ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 34 จักรพรรดิต้ายงคืนวัง (2)
ฉินชิงย้อนนึกอดีตพลางบังคับอาชาเหยาะย่าง ไม่นานก็มาถึงที่อาศัยของฉินหย่ง เขาลงจากม้าแล้วเคาะประตูเสียงดัง เสียงมีชีวิตชีวาดังออกมาจากในประตู “มาแล้ว พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือ”
ฉินชิงชะงัก นี่เกิดอะไรขึ้น หรือว่าพี่หย่งย้ายบ้านแล้วหรือ ยังไม่ทันที่เขาจะขบคิดกระจ่าง ประตูก็เปิดออก เด็กหนุ่มรูปงามอายุสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่งยื่นศีรษะออกมา เมื่อเห็นฉินชิงก็ตกใจ ถามว่า “ท่านขุนนางท่านนี้ ท่านมาหาผู้ใดหรือ”
ฉินชิงถามอย่างลังเล “ฉินหย่งอยู่หรือไม่ ข้าเป็นญาติผู้น้องของเขา”
เด็กหนุ่มผู้นั้นดวงตาเป็นประกายตอบว่า “แม่บุญธรรมเล่าถึงท่านแม่ทัพอยู่เสมอ บอกว่าท่านชอบอาหารของนางมากที่สุด” พูดจบก็หันไปตะโกนเรียก “แม่บุญธรรม แม่บุญธรรม แม่ทัพฉินฉินชิงมาขอรับ”
เสียงหัวเราะดังมาจากด้านในประตู “แม่ทัพฉินอันใดเล่า อยู่ที่นี่เขาก็คือญาติผู้พี่ของเจ้า หวาเอ๋อร์ ยังไม่ให้ชิงเอ๋อร์เข้ามาอีก”
เด็กหนุ่มผู้นั้นหัวเราะคิกคักแล้วเปิดประตูออกกว้าง ฉินชิงจูงม้าเข้ามาด้วยสีหน้ามึนงง เขาผูกม้าไว้กับต้นไม้ใหญ่ในลานบ้าน แล้วกล่าวกับสตรีผู้มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาแต่มีรอยยิ้มแย้มเต็มหน้าที่ยืนอยู่บนขั้นบันได “อาสะใภ้ พักนี้มิได้มาเยี่ยมท่าน ร่างกายท่านแข็งแรงดีหรือไม่”
สตรีสูงวัยกล่าวว่า “ยังแข็งแรงดีอยู่ แต่พี่หย่งของเจ้ามักจะยุ่งจนไม่อยู่บ้าน โชคดีมีหวาเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนข้า”
ฉินชิงเอ่ยถามอย่างสงสัย “น้องชายคนนี้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านหรือ”
สตรีสูงวัยยิ้มแย้มตอบว่า “เขาชื่อหลิวหวา เดิมเป็นคนเจียงหนาน ตั้งแต่เล็กกำพร้าบิดามารดา เร่ร่อนอยู่ข้างนอก หลายปีก่อนติดตามทำงานให้พ่อค้าใหญ่คนหนึ่งอยู่หลายปี พอได้ร่ำเรียนหนังสือมาบ้าง ได้ความรู้เพิ่มมาหน่อย ต่อมาเดินทางมาถึงฉางอันเกิดโชคร้ายล้มป่วย แต่โชคดีพี่หย่งของเจ้าไปพบเขาป่วยหมดสติอยู่ข้างทางจึงเก็บเขากลับมา ข้าเห็นเด็กคนนี้ฉลาดเฉลียวรู้ความจึงตัดสินใจรับลูกบุญธรรมคนนี้มา เขาก็ไม่มีข้อดีอย่างอื่น แต่ช่างเป็นห่วงเป็นใย ขยันขันแข็ง ตอนนี้เป็นเสมียนร้านผ้าไหมร้านหนึ่ง ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าแล้ว ไม่เหมือนพี่หย่งของเจ้า รู้จักแต่คลุกคลีอยู่แต่ในค่ายทหาร ป่านนี้ยังไม่หาลูกสะใภ้สักคนให้ข้าได้อุ้มหลาน”
ฉินชิงเข้าใจแล้ว เขามองดูหลิวหวา เด็กหนุ่มผู้นี้คิ้วสวยดวงตางาม คิ้วโค้งดุจพระจันทร์ ดวงเนตรเป็นประกายดุจดารา มุมปากประดับรอยยิ้ม ทำให้คนมองรู้สึกน่ารักน่าสนิทสนม จนอดเกิดความรู้สึกดีมิได้ เขายิ้มให้แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นบุตรบุญธรรมของอาสะใภ้ เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่สี่เถิด พวกเรารุ่นนี้ พี่หย่งเป็นพี่ใหญ่ ข้าเป็นคนที่สี่”
