ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 31 ต่างคนต่างความคิด (1)
ความจริงก็คือ เมื่อคืนวานยามตลาดตะวันออกโกลาหล ภายในเมืองฉางอันคุมเข้มทั้งเมือง แม้เยี่ยเทียนซิ่วโชคดีหนีรอดมาได้ แต่ไร้กำลังจะเคลื่อนไหวแล้วจริงๆ สุดท้ายจึงสุ่มเลือกบ้านของชาวบ้านหลังหนึ่ง คิดในใจว่าต่อให้ต้องใช้กำลังบังคับเจ้าของบ้านก็ขอเพียงให้ตนเองได้พักสักคืน จัดการบาดแผลสักหน่อย วันพรุ่งนี้ก็น่าจะฝืนร่างกายหนีรอดได้ แต่โลกนี้กลับมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้ เรือนหลังนี้ก็คือที่พำนักของเซี่ยจินอี้
เซี่ยจินอี้ได้ยินเสียงเยี่ยเทียนซิ่วเข้ามาในบ้านชัดเจน แต่เขารู้ว่าตนเองมิสะดวกเข้าไปจัดการจึงตะโกนปลุกชื่อจี้ เมื่อชื่อจี้ไปดู เยี่ยเทียนซิ่วก็หมดสติไปแล้ว รอจนชื่อจี้ทำแผลให้เขา ให้ยากินกับยาทาจนเรียบร้อย เยี่ยเทียนซิ่วถึงฟื้นขึ้นมา เขาขอให้ชื่อจี้ขอความช่วยเหลือจากจวนยงอ๋องให้เขา นี่เป็นเพราะเขารู้ว่าตนเองบาดเจ็บเช่นนี้ ไม่มีทางรอดออกจากฉางอันได้แน่ หนทางเดียวที่จะรักษาชีวิตไว้ได้คือได้ความช่วยเหลือจากยงอ๋อง ยงอ๋องแตกหักกับรัชทายาทและสำนักเฟิงอี้จนเป็นเสมือนน้ำกับไฟแล้ว เห็นแก่หน้าชิ่งอ๋อง บางทีอาจช่วยชีวิตเขาสักครั้ง
หากเป็นที่อื่น ชื่อจี้คงลำบากใจ แต่คนผู้นี้เอ่ยถึงจวนยงอ๋อง ชื่อจี้จึงสงบใจลงได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อเขาส่งข่าวไปถึงจวนยงอ๋อง เสี่ยวซุ่นจื่อฟังจบก็ตกตะลึง เขาทราบว่าเรื่องที่คืนนี้องครักษ์ของชิ่งอ๋องในเมืองหลวงถูกคนสังหารหมู่ แต่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนซิ่วจะดวงแข็งเช่นนี้ ทว่าเยี่ยเทียนซิ่วมาโผล่ในที่ซ่อนตัวของเซี่ยจินอี้ เรื่องนี้สมควรจัดการเช่นไร เขามิอาจตัดสินใจเองได้
ข้าไตร่ตรองครู่หนึ่ง ชิ่งอ๋องเป็นศัตรูกับสำนักเฟิงอี้ ถ้าเช่นนั้นย่อมเป็นสหายของฝั่งตน ยิ่งไปกว่านั้นมีสหายเพิ่มมาหนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมาหนึ่งมากนัก เยี่ยเทียนซิ่วต้องช่วยแน่ แต่เซี่ยจินอี้มิอาจอยู่ที่นั่นได้แล้ว สถานการณ์ตอนนี้หากเผยร่องรอยของเซี่ยจินอี้ย่อมมิใช่เรื่องดี หลังจากเยี่ยเทียนซิ่วออกมา จะต้องมีคนตามสืบมาถึงสถานที่แห่งนี้แน่ ดังนั้นต้องให้เซี่ยจินอี้ออกไป แต่จะให้เขาย้ายไปที่ใดเล่า ตั้งแต่วันนี้ฉางอันคงตกอยู่ในความหวาดระแวง น่ากลัวว่าคงยากจะซ่อนตัว คิดมาคิดไป ข้าจึงเอ่ยว่า “เจ้าจงเดินทางไปด้วยตัวเอง ให้เซี่ยจินอี้คิดหาวิธีแปลงโฉมหน้าออกจากฉางอันไปสักช่วงเวลาหนึ่ง สถานการณ์ตอนนี้ข้าเองก็ไร้กำลัง เขาน่าจะเข้าใจ”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยเสียงเฉยชา “คุณชาย คนผู้นี้เก็บไว้รังแต่จะเป็นภัย มิสู้สังหารคนปิดปากเสีย”
ข้าส่ายศีรษะตอบว่า “ไม่ได้ ข้ามิเคยทำเรื่องที่ต้องละอายใจ คนผู้นี้ช่วยข้าไว้มากนักโดยมิเสียดายชีวิต หากข้าทำเช่นนั้นคงถูกคนเหยียดหยาม เจ้าเกลี้ยกล่อมเขาให้ดี ถึงอย่างไรเขาอยู่ที่ฉางอันก็ไม่มีประโยชน์อันใด มิสู้จากไปดีกว่า”
เสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้าตอบ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปด้วยตนเอง ข้าคิดว่าชื่อจี้คงไม่ให้เยี่ยเทียนซิ่วเห็นเรื่องใดที่มิสมควรเห็น”
หลี่ซุ่นนั่งรถม้าของจวนยงอ๋องมุ่งไปยังที่ซ่อนตัวแห่งนั้น วันนี้ฉางอันวังเวงไปหมด ท้องถนนทุกหนแห่งล้วนมีแต่ทหารราชองครักษ์ ทว่าป้ายของยงอ๋องมีประโยชน์อย่างยิ่ง มีมิผู้ใดกล้าขวาง หลี่ซุ่นที่อยู่ในรถลอบคิดในใจว่าหากเซี่ยจินอี้มิยอมตกลง ตนจะยอมให้คุณชายตำหนิแล้วสังหารเขาปิดปาก
ไม่นานนัก รถม้าก็มาถึงเรือนที่อยู่ในตรอกห่างไกล หลี่ซุ่นสั่งให้บ่าวรับใช้ที่ติดตามมารออยู่ด้านนอก ตนเองเข้าไปเพียงลำพัง เมื่อเดินเข้าไปในลานบ้าน ดวงตาของหลี่ซุ่นพลันทอประกายเย็นยะเยือก ลูกนัยน์ตาหดเล็กลงเล็กน้อยด้วยจิตสังหาร เพราะเขาเห็นชายหนุ่มที่คุ้นเคยแต่ก็แลดูแปลกหน้าคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลา ผิวขาวผ่องแทบจะโปร่งแสง สิ่งที่โดดเด่นยิ่งกว่าก็คือท่าทางเฉยเมย แม้เขายืนชื่นชมดอกบัวในสระที่ลานบ้านอยู่ตรงนั้น แต่หลี่ซุ่นกลับมองไม่เห็นความเบิกบานใจและมองไม่เห็นความโศกเศร้าประการใดในดวงตาของเขา ราวกับว่าคนผู้นี้ไม่มีอารมณ์ใดทั้งสิ้น แต่ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนั้นมาจากที่ใดเล่า เขามองสำรวจชายหนุ่มผู้นั้นอย่างละเอียด ในที่สุดก็กระจ่างใจพร้อมกับที่ประหลาดใจ คนผู้นี้ก็คือเซี่ยจินอี้ผู้นั้น นี่มันเกิดอันใดขึ้น เหตุใดชื่อจี้จึงมิบอกตนว่าเซี่ยจินอี้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ถลึงตาใส่ชื่อจี้ที่เดินมาจากห้องด้านข้างอย่างโหดเหี้ยม
ชื่อจี้กลับสับสนมึนงง แม้หลายวันนี้เซี่ยจินอี้จะเปลี่ยนไปมากยิ่งนัก แต่ชื่อจี้อยู่ใกล้ชิดเขาทุกวันย่อมไม่สังเกต ท่าทางที่เปลี่ยนไปของเซี่ยจินอี้ ชื่อจี้เพียงคิดว่าเพราะเขาโศกศัลย์เท่านั้น ดังนั้นจึงมิได้รายงานให้เสี่ยวซุ่นจื่อรู้ แม้เขานึกประหลาดใจแต่มิกล้าถามมาก ก้าวเข้าไปบอกว่า “นายท่านผู้นี้ ท่านคือขุนนางของจวนยงอ๋องใช่หรือไม่ คุณชายเยี่ยรอท่านอยู่ในห้องแล้ว”
หลี่ซุ่นเอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับคุณชายเซี่ย”
ชื่อจี้มีสีหน้ากังวลเล็กน้อยก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ เซี่ยจินอี้กลับเหมือนเพิ่งมองเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อ เขาเดินเข้ามาอย่างเป็นมิตรแล้วยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ที่แท้ท่านก็มาด้วยตนเอง พักนี้ใต้เท้าสบายดีหรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อมองเซี่ยจินอี้เงียบๆ เขาสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ดีใจที่ได้พบตนเองจากใจจริง แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้มิมีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย