ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 32 ต่างคนต่างความคิด (2)
แม้วันนี้สถานการณ์ในนครฉางอันจะค่อยๆ สงบลงแล้ว แต่ในที่ลับก็ยังมีคลื่นใต้น้ำโหมซัดอยู่ ยามเช้าตรู่หลี่หันโยวเข้าวังไปคารวะจี้กุ้ยเฟย ทั้งสองคนนั่งประจันหน้าจิบชาอยู่ในตำหนักของจี้กุ้ยเฟย หลี่หันโยวสีหน้าเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด แต่จี้กุ้ยเฟยกลับสีหน้าเรียบเฉย ทั้งสองคนสนทนาสัพเพเหระกันอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดหลี่หันโยวก็อดทนไม่ไหว ถามขึ้นว่า “อาจารย์อา ครั้งนี้ท่านอาจารย์เดินทางมารับช่วงอำนาจเองเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เมื่อคืนวานฉางอันโกลาหลจนเป็นเช่นนั้น หันโยวกลับมิทราบอันใดเลย ท่านว่าอาจารย์ไม่พอใจหันโยวหรือไม่”
จี้กุ้ยเฟยยิ้มจางๆ ตอบว่า “เจ้าวิตกเกินไปแล้ว หลายปีนี้เจ้าทำได้ดีมาก หากเจ้าสำนักคิดว่าเจ้ามีความผิดย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เป็นแน่ เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ไม่เหมาะให้เจ้าไปทำ แม้เจ้าเป็นศิษย์ฝ่ายใน แต่ยามนี้ก็แต่งให้ฉินชิงแล้ว ในฉากหน้าย่อมกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอก เรื่องเหล่านี้ไม่เหมาะให้พวกเจ้าทำ สำหรับสำนักเฟิงอี้แล้ว การที่พวกเจ้ารักษาตำแหน่งอันมีเกียรติในวันนี้ไว้ สำคัญยิ่งกว่าให้พวกเจ้าทำเรื่องเหล่านั้น”
หลี่หันโยวถอนหายใจ เอ่ยว่า “ยามนั้นเจ้าสำนักวางแผนให้ข้าแต่งงานกับฉินชิง กล่าวจากใจจริง ข้ามิยินดี อาจารย์อา ข้าต้องการเป็นผู้สืบทอดจากอาจารย์จริงๆ แต่…”
นางไม่ได้เอ่ยต่อ ทว่าจี้กุ้ยเฟยเข้าใจความนัยที่มิได้เอื้อนเอ่ยของนางแจ่มชัด อำนาจของเจ้าสำนักเฟิงอี้มิอาจขัดขืน ยิ่งไปกว่านั้น ยามลาภยศสรรเสริญยั่วเย้าจะมีสักกี่คนใจเด็ดปฏิเสธลง พัดกลมในมือสะบัดแผ่วเบา จี้กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยท่าทางสง่างาม “ความจริงเจ้ามิต้องกังวลเกินไปนัก แม้เจ้าจะมิได้เป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไป แต่เจตนาของเจ้าสำนักชัดเจนยิ่งนัก สำนักเฟิงอี้ในอนาคตจะมิใช่เจ้าสำนักตัดสินใจผู้เดียว
เหวินจื่อเยียนฝีมือสูงที่สุด ทั้งยังจงรักภักดีต่อศิษย์พี่ วรยุทธ์ที่เจ้าสำนักเฟิงอี้ทุ่มเทบ่มเพาะมาหลายปีมากกว่าครึ่งล้วนอยู่ในกำมือนาง แต่เพราะชื่อเสียงความโหดเหี้ยมโด่งดังเกินไปจึงไร้ความหวังสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก ศิษย์พี่รองเซี่ยหลานกับศิษย์พี่ห้าฉินเจิงของเจ้าล้วนแต่งงานแล้ว สูญเสียคุณสมบัติในการสืบทอด ศิษย์พี่สามเฟิ่งเฟยเฟยแม้มีชื่อเสียงในยุทธภพอยู่บ้างแต่บัญชาการผู้คนมิได้ จึงได้แต่อยู่ในตำแหน่งสนับสนุนเท่านั้น เหลียงหวั่นศิษย์พี่สี่ของเจ้าวันนี้สติฟั่นเฟือน ศิษย์พี่เจ็ดของเจ้าก็นิสัยใจร้อนจึงมิอาจรับผิดชอบงานใหญ่ มีเพียงศิษย์พี่หกหลิงอวี่ กับศิษย์พี่แปดเยี่ยนอู๋ซวงของเจ้า คนหนึ่งงามสง่าไร้มลทิน คนหนึ่งงามเหนือหมู่มวลบุปผา วรยุทธ์ก็มิใช่ชั่ว เหมาะสมกับเงื่อนไขการเป็นเจ้าสำนักที่สุด
แต่เจ้าก็มิจำเป็นต้องกังวล ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ตำแหน่งตรวจการคงหนีไม่พ้นจื่อเยียน พวกเราศิษย์ที่อยู่ในราชสำนักเหล่านี้ย่อมเป็นฝ่ายหนึ่ง เฟยเฟย อวี่เอ๋อร์ เสี่ยวถง อู๋ซวงเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ผู้ใดก็อย่าหวังกุมอำนาจเพียงลำพัง ขอเพียงเจ้ามีความสามารถมากพอทำให้หลานเอ๋อร์กับเจิ้งเอ๋อร์เชื่อฟังคำบัญชาเจ้า ยังจะกลัวคานอำนาจกับพวกนางมิได้อีกหรือ”
หลี่หันโยวยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกยินดี เอ่ยว่า “ขอบพระคุณอาจารย์อาที่ชี้แนะ หวังว่าต่อไปอาจารย์อาจะชี้แนะเพิ่มอีก”
จี้กุ้ยเฟยหัวเราะ “เจ้าเป็นคนเยือกเย็นเฉลียวฉลาด จะสับสนอันใด ขอเพียงเจ้าไม่เผยสีหน้าไม่พอใจออกมา ศิษย์พี่มิมีวันทอดทิ้งเจ้า เรื่องครั้งนี้พวกเรามิได้ทำ พวกเราย่อมกล่าวได้เต็มปากเต็มคำ”
หลี่หันโยวเอ่ยอย่างกังวลเล็กน้อย “แต่ศิษย์ได้ยินว่าศิษย์พี่ใหญ่วางแผนลอบสังหารเจิ้งเสีย หากลือออกไปจะทำเช่นไร”
จี้กุ้ยเฟยหัวเราะเย็นชา “เจ้ากลัวอันใด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้ามิได้เป็นคนทำ ต่อให้เจ้าลงมือทำเองก็มิจำเป็นต้องกลัว ครั้งนี้เหตุใดเจ้าสำนักจึงเห็นด้วยให้คนของนิกายจันทราเข่นฆ่าคนของชิ่งอ๋อง มิใช่เพื่อกลบเกลื่อนการลอบสังหารเจิ้งเสียของพวกเราหรือ หากคนของชิ่งอ๋องตาย น่ากลัวว่าทุกคนคงจะสงสัยพวกเรา แต่ต่อให้สงสัยก็มิเป็นไร ผู้ใดไม่รู้เรื่องความแค้นระหว่างพวกเรากับชิ่งอ๋องบ้าง ขอเพียงพวกเราไม่ได้ไปสังหารชิ่งอ๋อง ฝ่าบาทย่อมไม่มีทางกล่าวโทษพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นยังไร้หลักฐาน ผู้ใดจะคิดว่าผู้ที่พวกเราต้องการสังหารคือเจิ้งเสียกันเล่า”
หลี่หันโยวถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้าสำนักช่างยากจะคาดเดาความคิด จนตอนนี้ศิษย์ก็ยังมิเข้าใจว่าเหตุใดจึงไปสังหารเจิ้งเสีย”
จี้กุ้ยเฟยถอนหายใจตอบว่า “เฮ้อ ศิษย์พี่เองก็ไร้ทางเลือก เจิ้งเสียเป็นคนเคร่งครัดเที่ยงตรง ฝ่าบาทกลับมาครั้งนี้ตั้งใจจะปล่อยรัชทายาท เจิ้งเสียผู้นี้คงกล่าวตามตรงตำหนิว่ารัชทายาทเสื่อมคุณธรรมดังเช่นที่ถูกเรียกไปเข้าเฝ้าครั้งก่อนเป็นแน่ ฝ่าบาทก็ดันเชื่อถือเขาอย่างมากอีก หากปล่อยให้เขาออกความเห็นเบื้องหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทหลายรอบ เกรงว่าตำแหน่งรัชทายาทคงรักษาไว้ไม่ได้ เพื่อเป้าหมายของพวกเราจึงได้แต่ต้องสละใต้เท้าเจิ้ง น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้เขาอย่าฝันว่าจะได้สั่นคลอนตำแหน่งรัชทายาท”
