ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 27 บารมีจักรพรรดิ (1)
ยามนั้น ภายในตลาดตะวันออกมีทั้งคนดีชั่วปะปน แม่ทัพฉินแจ้งข่าวไท่จง ไท่จงนำกำลังองครักษ์ร้อยนายเดินทางมาตลาดตะวันออกด้วยตนเอง ประกาศก้อง ณ ประตูตลาด “สายลับก่อการจลาจล ผู้ใดเป็นประชาชนของข้าจงนิ่งอย่าขยับ” เวลานั้นไท่จงทรงเกราะทองผ้าคลุมไหม ผู้ที่เห็นล้วนเลื่อมใส ความโกลาหลสงบลงในบัดดล
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง
ยงอ๋องส่งคนออกไปสืบข่าวไม่นานก็กลับมารายงาน หลี่จื้อฟังจบจงผ่อนลมหายใจแล้วเอ่ยว่า “ในอดีตครั้งข้ายังครองกรมกลาโหม เคยขบคิดว่าหากเกิดจลาจลขึ้นสมควรจัดการเช่นไร ด้วยเหตุนี้จึงเคยฝึกกองทหาราชองครักษ์ไว้ว่าควรจัดการเรื่องเช่นนี้อย่างไร ตอนนี้ดูท่า ฉินชิงสมกับเป็นบุตรตระกูลแม่ทัพ จัดการได้เหมาะสมยิ่งนัก ตอนนี้มีเพียงประตูเมืองด้านเดียวที่เกิดเพลิงไหม้ ความวุ่นวายก็กระจุกอยู่บริเวณตลาดตะวันออก ขอเพียงจัดการให้เหมาะสมก็คงไม่บานปลายเป็นความโกลาหลใหญ่โต”
ในใจข้ากำลังรู้สึกโชคดีที่หอสุราเจียงหนานชุนของจิงซุ่นชิงที่เป็นญาติผู้น้องอยู่ในตลาดลี่เหริน อีกใจหนึ่งก็กังวลว่าหลังจากนี้คงมีการตรวจค้นครั้งใหญ่แน่ ต้องรู้ว่าเซี่ยจินอี้ยังอยู่ที่ฉางอัน หลังจากได้ยินคำพูดของยงอ๋องก็อดถอนหายใจชื่นชมไม่ได้ “องค์ชายความคิดลึกซึ้งกว้างไกล ชำนาญงานด้านการทหาร กระหม่อมนับถือยิ่งนัก แต่เกิดความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตลาดตะวันออกครั้งนี้น่าสงสัยนัก กระหม่อมไม่เข้าใจอยู่บ้างจริงๆ”
หลี่จื้อมองข้าอย่างมีความนัยแล้วเอ่ยว่า “สุยอวิ๋น ถึงอย่างไรท่านก็เคยรบทัพจับศึกมาน้อย ข้ามองว่าต้ายงของเราประมาทไป หลายปีนี้การแย่งชิงบัลลังก์ดุเดือดขึ้นทุกทีจนลืมสิ้นว่าใต้หล้ายังไม่สงบ”
ข้าเข้าใจในทันใดจึงปรบมือเอ่ยว่า “จะต้องเป็นสายลับของเป่ยฮั่นแน่ หนานฉู่อ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้กำลังฟื้นฟูแว่นแคว้น แม้คนเหล่านั้นเรียกตนเองเป็นชาวแคว้นสู่ แต่ชาวแคว้นสู่ที่อยู่ใต้ปกครองของชิ่งอ๋องก็สงบเรียบร้อยดี กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็ล่มสลายไปแล้ว ดังนั้นจึงเหลือเพียงเป่ยฮั่นที่เป็นไปได้
