ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 35 องค์หญิงถวายคำปรึกษา (1)
เดือนหกวันที่สิบเก้า เกาจู่ออกราชโองการให้ลี่อ๋องกลับจวน ทว่ามิให้จัดการงานราชกิจ ลี่อ๋องหวาดหวั่นวิตก
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติลี่อ๋อง
หลี่หยวนออกพระราชโองการรวดเร็วเช่นนี้ย่อมทำให้ทุกคนประหลาดใจ แต่พวกเขาเพียงคิดกันว่าเขาคงวางแผนไว้ก่อนแล้ว ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าพระราชโองการฉบับนี้ร่างขึ้นภายในชั่วข้ามคืน
วันนั้นหลังพวกยงอ๋องออกไป หลี่หยวนก็กลัดกลุ้ม ก่อนหน้านี้หากเขามีเรื่องยุ่งยากมิอาจตัดสินใจก็มักปรึกษาขุนนางตำแหน่งสำคัญของตน แต่ปัญหาในวันนี้ไม่เหมือนกัน เหวยกวนเป็นกลางมาตลอดย่อมมิกล่าวอันใด ฉินอี๋กับเฉิงซูล้วนเป็นทหาร ยามปกติพวกเขาจึงมิยินดีสอดมือเข้ามายุ่งกับการปกครอง เจิ้งเสีย เฮ้อ เจิ้งเสียเป็นคนเที่ยงตรง เรื่องใดล้วนพิจารณาอย่างเป็นธรรม น่าเสียดายวันนี้เขาบาดเจ็บหนัก เป็นที่ปรึกษาให้มิได้
คิดไปคิดมาก็มีเพียงจี้กุ้ยเฟยที่ปรึกษาได้ แต่หลี่หยวนมิยินดีไปหานาง หากเป็นก่อนหน้านี้ที่หลี่หยวนตั้งใจให้รัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ แผนการที่จี้กุ้ยเฟยเสนอย่อมมีประโยชน์ แต่ยามนี้เขาผิดหวังในตัวรัชทายาทอย่างยิ่ง ทว่าท่าทีของสำนักเฟิงอี้กลับชัดเจนมาก ได้ยินว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้เดินทางมาถึงฉางอันด้วยตนเอง แม้ยังมิได้มาพบตน แต่ดูจากการกระทำของนางก็ทราบแล้วว่านางยังสนับสนุนรัชทายาทอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่าทีของจี้กุ้ยเฟยย่อมถูกกำหนดไว้แล้ว ยามนี้หลี่หยวนหวังเพียงว่าจะมีผู้ใดสักคนที่ไม่มีเจตนาแอบแฝงมาหารือเรื่องนี้กับตน
หลี่หยวนครุ่นคิดซ้ำไปมาก็กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงว่าผู้คนในวังหลังทุกคนล้วนเกี่ยวพันกับราชสำนัก มีเพียงจ่างซุนกุ้ยเฟยที่ไม่ปรารถนาสิ่งใด มิสู้ไปฆ่าเวลาที่ตำหนักของนางเถิด เขามองดูสีของท้องฟ้าแล้วตัดสินใจไม่ส่งคนไปแจ้งล่วงหน้า แต่ดำเนินไปยังตำหนักฉางชุนที่ประทับของจ่างซุนกุ้ยเฟยทันที
เมื่อเสด็จเข้าไปในตำหนักฉางชุน หัวหน้าขันทีของตำหนักฉางชุนพลันรีบเข้ามาโขกศีรษะคารวะ แล้วแจ้งว่าพระสนมกับองค์หญิงกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ด้านในตำหนัก หลี่หยวนเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ยังไม่ทันจะเดินผ่านประตูสวนก็ได้ยินเสียงหัวเราะสุขสันต์ ความกลัดกลุ้มในหัวใจลดทอนลงอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นจ่างซุนกุ้ยเฟยนั่งอยู่ในศาลา องค์หญิงฉางเล่อสวมชุดชนต่างเผ่าทางเหนือ กำลังเล่นชู่จวีเป็นเพื่อนโหรวหลันตรงที่ว่างพร้อมกับนางข้าหลวงอีกสองนาง แม้โหรวหลันจะอายุน้อยแต่ว่องไวยิ่งนัก นางวิ่งไล่ตามลูกหนังไปทั่วทุกแห่ง ยิ่งเมื่อทุกคนยอมให้ก็เตะได้ไม่เลว เพียงได้เห็นความสดใสไร้เดียงสาของนาง ก็ทำให้ความทุกข์ในใจมลายหายไปสิ้น