หลี่หันโยวหัวเราะ “มีแต่นิกายจันทราโง่เขลาที่สุด ถูกพวกเราใช้เป็นหนังหน้าไฟ”
“ผู้ใดโง่เขลายังมิแน่หรอก” หลู่จิ้งจงยิ้มพลางสะบัดพัดพับแผ่วเบาแล้วเอ่ยแช่มช้า เซี่ยโหวหลันเจ้ากรมพิธีการที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยตอบ “ศิษย์น้อง เจ้าก็อย่าได้ประมาทศัตรูเกินไป เจ้าสำนักเฟิงอี้ฝีมือร้ายกาจ เจ้าก็มิใช่ไม่รู้ ยามนั้นคนนิกายสุริยาและจันทราของพวกเราตายในมือนางไปไม่น้อย”
หลู่จิ้งจงสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ข้าทราบความร้ายกาจของสตรีนางนี้ ทว่ายามนี้นางมิอาจกำจัดพวกเราได้ แม้รัชทายาทมิฉลาดนัก แต่เขาก็ยังรู้จักระแวงสำนักเฟิงอี้ ยิ่งกว่านั้น รอยบาดหมางระหว่างเขากับสำนักเฟิงอี้ก็ลึกยิ่ง ข้าเชื่อว่าตนจะคานอำนาจกับเจ้าสำนักเฟิงอี้ได้”
เซี่ยโหวหลันถอนหายใจแผ่วเบา “ศิษย์น้อง หลังจากงานชุมนุมเมื่อยี่สิบปีก่อน คนเก่งในนิกายจันทราของพวกเราก็ล้มหายตายจาก เสียคนอีกไม่ไหวแล้ว”
หลู่จิ้งจงเอ่ยเสียงเย็นชา “ศิษย์พี่เป็นผู้อาวุโสนิกายจันทราย่อมระมัดระวัง แต่ข้าหลู่จิ้งจงรับสืบทอดวิชาจากท่านอาจารย์มาเมื่อสามสิบปีก่อน แม้จนตอนนี้ข้าก็มิทราบว่าท่านอาจารย์มีตำแหน่งใดในนิกายจันทรา แต่ทุกสิ่งในวันนี้ข้าล้วนได้มาด้วยสองมือของตน ข้ามิมีวันยอมให้ผู้อื่นแย่งชิงไป”
เซี่ยโหวหลันยิ้มฝืดเฝื่อน “เรื่องนี้ข้าก็มิทราบชัดนัก แต่ได้ยินอาจารย์รุ่นก่อนเล่าว่านิกายจันทราของพวกเราสืบทอดมาสิบเจ็ดรุ่น ระหว่างทางคัมภีร์เคยสูญหายไปหลายครั้ง แต่การสืบทอดก็ไม่เคยขาดสาย อาจารย์รุ่นก่อนเคยบอกว่าพรรคมารคงมีกลุ่มที่รับผิดชอบการสืบทอดวิชาโดยเฉพาะอยู่ต่างหาก อาจารย์รุ่นก่อนถึงขั้นสงสัยว่าคนเหล่านั้นอาจเป็นศิษย์นิกายดาราที่แม้แต่พวกเรายังเคยได้ยินเพียงชื่อ แต่มิทราบรายละเอียด
สายของอาจารย์รุ่นก่อนโชคดีอย่างยิ่งที่สืบต่อกันมาได้ติดกันหลายรุ่นโดยไม่ขาดสาย เรื่องราวบางอย่างเขาก็เคยไม่เข้าใจ แต่มีเรื่องหนึ่งที่อาจารย์รุ่นก่อนบอกชัดเจนยิ่ง ศิษย์นิกายจันทราแต่ละรุ่นส่วนมากเจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นสันดานจึงมิเคยมีจุดจบที่ดี ดังนั้นข้าจึงพยายามขวางหยวนเฟิงจากการเข้าร่วมภารกิจของนิกายจันทรา แต่เจ้ากลับไม่ยอมปล่อยเขา ครั้งนี้ยังให้เขาไปสังหารองครักษ์ของชิ่งอ๋อง เจ้าจะเป็นอริกับข้าให้ได้จริงๆ สินะ” พูดถึงท่อนท้าย เซี่ยโหวหลันพลันมีจิตสังหารปรากฏขึ้นในแววตา
