ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 26 คืนนองเลือดในฉางอัน (2)
เจิ้งเสียถูกลอบสังหารตอนต้นยามสอง หลังจากเก็บงานพิธีบวงสรวงเสร็จ เจิ้งเสียกำลังเดินทางกลับจวนตอนกลางคืน แม้เขาเป็นขุนนางบุ๋น แต่ต้ายงเชิดชูวิทยายุทธ์ เขาจึงไม่ชอบนั่งเกี้ยวเช่นกัน เขาขี่ม้าเดินทางเชื่องช้า ผู้ติดตามสองฝั่งขนาบซ้ายขวาพลางใช้ดวงตากวาดมองรอบด้านเป็นระยะ ตลอดมาเจิ้งเสียมีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้าเพราะความเที่ยงตรงเป็นธรรม วาจาตรงไปตรงมากล้าให้คำแนะนำ ด้วยเหตุนี้แม้ประพฤติตนสุจริต นิสัยเปิดเผยชัดเจน ก็ยังคงสร้างคู่แค้นไว้ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ข้างกายจึงมีองครักษ์ที่วรยุทธ์โดดเด่นอยู่หลายนาย บางคนเจิ้งเสียเคยมีบุญคุณใหญ่หลวง ด้วยความสำนึกบุญคุณจึงคิดตอบแทน บางคนนับถือคุณธรรมของเจิ้งเสียจึงเข้ามาอยู่ใต้บัญชาด้วยความจริงใจ แล้วยังมีส่วนหนึ่งเป็นองครักษ์ที่จักรพรรดิต้ายงส่งมาให้เขา
แม้หลี่หยวนจะเลอะเลือนในบางเรื่อง แต่มิใช่จักรพรรดิเบาปัญญาที่มิชอบคำแนะนำ เขานับถือเจิ้งเสียยิ่งนัก ดังนั้นหลังจากเจิ้งเสียเคยถูกลอบสังหารครั้งหนึ่ง หลี่หยวนจึงส่งราชองครักษ์ส่วนพระองค์สี่นายมาเป็นองครักษ์ของเจิ้งเสีย ต่อมายังมอบตำแหน่งองครักษ์ส่วนพระองค์ขั้นสามในนามให้แก่ผู้คุ้มกันสี่คนของเจิ้งเสียที่เป็นคนจากในยุทธภพอีกด้วย ความโปรดปรานที่หลี่หยวนมอบให้เจิ้งเสียเหนือกว่าร้อยขุนนาง เจิ้งเสียเองก็ยิ่งจงรักภักดีต่อหลี่หยวนเพราะเหตุนี้
ขณะที่เจิ้งซื่อจงเอ่ยทักทายองครักษ์ผู้เฝ้าประตูและเพิ่งก้าวออกจากประตูจูเชว่ได้ไม่นาน ก็มีเงาดำร่างหนึ่งปีนขึ้นมาบนหลังคาบ้านข้างทาง เวลานี้องครักษ์ของเจิ้งเสียผ่อนความระวังลงเล็กน้อยเนื่องจากที่แห่งนี้มีทหารราชองครักษ์อยู่มากมาย ผู้ใดจะรู้ว่าในช่วงเวลานี้เอง เงาดำร่างนั้นจู่ๆ กลับพุ่งเร็วจี๋ออกมา แทงหนึ่งกระบี่เข้าใส่เจิ้งเสีย หนึ่งกระบี่นี้เร็วดุจดาวตก เดิมทีเจิ้งเสียคงไม่มีโอกาสรอดเป็นแน่แท้ ทว่าจะกล่าวไปแล้วก็โชคดี ขณะที่เงาดำร่างนี้ทะยานเข้ามาแทง บังเอิญเจิ้งเสียนึกได้พอดีว่าแม้พิธีการรับเสด็จจักรพรรดิกลับเมืองหลวงจะเตรียมการเรียบร้อยแล้ว แต่ตามมารยาทก็สมควรไปถามความเห็นของยงอ๋องสักหน่อย ถึงอย่างไรองค์จักรพรรดิก็สั่งให้ยงอ๋องเป็นตัวแทนในพิธีบวงสรวง ย่อมเท่ากับว่าให้ยงอ๋องเป็นผู้บัญชาการ แม้ช่วงนี้ยงอ๋องคล้ายถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักบำเพ็ญตน แต่มารยาทจะละเลยมิได้ เจิ้งเสียเดิมทีเป็นผู้ให้ความสำคัญกับมารยาทเหล่านี้เป็นที่สุดอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงก้มตัวลงจากอาชากระซิบสั่งองครักษ์ผู้หนึ่งให้คืนนี้เขาเดินทางไปส่งสารฉบับหนึ่งที่จวนยงอ๋อง แจ้งสาเหตุที่คืนนี้มิอาจไปคารวะได้ พริบตาที่เขาโน้มกายลงมานั่นเอง มือสังหารผู้นั้นก็ทะยานร่างเข้ามาแทง สองเหตุการณ์บังเอิญประจวบเหมาะ เจิ้งเสียพลันรู้สึกเจ็บแปลบ หนึ่งกระบี่นั้นแทงทะลุหัวไหล่กับแผ่นหลังของเขา