หลิวหวาเอ่ยอย่างว่าง่าย “น้องเล็กคำนับพี่สี่ พี่สี่มาหาพี่บุญธรรมหรือ เมื่อครู่ท่านแม่ทัพใหญ่เรียกพี่บุญธรรมไปแล้ว”
ในใจฉินชิงตระหนก ถามว่า “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าสีหน้าพี่หย่งเป็นเช่นไร กังวลว่าจะถูกบิดาข้าลงโทษหรือไม่”
หลิวหวาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา รีบตอบว่า “พี่หย่งไม่มีท่าทีผิดปกติอันใด เพียงบอกว่าคืนนี้อาจไม่กลับ ให้ข้ากับแม่บุญธรรมไม่ต้องรอเขา”
ฉินชิงพึมพำในใจ แน่นอนว่าว่าไม่ต้องรอเขา ดูท่าคืนวันนี้จะมีคนคุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษเป็นเพื่อนข้าแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็มิกล้าชักช้าเสียเวลาอีกต่อไป เอ่ยขึ้นว่า “อาสะใภ้ เชิญพวกท่านตามสบาย ข้าต้องกลับไปคารวะท่านพ่อแล้ว”
สตรีสูงวัยยิ้มเอ่ยว่า “นี่ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าพี่น้องช่างเหมือนกัน วันนี้หย่งเอ๋อร์ก็กำลังจะไปพบแม่ทัพใหญ่ แต่ถูกแม่ทัพใหญ่ส่งคนมาตามตัวไปก่อน”
ฉินชิงได้ฟังยิ่งลนลานรีบร้อนบอกลาแล้วขึ้นม้าทะยานไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ เขาไม่ทันเห็นว่าหลิวหวา เด็กหนุ่มผู้นั้นที่มาส่งเขาตรงประตู มีแววตาขบขันประหลาดจางๆ อยู่ในดวงตา
ในใจฉินชิงเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม คิดว่าอยากไปถึงบ้านให้เร็วขึ้นหน่อย เพลิงพิโรธของบิดาจะได้ไม่ลุกโหมกว่าเดิม อีกใจก็หวาดกลัวว่าหลังจากพบหน้าบิดา ยังมิทันได้พูดก็อาจถูกไม้กระบองตีสักยก แล้วค่อยให้ตนเข้าไปคุกเข่าในโถงบรรพบุรุษ เขาพะว้าพะวงเช่นนี้จนกลับถึงบ้าน พอเข้าประตูก็มีนายทหารแจ้งว่านายท่านสั่งว่าหากคุณชายกลับมาให้ไปพบเขาที่ห้องหนังสือ
ในใจฉินชิงหวาดผวา ห้องหนังสือของบิดาคือสถานที่ซึ่งเขาหวาดกลัวที่สุด ทุกครั้งหากตนทำผิด สิ่งแรกก็คือถูกเรียกไปที่ห้องหนังสือ แต่ยามนี้จะหนีก็ไม่ได้แล้ว จึงได้แต่แสร้งทำเป็นสงบนิ่งจนมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือ เมื่อฉินชิงรวบรวมความกล้าผลักประตูเข้าไป ในที่สุดก็ตกตะลึง ฉินอี๋สวมเสื้อผ้าตามสบาย กำลังชี้แผนที่พูดอะไรอยู่กับฉินหย่ง เมื่อเห็นฉินชิงเข้ามาก็มองเขาด้วยแววตาเรียบเฉยเพียงปราดเดียวแล้วคุยกับฉินหย่งต่อ
ฉินชิงตั้งใจฟัง บิดากำลังหารือกับฉินหย่งว่าจะวางการป้องกันนครฉางอันใหม่เช่นไรเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องอย่างครั้งนี้ขึ้นอีก ฉินชิงรู้สึกละอายใจอย่างห้ามไม่ได้จนมิกล้าสอดปาก ได้แต่ฟังบิดากับฉินหย่งหารือว่าจะวางการป้องกันเช่นไร ก่อนหน้านี้ หน้าที่หลักของกองทหารราชองครักษ์คือการปกป้องพระราชวัง ส่วนการดูแลความสงบเรียบร้อยในเมืองฉางอันเป็นความรับผิดชอบของเจ้าเมือง ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น กองทหารราชองครักษ์จึงทำอันใดมิถูกอยู่เล็กน้อย แม้สาเหตุส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะฉินอี๋ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ตัวจริงของกองทหาราราชองครักษ์ไม่อยู่ ความสามารถในการรับมือสถานการณ์คับขันก็ไม่เพียงพออยู่บ้าง ดังนั้นฉินอี๋จึงวางแผนวางกำลังป้องกันรวมไปถึงการฝึกปรือกองทหาราชองครักษ์เสียใหม่