หลู่จิ้งจงกลับเอ่ยอย่างสุขุม “ศิษย์พี่ ท่านอาจซ่อนตัวอยู่ในราชสำนักได้ แต่หลานชายหนุ่มแน่นอายุน้อย เก่งกาจฉลาดเฉลียวเช่นนี้ ท่านหักใจให้เขามิทำการใดได้เช่นไร อีกประการหนึ่ง นับแต่โบราณมา หากเป็นผู้กล้ามากสติปัญญา น้อยนักจะเป็นผู้รักชีวิตรักสบาย ในเมื่อข้ามีความสามารถเช่นนี้ โลกใบนี้ก็สมควรมีที่ของข้า หากมิใช่เพราะใจทะเยอทะยานกับความหยิ่งทะนง นิกายจันทราจะสืบทอดต่อไม่ขาดสายได้อย่างไร รู้ชัดว่าหลังจากงานชุมนุมแต่ละครั้ง ภายในยี่สิบสามสิบปีจะเข่นฆ่ากันเองจนสุดท้ายมีเพียงคนสองคนที่ได้ครองลาภยศอำนาจ แต่ไม่เคยมีผู้ใดยอมแพ้ ผู้ใดมิอยากคอยเกื้อหนุนเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ปกครองใต้หล้า มีภาพประดับบนหอหลิงเยียน[1] ยิ่งไปกว่านั้นยังจะได้กลายเป็นประมุขนิกายจันทรา อาศัยตราประมุขรับคำชี้แนะจากนิกายดารา แล้วยังได้อ่าน ‘คัมภีร์จันทรลักษณ์’ ฉบับจริง น่าเสียดายหลายปีที่ผ่านมามีเพียงอาจารย์รุ่นสิบสามคนเดียวที่ได้เลื่อนเป็นประมุข”
เซี่ยโหวหลันเอ่ยด้วยใจปรารถนา “ประมุขท่านนั้นหายตัวไปอย่างลึกลับกว่าครึ่งปี เมื่อกลับมาอีกครั้งก็อมยิ้มอย่างสมใจก่อนจะสิ้นใจ น่าเสียดายที่สุดท้ายก็มิยอมบอกว่าเขาเห็นอันใด”
ดวงตาของหลู่จิ้งจงฉายแววบ้าคลั่ง เอ่ยว่า “ให้ข้ามีชีวิตอยู่โดยมิอาจได้อ่านคัมภีร์จันทร์ลักษณ์สักครั้ง ข้ายินดีตายเสียดีกว่า”
เซี่ยโหวหลันเอ่ยอย่างเฉยชา “ไม่ผิด ข้าเองก็เคยคิดเช่นนี้ ท่านบรรพจารย์ในอดีตปัญญาลึกล้ำดุจมหาสมุทร เพียงถ่ายทอดวิชาขั้นเจ็ดต่อมาก็มีนิกายจันทราในวันนี้ เดิมทีข้าเคยยินดีสละทุกสิ่งเพื่ออ่านตำราที่บรรพจารย์ทิ้งไว้สักครา แต่น่าเสียดายยามนี้ความทะยานอยากของข้ามอดดับลงแล้ว ต้องการเพียงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ดังนั้นเจ้าอย่าได้หมายตาหยวนเฟิงอีกเลย”
ดวงตาของหลู่จิ้งจงฉายแววเยาะหยันจางๆ แล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่คิดว่าเป็นความต้องการของข้าเพียงฝ่ายเดียวจริงหรือ หลานชายฉลาดเหนือผู้อื่น แล้วท่านยังเคยถ่ายทอดสิ่งที่ร่ำเรียนแก่เขา เขาเองเป็นเด็กหนุ่มเลือดลมพลุ่งพล่าน จะยอมก้มหัวให้ผู้อื่นได้เช่นไร ศิษย์พี่ หากเริ่มแรกท่านไม่ให้เขาร่ำเรียนหนังสือฝึกฝนกระบี่ยังว่าไปอย่าง วันนี้สายไปแล้ว”
เซี่ยโหวหลันสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ไม่ผิด เจ้าพูดไม่ผิด สายไปแล้วจริงๆ”
[1]หอหลิงเยียน หอแห่งหนึ่งในพระราชวังสมัยราชวงศ์ถัง มีชื่อเสียงโด่งดังเพราะภายในหอมีภาพเหมือนของยี่สิบสี่ขุนนางผู้ทำคุณงามความชอบในสมัยต้นราชวงศ์ถังประดับไว้