เมื่อครู่องค์ชายบอกว่าชายแดนมีสัญญาณเตือน เกรงว่าคงเป็นเพราะเป่ยฮั่นตั้งใจจะรุกรานชายแดน ครั้งนี้จึงส่งคนมาก่อจลาจลในฉางอันก่อน เป็นการยิงทีเดียวได้นกสองตัว ทั้งเสี้ยมให้ประชาชนเคืองแค้น ลบล้างผลของการเสด็จไปเซ่นไหว้สุสานหวงตี้ขององค์จักรพรรดิ แล้วยังทำให้อำนาจแต่ละฝ่ายของต้ายงระแวงกันเอง เมื่อครู่กระหม่อมก็ยังสงสัยอยู่ว่าที่เจิ้งเสียถูกลอบสังหารเพราะรัชทายาทพานระบายโทสะหรือไม่ หากไม่ใช่ตำหนักบูรพาไฟไหม้แล้วเจิ้งเสียรายงานจักรพรรดิว่ารัชทายาทมิอยู่ที่ตำหนักบูรพา รัชทายาทก็คงมิถูกกักบริเวณ แต่ตอนนี้ดูท่าอาจเป็นการกระทำของเป่ยฮั่นได้เช่นกัน”
ยงอ๋องส่ายศีรษะตอบว่า “ชาวเป่ยฮั่นดุร้าย หากส่งคนมาปล้นชิงสังหารอาจพอเป็นไปได้ หรือมาลอบสังหารแม่ทัพใหญ่ก็ยังพอเข้าเค้า แต่ลอบสังหารขุนนางบุ๋นที่สุจริตเที่ยงธรรมคนหนึ่ง เรื่องเช่นนี้พวกเขามิน่าจะกระทำ”
ข้าเล่นพัดในมือแล้วขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “คืนนี้เกิดเรื่องใหญ่ถึงสามเรื่อง ฐานลับในฉางอันของชิ่งอ๋องถูกคนทำลาย เจิ้งซื่อจงถูกลอบสังหารหน้าประตูจูเชว่ ตอนนี้ตลาดตะวันออกก็เกิดจลาจลอีก การก่อความวุ่นวายที่ตลาดตะวันออกเป็นไปได้ว่าจะเป็นการกระทำของสายลับเป่ยฮั่น เฮ้อ ข้าประมาทพวกเขาไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ ดูท่าครั้งนี้คงเป็นลางบอกเหตุก่อนการยกทัพรุกรานของพวกเขา ชิ่งอ๋อง ชิ่งอ๋อง เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้ หากจะบอกว่าในฉางอันผู้ใดมีความแค้นกับชิ่งอ๋อง เกรงว่าสำนักเฟิงอี้คงน่าสงสัยที่สุด ทว่าเรื่องนี้ช่างเถิด ต่อให้คาดเดาผิดก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ผู้ใดลอบสังหารเจิ้งซื่อจงกันเล่า กล่าวตามจริง เจิ้งซื่อจงเป็นถึงขุนนางที่ภักดีต่อจักรพรรดิ ได้รับความเชื่อถือจากฝ่าบาทมาตลอด วันนี้เขาเข้ามายุ่งกับเรื่องในตำหนักบูรพาครั้งนี้ด้วยตนเอง ทั้งปกติเขายังเที่ยงธรรมไม่เข้าข้างผู้ใดเสมอ รัชทายาทน่าจะไม่พอใจเข้าแล้ว มีคนเช่นนี้อยู่ข้างกายฝ่าบาท มีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์ชาย หรือว่า หรือว่า…” ข้ามิพูดต่ออีก การคาดเดาต่อจากนั้นน่าสะพรึงเกินไป แม้แต่ข้าเองก็ไม่กล้าคิดมาก
ยงอ๋องก็คิดออกเช่นกันแต่ไม่กล่าวอันใด เพียงเอ่ยว่า “สุยอวิ๋น ครั้งก่อนเจ้าสำนักเฟิงอี้ใช้โหรวหลันมาหยั่งเชิง พวกเราปฏิเสธเด็ดขาด น่ากลัวว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราต้องระวังมือสังหารของสำนักเฟิงอี้ทั้งวันทั้งคืนแล้ว”