เมื่อทั้งสองคนหารือได้พอประมาณแล้ว ฉินอี๋จึงหยิบถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้ามีอะไรจะพูดกับพ่อหรือไม่”
ฉินชิงหัวใจเต้นระทึก รีบเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ชิงเอ๋อร์ไร้ความสามารถ ขอท่านพ่อโปรดลงโทษ”
ฉินอี๋ยิ้มละไมเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าเป็นราชบุตรเขยจิ้งเจียง ข้าเองก็ควบคุมเจ้าไม่ได้แล้ว เรื่องครั้งนี้ข้าไม่ตำหนิเจ้า เจ้ายังอายุน้อย อำนาจบารมีไม่พอ ครั้งนี้จัดการได้เช่นนี้ก็นับว่าพอผ่านเกณฑ์แล้ว สิ่งที่ข้าต้องการถามเจ้าก็คือ หลายวันก่อนเหตุใดเจ้าจึงขวางรถม้าของเจียงซือหม่าแห่งจวนยงอ๋อง หลายวันนี้ข้ารอเจ้ามาอธิบายเรื่องนี้มาตลอด แต่เจ้ากลับไม่มา”
ฉินชิงแรกสุดงุนงง จากนั้นก็นึกขึ้นได้ “ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง หากท่านพ่อไม่เอ่ย ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้ว พูดขึ้นมาแล้วตอนนี้ข้าก็ยังโมโหอยู่นิดๆ วันนั้นมีกบฏซ่อนอยู่บนรถแท้ๆ แต่เจียงเจ๋อใช้ป้ายทองบีบให้ข้ามิอาจตรวจค้น หากมิใช่หันโยวบอกว่าไม่สมควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ข้ายังคิดจะกราบทูลฝ่าบาทเป็นการลับอยู่เลย…”
เพิ่งเอ่ยถึงตรงนี้ ฉินอี๋ก็สีหน้าเดือดดาลแล้ว นิ้วมือสั่นเบาๆ แทบจะถือถ้วยชาไว้ไม่อยู่ ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าเก่งกล้าเช่นนี้ ดี ดี ข้ามีบุตรชายที่ดีจริงๆ”
ฉินชิงขวัญหนีดีฝ่อ ความหวาดกลัวที่เขามีต่อบิดาฝังรากลึกมานาน เขารีบร้อนคุกเข่าลงกับพื้นเอ่ยเสียงสั่นระริก “ท่านพ่อโปรดระงับโทสะ” แต่สีหน้ามึนงง เห็นชัดว่ามิทราบว่าตนเองผิดที่ใด
ฉินอี๋นึกเศร้าใจ บนโลกใบนี้มิมีญาติใดใกล้ชิดยิ่งกว่าบิดากับบุตร ไยเขาจะไม่หวังให้บุตรของตนเก่งกาจเหนือผู้ใด เป็นผู้นำของยอดคน แต่ฉินชิงกลับหัวทื่อ มักมองความจริงไม่กระจ่าง ลักษณะเช่นนี้เป็นทหารยังพอไหว แต่เขาดันขึ้นไปอยู่ใจกลางราชสำนัก วันนี้มีตนดูแลอยู่จึงยังปลอดภัย แต่หากอนาคตตนจากไปแล้ว ผู้ใดจะปกป้องเขาได้อีก ต่อให้องค์หญิงจิ้งเจียงหลี่หันโยวเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาชี้แนะเขา ก็น่ากลัวว่าเขาคงกลายเป็นเพียงตัวหมาก หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ตอนแรกตนคงมิเห็นด้วยให้ย้ายเขากลับมาที่เมืองหลวง เขาเก็บกลั้นความโกรธแล้วเอ่ยว่า “เจ้าลูกไม่รักดี จวนยงอ๋อง เจ้าหาเรื่องไหวหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนบนรถม้าของเจียงซือหม่าไม่แน่ว่าจะเป็นกบฏ แต่ต่อให้มีเรื่องเช่นนี้จริงก็ผลัดไม่ถึงตาเจ้าสอดมือเข้าไปยุ่ง”
