ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 33 จักรพรรดิต้ายงคืนวัง (1)
เกาจู่เสด็จกลับ พระราชทานรางวัลให้ไท่จงอย่างใส่พระทัย ไท่จงร้องขอออกตรวจตราชายแดน จักรพรรดิไม่อนุญาต
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง
เดือนหก วันที่สิบหก ปลายยามเว่ย[1] องค์หญิงฉางเล่อเดินทางกลับพระราชวังภายใต้การคุ้มครองของทหารราชองครักษ์และองครักษ์ส่วนพระองค์ นางนั่งอยู่ในรถม้าประจำตำแหน่ง ดวงหน้างามมีสีหน้าวิตกกังวลจางๆ เมื่อครู่นี้เอง เซี่ยโหวหยวนเฟิงแจ้งลี่ว์เอ๋อขอเข้าเฝ้า เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อคิดดูแล้ว แม้ก่อนหน้านี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงจะต้องการสู่ขอนาง ทว่านับตั้งแต่ตนปฏิเสธก็มิเคยมาเกาะแกะอีก ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้วเซี่ยโหวหยวนเฟิงยังรู้จักสถานการณ์ดีกว่าเหวยอิงผู้อ่อนโยนสง่างามผู้นั้นอยู่บ้าง นางจึงอนุญาตให้เขาเข้าพบ
เซี่ยโหวหยวนเฟิงมาครั้งนี้มิได้กล่าวเรื่องพิเศษประการใด เพียงเอ่ยอย่างอ้อมค้อมว่า “ระยะนี้กระหม่อมได้ข่าวมาว่ามีคนต้องการผลักดันการแต่งงานระหว่างองค์หญิงกับใต้เท้าเหวยอย่างสุดความสามารถ ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรส แม้องค์หญิงปฏิเสธ แต่ฝ่าบาทยังมิได้เรียกคืนราชโองการ ดังนั้นจึงมีคนต้องการบีบให้องค์หญิงเข้าพิธีสมรส เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาองค์หญิงกับจวนยงอ๋องใกล้ชิดกันมาก แม้องค์หญิงมิยินดีเข้าร่วมการแก่งแย่ง แต่ในสายตาคนบางกลุ่ม องค์หญิงเป็นผู้สนับสนุนยงอ๋อง ด้วยเหตุนี้จึงมีคนต้องการให้องค์หญิงสมรสโดยเร็ว เมื่อเป็นเช่นนี้ จุดยืนของตระกูลเหวยเป็นกลาง ขณะที่องค์หญิงทรงเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของภรรยาเหนือผู้ใดย่อมไม่มีทางทำให้ครอบครัวสามีลำบากใจ
คนเหล่านั้นต้องการชักฟืนจากก้นกระทะ ผู้ใดมิรู้บ้างว่าองค์หญิงกับจวนยงอ๋องมีมิตรไมตรีต่อกัน ทั้งฝ่าบาทยังโปรดปรานองค์หญิงยิ่งนัก พวกเขาย่อมไม่ต้องการให้องค์หญิงส่งผลต่อความรู้สึกของฝ่าบาท ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ตำแหน่งรัชทายาทอยู่ในวิกฤต เป็นยามที่พวกเขามิกล้าเลินเล่อ ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสำคัญกับการแต่งงานขององค์หญิงยิ่งนัก ทว่าพวกเขาก็มิกล้าบีบบังคับ เกรงว่าคงจะใช้เล่ห์กลบางอย่าง องค์หญิงโปรดระวังพระองค์ให้ดี แม้ใต้เท้าเหวยเป็นผู้สง่าผ่าเผย แต่ความหลงใหลที่เขามีต่อองค์หญิงก็อาจจะทำให้ถูกคนใช้ประโยชน์ได้”
องค์หญิงฉางเล่อมองผ่านม่านโปร่งบางบนหน้าต่างรถม้าออกไปด้านนอก ท้องถนนของฉางอันเงียบเชียบ กองทหารราชองครักษ์กระจายอยู่ทั่ว ไม่มีรถม้าวิ่งไปมา ในใจนางเศร้าหมองยิ่งนักอย่างช่วยไม่ได้ นึกถึงเมื่อครั้งนั้นยามเจี้ยนเย่ตกอยู่ในอันตราย ตนได้สายลับของต้ายงช่วยออกมาจากพระราชวังจึงได้เห็นท้องถนนที่เคยรุ่งเรืองเต็มไปด้วยฝูงชนโกลาหลจากบนรถม้า ยามนี้บรรยากาศตึงเครียดด้านนอกตัวรถ ความจริงก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากยามนั้นนัก