ข้าเอ่ยอย่างเย็นชา “องค์ชายมิต้องการถูกคนบงการ กระหม่อมก็มิเคยชอบถูกคนบีบ สำนักเฟิงอี้กับองค์ชายไม่เข้ากันดั่งน้ำกับไฟอยู่ก่อนแล้ว วันนี้ดูจากปฏิกิริยาของสำนักเส้าหลิน วันที่สำนักเฟิงอี้จะถูกทุกคนหันหลังให้คงอีกไม่ไกล หากองค์ชายสงบศึกกับสำนักเฟิงอี้ กลับจะเสียหัวใจของประชาชนกับโอกาสที่หามาอย่างยากลำบาก”
ยงอ๋องยิ้มอย่างหยิ่งทะนง “แม้ข้ารู้ว่าสำนักเฟิงอี้ทำให้ข้าขึ้นครองบัลลังก์ได้ง่ายดายดุจยกฝ่ามือ แต่เรื่องราวบนโลกใบนี้มิอาจแสวงหาทางลัด ข้าตั้งปณิธานว่าจะรวมใต้หล้าให้แผ่นดินสงบ ไฉนจะปล่อยให้ถูกคนคอยบงการ แม้เจ้าสำนักเฟิงอี้เจตนาดี แต่น่าเสียดายที่ข้ามิคิดรับคำสั่งสอน”
ข้าคำนับ “องค์ชายปณิธานยิ่งใหญ่ กระหม่อมเลื่อมใส หวังว่ากระหม่อมจะได้เห็นวันที่ใต้หล้าสงบสุข”
ยงอ๋องเอ่ยจริงจัง “สุยอวิ๋น ท่านช่วยเหลือข้ามามากมาย วันหน้าข้ายังต้องการปรึกษาเรื่องบ้านเมืองกับท่าน ท่านจะต้องได้เห็นวันที่สี่คาบสมุทรสงบสุขกับตาตนเองแน่นอน”
ข้ายิ้มละไม แม้ได้เคล็ดวิชาจากวัดเส้าหลินมา หลายวันนี้ลองฝึกดูแล้วดีขึ้นเล็กน้อยก็จริง แต่หากเหนื่อยกายเหนื่อยใจเช่นนี้ มิทราบว่าข้าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสักกี่ปี
เมื่อเห็นท้องนภาถูกแสงเปลวเพลิงอาบย้อมจนแดงฉาน ข้าก็เอ่ยอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย “องค์ชาย องค์หญิงมิได้ติดตามฝ่าบาทไปยังเฉียวซาน วันนี้ก็ยังอยู่ที่วัดอู๋เฉินหรือ”
ยงอ๋องมองข้าแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าข้าเหม่อลอยเล็กน้อยก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย “ท่านวางใจเถิด วัดอู๋เฉินจะต้องมีคนไปคุ้มครองแน่ น้องหญิงฐานะสูงศักดิ์ เป็นธิดารักของเสด็จพ่อ ทั้งยังเป็นที่รักของปวงประชาต้ายงอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าหย่อนยาน สุยอวิ๋นไม่วางใจหรือ”
ข้าหน้าแดงเอ่ยว่า “มิว่าจะมีคนไปคุ้มครององค์หญิงหรือไม่ องค์ชายก็น่าจะส่งคนไปดูสักหน่อย”
ยงอ๋องยิ้มจางๆ ตอบว่า “เรื่องนี้น่าจะมิต้องให้ข้าเป็นห่วง คิดว่าพระชายาคงส่งคนไปแล้ว”