เวลานี้ขันทีจึงประกาศเสียงดัง “ฝ่าบาทเสด็จ”
ทุกคนได้ยินก็รีบเข้ามารับเสด็จ หลี่หยวนแย้มยิ้มตรัสว่า “ข้าเพียงแวะมาเท่านั้น พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี” ตรัสพลางก้าวเข้าไปอุ้มโหรวหลันที่ดวงหน้าน้อยแดงก่ำแล้วถามว่า “โหรวหลันน้อยเตะเก่งยิ่งนัก วันนี้เหตุใดมีเวลาว่างเข้าวังได้เล่า ทุกทีท่านอาฉางเล่อของเจ้าต้องออกปากเชิญเองจึงจะยอมเข้าวังมามิใช่หรือ”
ดวงตาโตของโหลวหลันพลันทอประกาย เอ่ยเสียงอ้อแอ้ “ท่านปู่ฝ่าบาท โหรวหลันก็อยากมาพบท่านอาองค์หญิงกับท่านปู่ฝ่าบาท แต่พวกเขาล้วนบอกว่าหากหลันหลันมาพบท่านอาองค์หญิงบ่อยๆ จะมีคนโกรธท่านอา หลันหลันเลยไม่กล้ามา”
หลี่หยวนบันดาลโทสะในใจอย่างมิอาจห้าม เขาย่อมเข้าใจความหมายของโหรวหลัน มีคนกังวลว่าองค์หญิงฉางเล่อกับจวนยงอ๋องจะใกล้ชิดกันเกินไป สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาทำองค์หญิงฉางเล่อตกใจนัก รีบเข้ามาเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ โหรวหลันมิรู้ความ ท่านอย่าถือโทษเลย”
หลี่หยวนถอนหายใจโบกมือไล่นางข้าหลวงกับขันทีออกไป องค์หญิงฉางเล่อรีบให้ลี่ว์เอ๋ออุ้มโหรวหลันออกไป ส่วนเหลิ่งชวนก็ทราบว่าพวกเขาต้องการสนทนาอย่างเป็นส่วนตัวจึงถอยออกไปอยู่ไกลๆ หลี่หยวนเอ่ยราบเรียบ “ฉางเล่อ ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ พี่ชายเหล่านี้ของเจ้าไม่ได้เรื่องยังไม่พอ ยังจะลากเจ้าเข้าไปพัวพันด้วยอีก”
องค์หญิงฉางเล่อรีบแย้มรอยยิ้มตอบ “เสด็จพ่อ พวกเสด็จพี่รองเพียงกังวลเกินไปเท่านั้น ความจริงก็มิได้มีผู้ใดพานโกรธลูกด้วยเรื่องนี้”
จ่างซุนกุ้ยเฟยก็เอ่ยบ้าง “ใช่แล้วเพคะฝ่าบาท เจินเอ๋อร์เป็นพระธิดาสุดรักของท่าน ผู้ใดจะกล้าทำให้นางลำบาก”
หลี่หยวนถอนหายใจตอบว่า “เฮ้อ ข้าผิดหวังกับรัชทายาทยิ่งนัก แต่เรื่องการปลดตำแหน่งนี้ไยจะตัดสินใจได้ง่ายๆ ยามนี้ขุนนางใหญ่ทั้งหลายในราชสำนัก หากไม่หวังปกป้องรัชทายาทเพื่อเอาหน้ากับรัชทายาท ก็คิดจะให้แต่งตั้งยงอ๋องเป็นรัชทายาท ข้าเองก็จัดการยากยิ่ง”
ดวงตาจ่างซุนกุ้ยเฟยฉายความกลัดกลุ้ม แม้ตลอดมานางมิยุ่งกับเรื่องบ้านเมือง แต่ก็ทราบสถานการณ์ในปัจจุบัน หากว่าตามใจจริงของนาง มิว่าผู้ใดจะสืบบัลลังก์ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางมากนัก แม้เพราะเกาซื่อพระชายาของยงอ๋องจะทำให้นางรู้สึกดีต่อยงอ๋องเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่พอให้นางสนับสนุนยงอ๋อง