เมื่อมือสังหารทะยานร่างออกห่าง แสงจันทร์สว่างก็เผยร่างของเขาชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้องครักษ์เหล่านั้นมิอาจขวางหนึ่งกระบี่นี้ได้ แต้กู้สถานการณ์ทีหลังได้ไม่เลว องครักษ์ที่เจิ้งเสียโน้มตัวลงไปพูดด้วยผู้นั้นคว้าเจิ้งเสียลงจากอาชาในบัดดล องครักษ์อีกหลายนายที่เหลือล้วนชักดาบกระบี่ล้อมเข้าไปหามือสังหารผู้นั้น ทว่ามือสังหารผู้นั้นมิธรรมดา เขารู้หลักการที่ว่าลงมือครั้งแรกไม่สำเร็จจงแผ่นหนีให้ไกลเป็นอย่างดี ก่อนที่องครักษ์เหล่านี้จะปิดล้อมไว้ได้ เขาก็ฝ่าวงล้อมออกมาแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เจิ้งเสียอดกลั้นต่อความเจ็บปวดแสนสาหัส “รีบส่งคนไปแจ้งยงอ๋อง อัครมหาเสนาบดีเหวยกับแม่ทัพกองราชองครักษ์ฉินชิง” กล่าวจบก็หมดสติไป องครักษ์เหล่านี้รีบส่งเจิ้งเสียไปยังสำนักหมอหลวงที่อยู่ไม่ไกลเพื่อรักษา ข่าวเจิ้งเสียถูกลอบสังหารแพร่ไปถึงหูผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายในฉางอันในทันที
ระหว่างที่ขุมอำนาจแต่ละฝั่งกำลังนึกสงสัย เดือนหกวันที่สิบห้า เหตุการณ์ใหญ่ที่ทำให้นครฉางอันโกลาหลก็บังเกิด
ตลาดที่เฟื่องฟูที่สุดในนครฉางอันได้แก่ตลาดตูฮุ่ย (ตลาดตะวันออก) กับตลาดลี่เหริน (ตลาดตะวันตก) ตรอกผิงคังที่อยู่ข้างตลาดตะวันออกคือสถานที่ซึ่งยามค่ำคืนมิหลับใหล ตามปกติแล้วตลาดทั้งสองจะห้ามผู้คนเพ่นพ่านยามวิกาลช้ากว่าสถานที่อื่นสองชั่วยาม ส่วนตรอกผิงคังยิ่งเป็นสถานที่ซึ่งไม่มีข้อห้ามยามวิกาล ดังนั้นช่วงยามสาม ที่แห่งนี้จึงมีแสงโคมส่องสว่าง ครึกครื้นจนไม่เหมือนกลางคืน เมื่อถึงเที่ยงคืนเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นสี่ทิศ ร้านรวงต่างๆ ในตลาดตะวันออกช่วยกันดับไฟ ระหว่างที่โกลาหลกลับมีคนผู้หนึ่งตะโกนลั่นว่า “ชาวสู่สาบานแม้นตายมิยอมจำนนต่อต้ายง” แล้วเข่นฆ่าผู้คนปลิ้นชิงสิ่งของ ตลาดตะวันออกไม่มีประตูกั้นหัวถนน ดังนั้นชาวบ้านในตลาดจึงแตกฮือหนีไปข้างนอก ชั่วพริบตาสับสนอลหม่าน ในขณะเดียวกัน ประตูชุนหมิงที่ใกล้ตลาดตะวันออกที่สุดก็เริ่มเกิดเพลิงไหม้ มีคนป่าวร้องภายในเมืองว่าจะเข่นฆ่าให้นครฉางอันเลือดนองเป็นสายน้ำ นับตั้งแต่ต้ายงก่อตั้งอาณาจักร นครฉางอันสงบสุขมาเสมอ ชั่วขณะนั้นขุนนางผู้ควบคุมตลาดตะวันออกจึงสับสนทำอันใดมิถูก ได้แต่ส่งคนไปแจ้งฉินชิงอย่างจนปัญญา
หากฉินชิงไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะเรื่องการลอบสังหารเจิ้งเสียอยู่ก่อนแล้ว เกรงว่าคงจะเสียเวลายิ่งกว่านี้ แต่เขาพาฉินหย่งออกจากจวนมานานแล้ว เมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกไหม้ที่ตลาดตะวันออก ฉินชิงกับฉินหย่งที่ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ทัพในศึกสงครามจึงออกคำสั่งเคลื่อนกำลังทั้งหมดของกองทหารราชองครักษ์ทันที ฉินชิงส่งทหาราชองครักษ์แยกย้ายไปคุ้มกันที่ทำการและจวนสำคัญในฉางอัน หลังจากนั้นจึงสั่งปิดประตูเมืองแน่นหนา แล้วนำกองทหาราชองครักษ์กองหนึ่งมาปิดล้อมตลาดตะวันออกด้วยตนเอง ทุกสิ่งนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งค่อนชั่วยาม
ส่วนฉินหย่งรับผิดชอบตรวจค้นตามถนนตรอกซอกซอย กองทหารราชองครักษ์ถ่ายทอดคำสั่งเสียงดังไปทั่ว ประกาศว่านครฉางอันอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ดังนั้นชาวบ้านทุกคนต้องอยู่ในบ้านห้ามออกมาข้างนอก หากมีผู้ขัดขืนคำสั่งสังหารไม่มีละเว้น แม้วิธีการเช่นนี้จะได้ผล แต่เมื่อฉินชิงกับฉินหย่งมารวมตัวกันที่ตลาดตะวันออก ทั่วทั้งฉางอันกลับมีเพียงที่แห่งนี้ที่ยังไม่สงบ เพราะด้านในและด้านนอกตลาดมีพ่อค้าและชาวยุทธ์มากมายยิ่งนัก แม้เพลิงด้านในจะสงบแล้ว แต่ผู้คนกลับเริ่มเข่นฆ่ากันเอง แม้ฉินชิงกับฉินหย่งอยากส่งทหารราชองครักษ์เข้าปราบปราม แต่ที่นี่คือแหล่งความเจริญรุ่งเรืองของฉางอัน หากกองทหารราชองครักษ์เข้าปราบปราม ที่แห่งนี้ก็คงพินาศลงด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ชั่วขณะนั้นทั้งสองคนตัดสินใจไม่ถูก ยามนี้ผู้ที่รับผิดชอบตัดสินใจได้เหลือเพียงยงอ๋องกับอัครมหาเสนาบดีเหวยกวน เหวยกวนเป็นขุนนางบุ๋น ทั้งสองจึงได้แต่ส่งคนไปขอคำชี้แนะจากยงอ๋อง
ก่อนหน้าเกิดเพลิงไหม้ ยงอ๋องหลี่จื้อกำลังหารือกับข้าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงหลายวันนี้ หลี่จื้อสีหน้าเปรมปรีดิ์เอ่ยว่า “สุยอวิ๋น ยามนี้กล่าวได้ว่าข้าครองหัวใจของทหารและประชาชนต้ายงแล้ว ท่านคิดเช่นไร”
ข้าเอ่ยอย่างนอบน้อม “ครั้งนี้องค์ชายเป็นตัวแทนประกอบพิธีบวงสรวงที่ฉางอัน ทำให้ใต้หล้าได้เห็นบารมีขององค์ชาย แม้องค์จักรพรรดิยังมีใจคิดปกป้องรัชทายาท แต่ยามนี้ผู้ใดมิรู้ว่ารัชาทายาทเสื่อมคุณธรรม ดังนั้นกระหม่อมวอนขอองค์ชาย ครั้งนี้อย่าเพิ่งรีบร้อนบีบคั้น ตรงกันข้าม องค์ชายต้องทูลถวายฎีกาปกป้องตามเจตนาของเจ้าสำนักเฟิงอี้ หากองค์ชายเล่นงานจุดอ่อนของรัชทายาทจริง เกรงว่าคนทั้งใต้หล้าคงคิดว่าองค์ชายมิเห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้อง อีกทั้งองค์จักรพรรดิเองก็รีบร้อนปิดปากผู้เกี่ยวข้อง เห็นชัดว่าเพียงคิดจะให้บทเรียนรัชทายาทสักครั้งเท่านั้น หากองค์ชายบีบมากเกินไป กลับจะไม่มีทางลงให้จักรพรรดิ เกรงว่าจะทรงพานพิโรธองค์ชายเท่านั้น”
