้าไม่สบายใจนักก็ปรากฏตัวขึ้น เมื่อคืนวานเขาถูกสกัดจุด ฝีมือของนักพรตเมิ่งสูงส่ง เขาไม่เพียงไม่รู้ตัวสักนิด แต่ยังนอนหลับสบายยิ่งนักอีกด้วย กระนั้นเขาก็เป็นคนของค่ายลับจึงรู้สึกว่าไม่สมควรหลับลึกเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อตื่นมาจึงมาตรวจดูสภาพของเซี่ยจินอี้ทันที เมื่อเข้ามาดูก็รู้สึกว่าสีผิวของเซี่ยจินอี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เห็นเซี่ยจินอี้สีหน้าเหม่อลอยคล้ายกำลังเจ็บปวดอย่างยิ่ง จึงไม่สะดวกถามมาก เพียงถามหยั่งเชิงว่า “คุณชายเซี่ยเมื่อคืนวานไม่ได้พักผ่อนหรือ”
เซี่ยจินอี้ยิ้มจางๆ ตอบว่า “คนรักตายจาก จินอี้หลับมิลง”
สีหน้าเข้าอกเข้าใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชื่อจี้ “คุณชายเซี่ยโปรดทำใจเถิด สูญเสียผู้ที่รัก แม้เจ็บปวดทรมาน แต่หากแม่นางซิ่วชุนในปรโลกรับรู้ ก็คงหวังให้คุณชายเซี่ยใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
เซี่ยจินอี้ชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “อะไรกัน น้องชาย เจ้าอายุยังน้อยก็รู้จักความทุกข์ของการสูญเสียคนรักแล้วหรือ”
ชื่อจี้ถอนหายใจแผ่วเบาตอบว่า “คุณชายของข้ามีบทกวีบทหนึ่งไม่เคยเผยแพร่สู่ภายนอก หากคุณชายเซี่ยสนใจ ข้าจะขับบทกวีให้ท่านฟัง”
เซี่ยจินอี้ตอบอย่างสนอกสนใจ “บทกวีใดเล่า ข้าบรรเลงดนตรีให้เจ้า”
แววตาชื่อจี้เผยแววตาเศร้าโศกวูบหนึ่ง “บทกวีชมอุทยานวสันต์” เซี่ยจินอี้หยิบขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นมา ตั้งสมาธิแล้วเริ่มเป่า ชื่อจี้ขับบทกวีเสียงเบาคลอกับเสียงดนตรี
“ผันผ่านเพียงลมหายใจ ชีวาไซร้เป็นเช่นนั้น หวนคะนึงวันวาน คืนคลื่นครามจันทร์สลัว แขนเสื้อเจ้าร่อนระบำ ริมรั้วกล้วยไม้ลับตา ใต้ธารดาราเฝ้าเคลียคลอ ห้วงเวลาแสนงามมิรั้งรอ บุปผาโรยรามิย้อนคืน ดึกดื่นเหลือเพียงเสียงโหยไห้ หม่นไหม้เหมือนชั่วกาล ใจพร่ำคิดถึงนับร้อยครา ภาพน้องยาเรือนร่างอรชร
คืนค่ำนอนริมรั้วฟังเสียงฝน นึกกังวลยามรุ่งคงผมขาว ท้องนภากว้างเวิ้งว้าง แม้นร้างราสิ้นวาสนา เพียงเงาผีเสื้อไหว หทัยยังเศร้ามิสร่างซา เฝ้าคะนึงเจ้าแก้วตา จนดวงหน้าซีดเซียว อดีตหอมหวานย้อนซ้ำในห้วงฝัน จนปัญญามิอาจคว้า ขลุ่ยใบไม้บรรเลงเสียงใส ขับขานความตรอมตรมเป็นบทเพลง”
เซี่ยจินอี้ฟังพลางบรรเลงดนตรี แต่เมื่อถึงท่อนท้าย เสียงดนตรีก็เริ่มขาดห้วง ทว่ากลับทำให้ทำนองโศกสลดกว่าเดิม เมื่อบทเพลงสิ้นสุด เซี่ยจินอี้ก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดใจที่เดิมทีคล้ายจะหายไปแล้วนั้นผุดพรายออกมาอีกหน ในที่สุดน้ำตาจึงไหลร่วงดุจสายฝน
[1]หมายถึงพ่อ แม่ พี่ น้อง ภรรยาและบุตร
[2]กู่ หมายถึงพิษชนิดหนึ่งที่ทำจากแมลงพิษ หรือหมายถึงสิ่งมีชีวิตลึกลับที่สร้างขึ้นมาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ ปกติเป็นแมลงหรือสัตว์ โดยสร้างจากการจับแมลงพิษหรือสัตว์พิษหลายตัวมาขังไว้ในภาชนะเดียวกันแล้วให้กัดกินกันเองจนเหลือตัวสุดท้าย บางครั้งกู่ก็มีกันเป็นคู่