ยามนี้ฝ่าบาทเอ่ยถึงเรื่องนี้กับตน หากตนเอ่ยวาจาไม่สมควรอันใดออกไป เกรงว่าวันนี้พูด วันพรุ่งคงมีคนล่วงรู้ นับจากวันนี้ไปตนเองคงยากจะอยู่อย่างสงบสุข ด้วยเหตุนี้นางจึงทำได้เพียงกล่าวเลี่ยงประเด็น “ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องกลัดกลุ้ม ขุนนางเหล่านี้ความคิดเห็นต่างกันก็เป็นเรื่องธรรมดา ตำแหน่งรัชทายาทนี้ย่อมขึ้นอยู่กับท่านผู้เดียว”
แม้หลี่หยวนฟังแล้วรู้สึกว่าไม่มีประเด็นอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกสบายใจ อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “แม้เป็นเช่นนั้น ข้าก็ยังตัดสินใจยากว่าจะรุกหรือถอย แม้รัชทายาทไม่ดี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นรัชทายาทมาหลายปี แม้ยงอ๋องดี แต่จิตใจทะเยอทะยานมากเกินไป ข้ารู้ซึ้งว่าการก่อตั้งแคว้นไม่ง่าย กังวลนักว่าเขาจะใจร้อนสร้างผลงานเห็นแก่ผลประโยชน์จนทำลายแว่นแคว้นของตน”
จ่างซุนกุ้ยเฟยทำท่าจะเอ่ยแต่ก็หยุดกลางคัน แม้ปลื้มใจที่หลี่หยวนเชื่อถือตนเองเพียงนี้ แต่พระสนมวังหลังยุ่งเกี่ยวการเมือง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ก่อเภทภัยตามมามิหมดสิ้น
หลี่หยวนเองรู้ว่านางลำบากใจ เดิมทีเขาก็ไม่หวังว่าจ่างซุนกุ้ยเฟยจะให้ความเห็นอันใดแก่เขา เพียงต้องการบ่นระบายก็เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ถามมากมาย เพียงระบายเรื่องที่ตนกลัดกลุ้มออกมา หวังจะให้สบายใจเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่าพูดไปๆ ก็เห็นองค์หญิงฉางเล่อทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ฉางเล่อ เจ้ามีความคิดอันใดหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยปากว่า “เสด็จพ่อ แม้ลูกมิเข้าใจเรื่องสำคัญของบ้านเมือง แต่กลับคิดว่ามิว่าในพระทัยเสด็จพ่อจะคิดเห็นเช่นไรก็สมควรทำให้สถานการณ์มั่นคงก่อนค่อยว่ากัน ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจเช่นไร วันหน้าย่อมค่อยๆ จัดการได้ แต่หากแขวนอยู่กลางอากาศเช่นนี้ มิเพียงรัชทายาทจะวิตก เสด็จพี่รองก็กลัดกลุ้ม แม้แต่ขุนนางบุ๋นบู๊ก็กระสับกระส่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ กังวลว่าจะมองทิศทางลมผิดไป”
หลี่หยวนฉุกใจคิด ในใจคิดว่าฉางเล่อพูดมีเหตุผลยิ่งนัก ข้ารีรอไม่ตัดสินใจเช่นนี้ รัชทายาทจะต้องกังวลว่าจะรักษาตำแหน่งรัชทายาทไว้ไม่ได้ ในใจเกิดความแค้น ส่วนในใจยงอ๋องย่อมเกิดความหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายหากมิสมดังใจหวัง ทั้งสองฝ่ายย่อมล้วนไม่พอใจ หากตอนนี้ตนปลอบประโลมพวกเขาลงชั่วคราว หลังจากตัดสินใจได้แล้วค่อยจัดการช้าๆ ภายหลัง ไยมิใช่รอมชอมได้ทั้งสองฝ่าย เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็ลุกขึ้นอย่างดีอกดีใจ ตรัสว่า “ฉางเล่อพูดไม่ผิด เอาละ ข้าต้องไปร่างพระราชโองการ พวกเจ้าตามสบายเถิด” หลี่หยวนตรัสพลางดำเนินกลับห้องทรงพระอักษร ออกพระราชโองการโดยมิให้เหล่าขุนนางเสนอความเห็น แล้วประกาศพระราชโองการรวดเร็วดุจสายฟ้า