เดือนหก วันที่สิบแปด จักรพรรดิต้ายงหลี่หยวนกลับคืนนครฉางอัน ครั้งนี้หลี่หยวนอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด แม้อยู่ต่อหน้าร้อยขุนนางที่มาคุกเข่ารับเสด็จก็ยังหน้าเขียว ก่อนกลับเขาฝืนตรัสชมยงอ๋องที่มารับสเด็จสองสามประโยคก็รีบร้อนกลับพระราชวัง หลังจากนั้นจึงเรียกเหวยกวน หลี่จื้อกับฉินชิงเข้าวังทันที ส่วนแม่ทัพฝู่หยวนฉินอี๋ เฉิงซูเว่ยกั๋วกงกับฉีอ๋องหลี่เสี่ยนที่ตามเสด็จล้วนได้รับราชโองการให้กลับจวนไปพักผ่อน
หลี่หยวนเขวี้ยงถ้วยชาจนแตกกระจายอย่างเกรี้ยวกราดต่อหน้าทั้งสามคน แล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าช่างเก่งกล้านัก เวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน นครฉางอันของข้าก็กลายเป็นเช่นนี้ เจิ้งเสียถูกลอบสังหาร ตลาดตะวันออกเกิดจลาจล ฉางอันเกิดเพลิงไหม้ ดี พวกเจ้าว่ามาสิ ข้าสมควรลงโทษพวกเจ้าเช่นไร”
ทั้งสามรีบคุกเข่าขอพระราชทานอภัยโทษ เหวยกวนเอ่ยอย่างประหม่า “กระหม่อมรับบัญชาดูแลงานด้านปกครอง ทั้งหมดเป็นเพราะกระหม่อมละเลยต่อหน้าที่จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ขอฝ่าบาทพระราชทานโทษให้หนัก”
ส่วนฉินชิงสีหน้าเต็มไปด้วยความละอาย เอ่ยว่า “กระหม่อมผิดต่อความเมตตาของฝ่าบาท มิอาจรักษาความสงบสุขของเมืองหลวง เจิ้งซื่อจงถูกลอบสังหารก่อน จากนั้นตลาดตะวันออกก็ไฟไหม้ หากยงอ๋องมิได้เสด็จมาควบคุมสถานการณ์ที่ตลาดตะวันออก เกรงว่าเรื่องราวคงลุกลามใหญ่โต ขอฝ่าบาทปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่งเถิด”
หลี่จื้อก็เอ่ยอย่างรู้สึกผิดเช่นกัน “ลูกตรวจสอบบกพร่อง หลายวันก่อนลูกได้รับข่าวว่าชายแดนไม่สงบ แต่มิเห็นอยู่ในสายตา วันนี้ตรวจสอบกระจ่างแล้ว พบว่าสายลับเป่ยฮั่นฉวยโอกาสก่อความวุ่นวาย ลูกเป็นถึงแม่ทัพเทียนเช่อที่เสด็จพ่อทรงแต่งตั้ง ยากปฏิเสธความรับผิดชอบ”
หลี่หยวนมองทั้งสามคนที่แย่งกันขอบทลงโทษแล้วกลับรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก เขาทรุดนั่งบนบัลลังก์มังกร ในใจคิดว่า หากมิใช่ว่าพวกเจ้าแย่งชิงอำนาจกัน นครฉางอันจะเหมือนตลาดนัดไร้การป้องกัน ปล่อยให้สายลับแคว้นศัตรูเข้าออกตามใจได้เช่นไร
แต่หลี่หยวนรู้ชัดเจนยิ่งว่าความจริงแล้วตนเองเป็นผู้ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ แม้ตนแต่งตั้งโอรสองค์โตเป็นรัชทายาท เหตุเพราะขนบจารีต แต่ก็มิใช่ไม่มีความความต้องการส่วนตัวแฝงอยู่ ความหลักแหลมเก่งกาจของหลี่จื้อทำให้ในใจรัชทายาทมักริษยาอยู่เสมอ จึงกดเขาเอาไว้ตลอด แต่หลี่หยวนก็รู้แก่ใจดีว่า ในหมู่ทายาทของตน มีเพียงลูกคนนี้ที่เป็นสีครามเข้มกว่าต้นครามได้ ทว่าเพราะสถานการณ์ต่างๆ นานา ตนจึงตัดสินใจสนับสนุนหลี่อัน หรือว่าข้าจะทำผิดเช่นนั้นหรือ หลี่หยวนนึกถึงยามตนได้รับสาสน์ด่วนไกลแปดร้อยลี้ที่หวงหลิง เขาเดือดดาลจนอยากจะสังหารคน แต่กลับมิทราบว่าจะกล่าวโทษผู้ใดได้
เหวยกวนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ตำหนิไปย่อมไร้ประโยชน์ แม้ฉินชิงทำหน้าที่ป้องกันเมืองล้มเหลว แต่เมื่อลองคิดดู ฉางอันในวันนี้ก็มิใช่เขาจะเป็นผู้ตัดสินใจได้ อีกอย่างหนึ่ง ตนให้ฉินชิงเป็นแม่ทัพกองทหารราชองครักษ์ก็เพราะเขาค่อนข้างควบคุมง่ายมิใช่หรือ แล้วก็ยงอ๋องหลี่จื้อ ตนจะกล่าวโทษอันใดเขาได้อีกเล่า หลายปีที่ผ่านมาเขาแทบจะตกอยู่ในอันตรายทุกวันจนจำต้องเก็บซ่อนความสามารถ ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น เขาก็เพิ่งออกมาจากตำหนักบำเพ็ญตน และหากมิใช่เขาไม่สนใจความเป็นความตายของตัวเองจนกู้สถานการณ์อันตรายเอาไว้ได้ น่ากลัวว่านครฉางอันแห่งนี้คงกลายเป็นซากปรักหักพัง หรือไม่ก็กลายเป็นลานสังหารไปแล้ว อีกทั้งเขายังหวิดถูกลอบสังหารอีก ตามหลักสมควรได้รับคำชมเชย แต่หากตนพระราชทานรางวัลให้เขา ถ้าเช่นนั้นรัชทายาทจะทำเช่นไรเล่า จะต้องปลดรัชทายาทจริงหรือ
แม้ในใจหลี่หยวนผิดหวังในตัวรัชทายาทยิ่งนัก แต่ก็ยังมิยินดีปลดรัชทายาทง่ายๆ ในใจเขารู้ดียิ่ง เรื่องเช่นนี้เมื่อเขียนอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์คงทำให้เกียรติยศของตนมัวหมอง เขาต้องหาข้ออ้างที่แลดูสง่าผ่าเผย ตอนนี้จะปล่อยให้คนภายนอกล่วงรู้ความผิดของรัชทายาทได้เช่นไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็โบกมืออย่างเหนื่อยอ่อน เอ่ยว่า “พอแล้ว เหวยกวนลงโทษริบเบี้ยหวัดหนึ่งปี ฉินชิงลดขั้นหนึ่งขั้น แต่ยังดำรงตำแหน่งแม่ทัพชั่วคราว รอโอกาสสร้างความชอบชดใช้ความผิด ยงอ๋องมีความดีความชอบเป็นตัวแทนประกอบพิธีบวงสรวง แล้วยังมีความชอบปราบจลาจล ข้าสมควรพระราชทานรางวัล แต่ยามนี้เจ้าได้พระราชทานยศจนมิรู้จะแต่งตั้งยศอันใดให้แล้ว ข้าจะพระราชทานทองคำสามพันตำลึงให้เจ้าก็แล้วกัน”
หลี่จื้อโขกศีรษะเอ่ยว่า “ลูกคารวะขอบพระทัยเสด็จพ่อที่พระราชทานรางวัล ลูกมิขาดแคลนเงินทอง ครั้งนี้ฉางอันเกิดจลาจล มีประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นผู้เสียหายมากมาย ขอเสด็จพ่อโปรดพระราชทานรางวัลเหล่านี้เป็นการช่วยเหลือ ลูกจะซาบซึ้งประหนึ่งได้รับกับตนเอง”
หลี่หยวนมองหลี่จื้อเหมือนมีความนัย ในใจทั้งยินดีทั้งกลัดกลุ้ม แย้มรอยยิ้มเอ่ยว่า “จื้อเอ๋อร์ เจ้ามิเสียทีได้ชื่อว่าเป็นอ๋องผู้ทรงธรรม ดี ข้าอนุญาต เจ้าถูกลอบสังหารคงตกใจ กลับไปพักผ่อนให้มากเถิด”
หลี่จื้อรีบเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ดูจากเรื่องครานี้กับข่าวจากด่านชายแดน น่ากลัวว่าทางเป่ยฮั่นคงใกล้จะเคลื่อนไหว หากเสด็จพ่อพระราชทานอนุญาต ลูกต้องการไปตรวจตราที่ด่านชายแดนสักหน่อย”