ฉินชิงเอ่ยอึกอัก “แต่นั่นเป็นเรื่องจริง ท่านพ่อมิได้เคยบอกว่าเป็นผู้บัญชากองทหารราชองครักษ์ต้องสุจริตเที่ยงธรรม มิหวาดกลัวอำนาจหรือ”
ฉินอี๋เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าให้เจ้าสุจริตเที่ยงธรรม มิหวาดกลัวอำนาจ เพราะต้องการให้เจ้าปกป้องผู้บริสุทธิ์ อย่าไปเป็นผีนำทางเสือร้าย แต่มิใช่ให้เจ้าไปสร้างความลำบากให้ยงอ๋อง วันนี้ผู้ใดมิรู้บ้างว่ายงอ๋องคุณงามความดีมากล้นจนรัชทายาทหวาดกลัว ระหว่างพวกเขาพี่น้องทะเลาะกัน พวกเราเป็นขุนนาง ทำได้เพียงนิ่งเฉยดูอยู่ด้านข้าง
นับแต่โบราณ การแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทมิอาจแยกแยะดีชั่ว ขอเพียงพวกเขาไม่ทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ขุนนางตัวเล็กๆ อย่างเจ้าเข้าไปยุ่งอันใดด้วย เจ้าเรียกร้องความยุติธรรมให้สหายรักขององค์หญิงจิ้งเจียงจนสร้างความลำบากให้เผยอวิ๋นยังพอทำเนา ถึงเผยอวิ๋นจะไม่ได้ทำผิดอันใดก็เถอะ แต่เจ้ามิสมควรสร้างความลำบากให้ยงอ๋องอย่างเปิดเผย ไม่ต้องพูดถึงว่าวันนั้นในรถม้าอาจมีคนที่ไม่สะดวกให้เจ้าพบ ต่อให้ไม่มี หากพวกเขาปล่อยให้เจ้าค้นรถม้าอย่างว่าง่าย ไฉนมิใช่จวนยงอ๋องเสียหน้าหมดสิ้น ถึงเวลาต่อให้ยงอ๋องใจกว้างอีกเท่าใดก็มิอาจละเว้นความไร้มารยาทของเจ้า”
ฉินชิงก็มิใช่คนโง่เขลา เมื่อฟังถึงตรงนี้ ใบหน้าก็แดงก่ำ มิรู้ว่าสมควรพูดอันใด ฉินอี๋ถอนหายใจเอ่ยว่า “ยิ่งไปกว่านั้น บางเรื่องก็มิได้เรียบง่ายดังที่เห็นภายนอก เจ้าคิดว่าคนผู้นั้นเป็นกบฏ แต่กลับลืมเลือนแล้วว่าเขาเป็นพระญาติทางสายเลือดกับฝ่าบาท หากเจ้ารายงานขึ้นไป จะให้ฝ่าบาทจัดการหรือไม่จัดการเล่า เรื่องเหล่านี้เจ้าจะสอดมือเข้าไปยุ่งส่งเดชได้เช่นไร เอาเถิด ข้าไม่ต่อว่าเจ้าแล้ว ไปโถงบรรพบุรุษสำนึกความผิดให้ดี เชื่อฟังคำพูดภรรยาไปเสียหมดได้อย่างไร เหอะ”
เวลานี้ ด้านนอกประตูก็มีคนตะโกนบอก “พี่ใหญ่ฉิน ฝ่าบาทมีพระราชโองการลงมาแล้ว”
ฉินอี๋ชะงักเล็กน้อยแล้วถามว่า “พระราชโองการอันใด”
คนผู้นั้นผลักประตูเข้ามา เว่ยกั๋วกงเฉิงซูนั่นเอง เขาเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ฝ่าบาทมีพระราชโองการว่า หลายวันก่อนรัชทายาทมารักษาอาการประชวรในวัง วันนี้หายดีแล้วจึงให้กลับไปพักรักษาตัวที่จวน มิต้องดูแลราชกิจที่ตำหนักบูรพาชั่วคราว ครั้งนี้ยงอ๋องมีความดีความชอบโดดเด่น เดิมสมควรพระราชทานรางวัล แต่พระราชทานราชานุญาตตามคำขอ บริจาครางวัลช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน อีกเรื่องหนึ่ง วันพรุ่งนี้ให้ฉีอ๋องออกจากเมืองหลวง เป็นตัวแทนจักรพรรดิตรวจตราชายแดน ป้องกันเป่ยฮั่นรุกราน”
ฉินอี๋ตรึกตรองอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ของฝ่าบาทช่างชวนให้คนขบคิดเสียจริง”