ตอนนี้เองหญิงรับใช้นางหนึ่งก็เข้ามารายงาน “พระชายาสั่งให้บ่าวมากราบทูลองค์ชาย องครักษ์ที่ส่งไปเยี่ยมเยือนองค์หญิงรายงานกลับมาว่าแม่ทัพเซี่ยโหวพาคนไปคุ้มกันวัดอู๋เฉินแล้ว ยามนี้สถานการณ์วุ่นวาย พระชายาเขียนสารฉบับหนึ่งถึงองค์หญิง เกลี้ยกล่อมให้องค์หญิงเดินทางกลับวังวันพรุ่งนี้ องค์หญิงรับปากแล้ว ยังบอกให้พระชายาพาคุณหนูโหรวหลันเข้าวังไปพบนางด้วย”
ยงอ๋องโบกมือให้หญิงรับใช้ถอยออกไป ยามนี้ข้าจึงเพิ่งวางใจแล้วถามว่า “ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ผู้ใดสมควรอารักขาจวนยงอ๋อง องค์ชายมีความเห็นหรือไม่”
ยงอ๋องหลุดยิ้มตอบว่า “หากข้าต้องรอให้ท่านเตือน น่ากลัวว่าคงสายไปเสียแล้ว ตอนนี้คนที่อยู่ด้านนอกคือเผยอวิ๋น ท่านวางใจเถิด มิมีผู้ใดฉวยโอกาสทำร้ายข้าได้แน่นอน อีกอย่างหนึ่ง ท่านมิได้ให้องครักษ์จวนอ๋องเตรียมตัวเฝ้าระวังอยู่ก่อนแล้วหรือ”
ข้ายิ้มอย่างอับอาย เมื่อครู่ข้าแอบใช้ซือหม่าสยงออกไปถ่ายทอดคำสั่งให้เตรียมป้องกัน คิดไม่ถึงว่าจะปิดบังสายตาของยงอ๋องไม่พ้น
ระหว่างที่พวกเรากำลังพิเคราะห์สถานการณ์วุ่นวายในค่ำคืนนี้ต่อ คนส่งสารของฉินชิงก็ผ่านประตูใหญ่ของจวนยงอ๋องเข้ามา
หลังจากได้ฟังคำรายงานของคนส่งสาร ยงอ๋องพลันสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยว่า “สายลับพวกนี้น่าชังเกินไปแล้ว ตลาดตะวันออกเป็นสถานที่สำคัญของฉางอัน แต่ครั้งนี้กลับเสียหายหนัก ยามนี้เกรงว่าพวกเขาคงต้องการกวนน้ำขุ่นจับปลา ร้านรวงในตลาดตะวันออกร้านใดไม่มีผู้คุ้มกันอารักขาบ้าง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตลาดตะวันออกคงเหลือแต่ซาก เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ข้าจะเดินทางไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ข้ารีบเอ่ยขัดขวาง “องค์ชาย ยามนี้ตลาดตะวันออกโกลาหลไปหมด หากองค์ชายเสด็จ สงบความวุ่นวายได้ก็ดีไป แต่หากมิได้ผล น่ากลัวว่าจะมีคนโยนความรับผิดชอบเรื่องนี้มาให้องค์ชาย ยามนี้ขยับมิสู้อยู่นิ่ง ขอองค์ชายโปรดไตร่ตรอง”
แต่ครั้งนี้ยงอ๋องผู้ที่ทำตามคำพูดของข้ามาเสมอกลับส่ายศีรษะแล้วตอบว่า “สุยอวิ๋น ข้าคือชินอ๋องแห่งต้ายง ผู้บัญชาการสามกองทัพ เวลาเช่นนี้คือเวลาที่ข้าต้องทุ่มสุดกำลังเพื่อราชสำนักและประชาชน จะคิดเล็กคิดน้อยเรื่องผลได้ผลเสียของตนเองได้อย่างไร จลาจลที่ตลาดตะวันออกสงบเร็วขึ้นหนึ่งเพลา ความเสียหายก็น้อยลงหนึ่งส่วน จ่างซุนจี้ ซือหม่าสยง พวกเจ้าเลือกองครักษ์คนสนิทมาร้อยนาย ตามข้าเดินทางไปยังตลาดตะวันออก ส่วนเรื่องในจวน สุยอวิ๋น ท่านต้องระวังให้มาก ปรมาจารย์ซือเจิน หรือเสี่ยวซุ่นจื่อก็ดี อย่างน้อยต้องมีสักคนอยู่ข้างกายท่านจึงจะดี”