ทันใดนั้นเขาก็โจมตีหนึ่งฝ่ามือใส่เซี่ยจินอี้ เซี่ยจินอี้เหมือนมีสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่กลับยกฝ่ามือขึ้นรับอย่างว่องไว ฝ่ามือปะทะกัน เสี่ยวซุ่นจื่อรู้สึกว่าลมปราณของเซี่ยจินอี้คล้ายอ่อนนุ่ม แต่ก็คล้ายแข็งกร้าว ประหลาดยิ่งนัก เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง เสี่ยวซุ่นจื่อไม่ขยับแม้แต่น้อย แต่เซี่ยจินอี้ถอยหลังไปสองก้าว ใบหน้าหล่อเหลาขาวผ่องมีสีแดงเป็นริ้วผุดพราย
เสี่ยวซุ่นจื่อไม่ลงมือต่อ เซี่ยจินอี้ก็ไม่มีสีหน้าตระหนกลนลาน เพียงยืนทิ้งมือข้างลำตัวแล้วยิ้มละไม
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยเสียงเรียบเฉย “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเจ้า”
เซี่ยจินอี้ดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วอมยิ้มตอบ “ไม่มีเรื่องอันใด เพียงรู้สึกว่าตนเองเหมือนกลายเป็นอีกคนหนึ่ง เรื่องราวก่อนหน้านี้ล้วนมิเอามาใส่ใจแล้ว”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอย่างเย็นชา “คุณชายสั่งให้ข้ามาบอกเจ้า ยามนี้นครฉางอันอันตรายยิ่งนัก หากเจ้ายินยอมจงหลบไปอยู่ด้านนอกชั่วคราว หากเจ้าต้องการ ข้าตัดสินใจแทนคุณชาย ปล่อยเจ้าเป็นอิสระได้”
ดวงตาของเซี่ยจินอี้ฉายจิตสังหารออกมาวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “ไม่ หากมิได้เห็นหลี่หันโยวได้รับโทษทัณฑ์ ผู้แซ่เซี่ยมิยอมจากไปเด็ดขาด”
เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เรื่องสำนักเฟิงอี้มิใช่จะคลี่คลายได้ในวันสองวัน เจ้าไม่เหมาะจะอยู่ในเมืองหลวง”
เซี่ยจินอี้เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านก็รู้สึกว่าข้าเปลี่ยนไปมากมิใช่หรือ ตอนนี้พวกเขายังจะจำข้าได้อีกหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อครุ่นคิดแล้วตอบว่า “มองปราดเดียวอาจจำไม่ได้ แต่เจ้าอยู่ที่จวนรัชทายาทมานาน มีหลายคนอาจจำเจ้าได้”
เซี่ยจินอี้เอ่ยด้วยสีหน้านอบน้อม “ท่านหลี่โปรดบอกความต้องการของผู้แซ่เซี่ยกับคุณชาย ผู้แซ่เซี่ยยินยอมพร้อมใจทำงานให้ใต้เท้า เปลี่ยนแปลงรูปโฉมหาใช่เรื่องยาก ผู้แซ่เซี่ยเชื่อว่าจะไม่ถูกคนจดจำได้ง่ายๆ”
เสี่ยวซุ่นจื่อครุ่นคิด มิทราบเกิดเรื่องใดขึ้นกับเซี่ยจินอี้ วรยุทธ์จึงก้าวหน้าพรวดพราด คนผู้นี้ฉลาดหลักแหลม หากเก็บไว้ข้างกายคุณชายก็ไม่เลว วิชาแปลงโฉมแม้จะเปลี่ยนจุดเด่นของคนผู้หนึ่งอย่างสิ้นเชิงไม่ได้ แต่บรรยากาศรอบตัวเซี่ยจินอี้เปลี่ยนไปมากนัก ขอเพียงเก็บตัวให้มาก ออกไปให้น้อย น่าจะปิดบังสายตาผู้อื่นได้ อีกประการหนึ่ง หากเขาโวยวายมิยอมจากไปขึ้นมา แม้ตนเองจะสังหารเขาก็คงจัดการไม่ได้ในหนึ่งหรือสองกระบวนท่า หากเยี่ยเทียนซิ่วได้ยินเรื่องราวบางอย่างไปจะเป็นภัยภายหลัง มิสู้พาเขากลับจวนยงอ๋อง หากคุณชายบอกให้เก็บไว้ใช้ก็เก็บเขาไว้ที่สวนเหมันต์ หากคุณชายบอกว่าไม่ได้ ตนก็สังหารเขาเสีย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจเขาก็ผ่อนคลายลงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าตามข้ากลับจวนยงอ๋องไปพบคุณชายเถิด”