หลี่หยวนแววตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าจะลองคิดดูอีกครั้ง เจ้าไปตระเตรียมการไว้ก่อนแล้วกัน”
หลี่จื้อยินดีอยู่ในใจ ก่อนมาเจียงเจ๋อเคยบอกไว้ว่า ‘หากฝ่าบาทตกลงทันที ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าองค์ชายคงมิมีโอกาสก้าวขึ้นบัลลังก์อย่างสง่าผ่าเผยแล้ว แม้มังกรคืนสมุทร พยัคฆ์กลับขึ้นภูเขาจะมีอิสระเสรี แต่นั่นย่อมหมายความว่าฝ่าบาทไม่มีความคิดจะแต่งตั้งท่านเป็นรัชทายาทแม้แต่น้อย มิฉะนั้นคงไม่มีทางปล่อยให้ท่านอยู่ห่างจากศูนย์กลางการปกครองในตอนนี้ หากเป็นเช่นนั้น กระหม่อมเกรงว่าองค์ชายคงมีแต่ต้องใช้กำลังทหารชิงราชบัลลังก์มาเท่านั้น นั่นย่อมมิใช่สิ่งที่องค์ชายกับกระหม่อมคาดหวัง แต่หากฝ่าบาทยืนยันจะรั้งท่านไว้ ถ้าเช่นนั้นองค์ชายยังมีโอกาสห้าส่วนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทจากฝ่าบาท แต่เพราะยังมีห้าส่วนที่ฝ่าบาทระแวงท่านยิ่งนักจึงมิยินดีให้ท่านกลับเข้ากองทัพเด็ดขาด แต่หากฝ่าบาทลังเลตัดสินพระทัยไม่ถูก ถ้าเช่นนั้นก็ยินดีกับองค์ชาย ฝ่าบาทผิดหวังในตัวรัชทายาทแล้ว ขอเพียงองค์ชายจัดการได้เหมาะสม ถ้าเช่นนั้นการได้ตำแหน่งรัชทายาทก็มิใช่เรื่องยาก’
จุดที่หลี่จื้อนับถือเจียงเจ๋อที่สุดประการหนึ่งก็คือเขามองปราดเดียวก็มองทะลุจิตใจของผู้อื่น ทว่านั่นไม่รวมคนรอบตัวของเขา อย่างเช่นเสี่ยวซุ่นจื่อ อย่างเช่นโหรวหลัน นี่ก็คงเป็นหลักการที่ว่าเห็นปลายขน แต่มิเห็นเขาไท่ซานกระมัง หลี่จื้อผู้เปรมปรีดิ์แต่มิกล้าแสดงออก รีบร้อนกลับจวนไปด้วยความตื่นเต้น
หลี่จื้อกลับจวนยงอ๋องด้วยความยินดีเต็มอก เหวยกวนกลับจวนก็มิมีผู้ใดกล้าตำหนิเขา มีเพียงฉินชิงที่ในอกเต็มไปด้วยความวิตกกังวล มิทราบว่าบิดาจะลงโทษตนเยี่ยงไร คิดมาคิดไปจึงไปหาฉินหย่งก่อน ให้เขาไปพบบิดาเป็นเพื่อนตน บิดาจะได้ลงโทษตนเบาลงหน่อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลังออกจากพระราชวัง ฉินชิงจึงไม่กลับจวนราชบุตรเขยของตนเอง และไม่ไปคารวะบิดา แต่ไปบ้านของฉินหย่งก่อน แม้ฉินหย่งถูกฉินอี๋รับมาเลี้ยงในจวน แต่เมื่อสิบปีก่อนฉินหย่งย้ายออกจากจวนตระกูลฉินแล้ว เล่ากันว่าเพราะมารดาของเขาปรับตัวกับความเข้มงวดของจวนแม่ทัพใหญ่มิค่อยได้ ก่อนแต่งงานฉินชิงก็มักจะไปบ้านฉินหย่งอยู่บ่อยครั้ง ความจริงสองบ้านก็ห่างกันไม่ไกล มารดาของฉินหย่งเกิดในครอบครัวยากจน แม้อายุมากแล้ว แต่ร่างกายแข็งแรง ยังชอบปลูกผักเลี้ยงไก่ ฉินหย่งจ้างหญิงรับใช้หลายคนไว้ดูแลมารดา สองแม่ลูกอยู่กันอย่างมีความสุขยิ่งนัก ฉินชิงก็ชอบไปรับประทานอาหารที่มารดาของฉินหย่งปรุงเป็นที่สุด มักจะรู้สึกว่ารสชาติดีกว่าอาหารที่พ่อครัวชื่อดังในบ้านปรุงเสียอีก แต่หลังจากเขาแต่งงาน กลับค่อยๆ เหินห่างจากชีวิตเช่นนี้
[1]ยามเว่ย เทียบเป็นเวลาปัจจุบันคือ 13.00-15.00 น.