หลี่จื้อขมวดคิ้ว “ท่านกล่าวถูกต้อง แต่ท่านก็ทราบว่ายามนี้เจ้าสำนักเฟิงอี้ออกโรงเองแล้ว น่ากลัวว่าหลังจากวันนี้ไปรัชทายาทคงมิทำผิดพลาดอันใดอีก หากยื้อยาวนานหลายปี เกรงว่าข้าคงไร้โอกาสแล้ว”
ข้าหัวเราะ “องค์ชายโปรดวางใจ เวลานี้สำนักเฟิงอี้ทุ่มหมดหน้าตักแล้ว อำนาจของพวกนางยิ่งใหญ่อีกเท่าใดก็สู้หัวใจของปวงชนในใต้หล้ามิได้ รัชทายาทเองก็มิใช่หุ่นไม้ที่ปล่อยให้คนจับวางตามใจ สันดานของเขายากแก้ไข เรื่องอันใดล้วนทำได้ทั้งสิ้น แน่นอนว่าพวกเราก็มิอาจรอคอยอยู่เช่นนี้ กระหม่อมมีแผนการอยู่แล้ว แต่ติดอยู่ที่ฉีอ๋อง แม้ฉีอ๋องมีนิสัยหยาบกระด้าง เล่ห์เหลี่ยมน้อยไปบ้าง แต่บางเรื่องที่ผู้อื่นยังมิทันสังเกต ฉีอ๋องกลับอาศัยความเฉียบแหลมอันเป็นพรสวรรค์จับสังเกตได้ ดังนั้นงานเร่งด่วนขององค์ชายก็คือส่งฉีอ๋องออกไปจากฉางอัน”
หลี่จื้อครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่ยาก พักนี้ทางเป่ยฮั่นมีการเคลื่อนไหวผิดปกติเล็กน้อย ข้าเสนอให้ฉีอ๋องไปตรวจตราที่ชายแดนได้พอดี”
ข้ารีบเอ่ย “องค์ชายมิสู้เสนอตนเองออกตรวจตราชายแดน”
หลี่จื้อชะงักวูบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เข้าใจ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมายถึงแสร้งปล่อยเพื่อจับ”
ข้าปรบมือตอบว่า “เป็นเช่นนั้น หากองค์ชายกลับไปยังกองทัพย่อมเสมือนมังกรหวนคืนสมุทร คนเหล่านั้นจะยอมปล่อยองค์ชายไปได้เช่นไร ถึงเวลาผู้ที่มีคุณสมบัติประการนี้ นอกจากฉีอ๋องก็มิมีผู้อื่นแล้ว เมื่อฉีอ๋องไป องค์ชายย่อมเปิดศึกกับรัชทายาทได้อย่างวางใจ รอจนงานสำเร็จ ใช้บัญชากองทัพเพียงแผ่นเดียว ยังจะต้องกลัวฉีอ๋องไม่พาตัวเองกลับเมืองหลวงอย่างว่าง่ายอีกหรือ”
หลี่จื้อพยักหน้าตอบว่า “ดี พวกเรารอเสด็จพ่อกลับมาค่อยเอ่ยเรื่องนี้ รอน้องหกไปแล้ว ข้าก็คงวางใจได้ ตอนนี้แม่ทัพใหญ่ฝ่ายรัชทายาทมีเพียงน้องหกคนเดียว หากเขาจากไป ข้าก็นอนหลับได้ไร้กังวลแล้ว”
ข้าส่ายศีรษะเอ่ยว่า “นั่นก็ไม่แน่ ราชบุตรเขยจิ้งเจียงก็กุมอำนาจในราชวงศ์และชำนาญกลศึกเช่นกัน”
หลี่จื้ออมยิ้ม “สุยอวิ๋น เจ้าอย่ามาบอกข้าว่าเจ้าไม่ได้วางเล่ห์กลอันใดไว้ที่ตระกูลฉิน”
ข้ายิ้มละไมพลางนึกถึงหัวหลิวหัวกะทิของค่ายลับผู้เป็นอดีตองครักษ์ส่วนตัวของข้า ยามนี้มิใช่อยู่ข้างกายฉินหย่งพอดีหรือ
ระหว่างที่ข้ากับยงอ๋องกำลังหัวร่อสนทนากันอยู่นั่นเอง ก็มีองครักษ์เข้ามารายงานว่าเจิ้งเสียถูกลอบสังหาร ยงอ๋องกับข้ากำลังกลัดกลุ้ม ไม่นานองครักษ์ในจวนก็มารายงานว่าเห็นแสงเปลวเพลิง นี่เป็นเพลิงไหม้ครั้งที่สองของคืนนี้ ตำแหน่งเหมือนจะอยู่ที่ตลาดตะวันออก ข้ากับยงอ๋องมองหน้ากัน ข้าใช้สมองอย่างรวดเร็ว มีเรื่องมากมายเช่นนี้เกิดขึ้นพร้อมกันได้เช่นไร หากจะบอกว่าบังเอิญ ถ้าเช่นนั้นก็เกินไปแล้วกระมัง