เซี่ยจินอี้มิใช่ไม่รู้ว่าในใจเสี่ยวซุ่นจื่อแอบเกิดจิตสังหาร แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าตนเองจะได้สมปรารถนาจึงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยน้อมรับบัญชาท่านขุนนาง”
เสี่ยนซุ่นจื่อยิ้มแกนๆ แล้วเดินไปยังห้องด้านข้างที่เยี่ยเทียนซิ่วรักษาตัวอยู่ บนเตียงคนเจ็บ เยี่ยเทียนซิ่วสีหน้าซีดเผือด ร่างกายกว่าครึ่งใช้ผ้าขาวพันเอาไว้ เมื่อเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อ เขาก็ฝืนลุกขึ้นนั่งแล้วยิ้มจืดเจื่อน “ที่แท้พี่หลี่ก็มาด้วยตนเอง เทียนซิ่วซาบซึ้งยิ่งนัก”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม “เมื่อคืนวานได้ยินว่าพี่เยี่ยถูกจู่โจม องค์ชายกับคุณชายของข้าล้วนเป็นห่วงยิ่งนัก คิดไม่ถึงพี่เยี่ยจะโชคดีรอดพ้นคราวเคราะห์ พบเคราะห์หนักแต่ไม่ตายจะต้องมีโชคลาภตามมาภายหลังแน่ แต่มิรู้ว่าพี่เยี่ยทราบหรือไม่ว่าคืนวานผู้ใดเป็นคนลงมือ”
เยี่ยเทียนซิ่วยิ้มขมขื่นเอ่ยว่า “ผู้ที่มาปิดบังใบหน้ายามลงมือ วิชากระบี่สูงส่ง ผู้แซ่เยี่ยอับอายยิ่งนักที่สู้มิได้ แต่มิทราบตัวตนของคนผู้นั้น”
เสี่ยวซุ่นจื่อดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วถามต่อว่า “ทราบหรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นชายหรือหญิง ใช้วิชากระบี่อันใด”
เยี่ยเทียนซิ่วนึกทบทวนเหตุการณ์วันนั้นนับพันนับหมื่นหนแล้ว เวลานี้เขาจึงเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด “คนผู้นั้นเป็นบุรุษ แม้เขามีคิ้วกับดวงตางดงาม แต่ผู้แซ่เยี่ยกับเขาสู้กันดุเดือดเป็นเวลานาน คนผู้นั้นมิใช่สตรีเป็นแน่ มิเช่นนั้นข้าคงมิต้องเดาว่าผู้ใดเป็นคนทำ วิชากระบี่ของเขาล้ำเลิศยิ่งนัก พิสดารล้ำลึก คล้ายกับเพลงกระบี่โฉมงามอยู่บ้าง”
คิ้วเรียวของหลี่ซุ่นขยับแล้วเอ่ยว่า “ท่านสงสัยเซี่ยโหวหยวนเฟิงหรือ วิชาที่เขาฝึกคือเพลงกระบี่โฉมงามมิใช่หรือ”
เยี่ยเทียนซิ่วส่ายศีรษะเอ่ยว่า “ข้าก็เคยคิดว่าอาจเป็นเขา แต่ข้าเคยเห็นเพลงกระบี่ของใต้เท้าเซี่ยโหวมาก่อน รู้สึกว่าไม่ดุร้ายเฉียบคมเท่าบุรุษผู้ปิดบังใบหน้าผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้เพลงกระบี่โฉมงามจะกว้างขวางลึกซึ้ง แต่มิได้สืบทอดเพียงสายเดียว ในยุทธภาพมีมากมายหลายสำนัก อาศัยเพียงจุดนี้มิอาจแน่ใจว่าเป็นใต้เท้าเซี่ยโหวจริงหรือไม่”
หลี่ซุ่นไม่ขบคิดให้มากความ เรื่องนี้อย่างไรความจริงก็ต้องปรากฏขึ้นมาในสักวัน ไยต้องรีบร้อนตอนนี้ เขาจึงขยับยิ้มเอ่ยว่า “องครักษ์เยี่ย เชิญไปที่จวนอ๋องก่อนเถิด อาการบาดเจ็บของท่านต้องได้รับการรักษาเสียใหม่ เรื่องเหล่านี้เอาไว้พูดกันภายหลังเถิด” เยี่ยเทียนซิ่วพยักหน้าอย่างยินดี