ข้ายังอยากเกลี้ยมกล่อมห้ามอีก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหลี่จื้อใบหน้าเปี่ยมบารมี แผ่อำนาจให้คนยำเกรง ข้าก็พูดไม่ออก ได้แต่ก้มหัวเอ่ยว่า “กระหม่อมรับบัญชา ขอองค์ชายโปรดวางใจ ข้าจะส่งเสี่ยวซุนจื่อไปอารักขาพระชายากับท่านหญิงทั้งหลายที่เรือนหลัง มีปรมาจารย์ซือเจินกับแม่ทัพเผยอวิ๋นอยู่ด้านนอก องค์ชายมิต้องกังวลเรื่องในจวน”
หลี่จื้อยิ้มละไมแล้วตะโกนสั่ง “นำเกราะทองของข้ามา ข้าอยากดูซิว่าผู้ใดกล้ามาก่อกวนนครหลวงต้ายงของข้า”
องครักษ์นอกประตูตะโกนลั่นพร้อมกัน ไม่นานองครักษ์คนสนิทของยงอ๋องก็นำชุดเกราะทองมา ยงอ๋องไม่หลบเลี่ยงผู้คน ถอดอาภรณ์ตัวนอกออกแล้วสวมเกราะทอง ด้านนอกผูกผ้าคลุมออกศึกทำจากผ้าไหมแคว้นสู่ จากนั้นย่างเท้าเดินออกไปด้านนอก ก้าวเท้าดุจมังกรดั่งพยัคฆ์ แข็งแรงปราดเปรียวอย่างยิ่ง องครักษ์เหล่านั้นล้วนเป็นผู้ที่เคยติดตามยงอ๋องฝ่าฟันผ่านพันทหารหมื่นอาชามาก่อน เห็นอำนาจเฉกเช่นยามอดีตก่อนเปิดศึกของยงอ๋องเช่นนี้ พวกเขาจึงค้อมกายคารวะอย่างพร้อมเพรียงโดยมิต้องนัด “ยงอ๋องทรงพระเจริญพันปี พันพันปี”
ข้าสัมผัสได้ถึงบรรยากาศดุดันเช่นในสนามรบนองเลือดอย่างชัดเจน ไอสังหารและความห้าวหาญท่วมท้นเช่นนั้นชวนให้ฮึกเหิมอย่างช่วยไม่ได้ ข้าเอ่ยเสียงดังตาม “ขออวยพรให้องค์ชายทำงานบรรลุโดยไว กระหม่อมจะจัดงานเลี้ยงคอยที่จวน รอองค์ชายเสด็จกลับมาฉลองชัย”
ยงอ๋องหัวเราะลั่น “แม่ทัพทหารทุกนาย ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ใต้เท้าซือหม่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองชัยให้พวกเรา พวกเรายังไม่รีบไปรีบกลับอีก กลับมาจะได้ดื่มให้สำราญข้ามคืน”
องครักษ์เหล่านั้นเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว พอประตูใหญ่เปิดกว้างก็ขึ้นม้าศึกห้อมล้อมอยู่รอบยงอ๋อง เสี้ยววินาทีนั้น อาชาประหนึ่งมังกร คนประหนึ่งพยัคฆ์พุ่งออกจากประตูจวน เพียงครู่ก็หายลับ เหลือไว้เพียงฝุ่นควันเหนือท้องถนนกับเสียงกีบเท้าม้าที่แผ่วเบาลงทุกที