พระราชโองการฉบับนี้ประกาศออกมา ทุกฝ่ายล้วนยินดียิ่งนัก รัชทายาทย่อมปลื้มปิติ ยามเขาโขกศีรษะคารวะขอบพระทัยเสด็จพ่อ ซาบซึ้งจนน้ำหูน้ำตาไหล แทบจะสาบานต่อสวรรค์รับประกันกับหลี่หยวนว่าจะกลับตัวกลับใจ ฉีอ๋องก็ยินดีอยู่ในใจ ปีสองปีนี้เขาแทบจะถูกกักอยู่ในเมืองหลวง ยามปกตินอกจากเที่ยวหอนางโลมก็ทำได้แต่ฝึกเหยี่ยวฝึกสุนัข ปรารถนาจะกลับชายแดนไปทำสงครามตั้งนานแล้ว ยามนี้มีโอกาสย่อมดีใจอย่างยิ่ง แทบจะทันทีที่พระราชโองการประกาศออกมา ฉีอ๋องไม่เสียเวลาแม้แต่จะเอ่ยกับรัชทายาทสักคำก็ผลุนผลันออกจากเมืองหลวงไปแล้ว นี่ย่อมทำให้รัชทายาทชิงชังจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
นอกเหนือคนเหล่านี้ ยงอ๋องผู้มีโอกาสผลักดันการปลดรัชทายาทให้ตนเองก้าวขึ้นตำแหน่งรัชทายาทแทน ตามหลักแล้วสมควรทุกข์ใจอย่างมิอาจเลี่ยง ทว่าในความเป็นจริงหลายวันนี้ยงอ๋องกลับมีท่าทางสบายอกสบายใจ ผู้ที่เดินทางไปแสดงความยินดีกับรัชทายาทเป็นคนแรกก็คือเขา แน่นอนเหตุผลคือไปแสดงความยินดีที่รัชทายาทหายจากการประชวร หลังจากนั้นจึงเดินทางไปส่งฉีอ๋องกลับชายแดนด้วยตนเอง แล้วยังไปเยี่ยมเยียนเจิ้งเสียที่บาดเจ็บ ทุกวันยุ่งยิ่งนัก แม้ใบหน้าเขาจะนิ่งสงบ แต่ดูจากสีหน้าของเขากลับมองไม่เห็นสีหน้ายินดีแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงคาดเดาว่าความจริงเขาคงขุ่นเคืองอยู่บ้าง พวกเขาต่างชื่นชมความใจกว้างและน้ำพระทัยอันกว้างขวางของยงอ๋อง ทุกคนมิรู้เลยว่าหากหลี่จื้อมิได้เสแสร้งยามอยู่ข้างนอก น่ากลัวว่าคงดีใจจนหน้าบาน
หลังจากได้รับพระราชโองการของหลี่หยวน เดิมทีหลี่จื้อหม่นหมอง คิดว่าเสด็จพ่อลำเอียงรักรัชทายาท ผู้ใดจะคิดว่าพอก้าวเข้าไปในสวนเหมันต์ เจียงเจ๋อกลับเอ่ยแสดงความยินดีกับเขา หลี่จื้อเอ่ยอย่างทุกข์ใจ “สุยอวิ๋น ตอนนี้ความลำเอียงของเสด็จพ่อปรากฏชัด ท่านยังจะยินดีอันใดเล่า”
เจียงเจ๋อหัวเราะ “องค์ชายเป็นผู้ตกอยู่ในเหตุการณ์จึงมองมิกระจ่าง ยามนี้ฝ่าบาทผิดหวังกับรัชทายาทอย่างยิ่งแล้ว หากฝ่าบาทสั่งสอนรัชทายาทเป็นการลับสักครั้ง ย่อมแสดงว่าฝ่าบาทยังมีความคาดหวังต่อรัชทายาทอยู่ แต่จากที่กระหม่อมได้ยินมา ฝ่าบาทมิได้ตักเตือนอันใด โบราณกล่าวไว้ว่ารักมากจึงใส่ใจ ยามนี้ฝ่าบาทไม่ตำหนิรัชทายาทสักนิด นี่ย่อมหมายความว่าฝ่าบาทมิทรงยินดีเสียเวลาอันใดอีกต่อไป จากความเห็นของกระหม่อม ยามนี้องค์ชายอยู่ห่างจากตำแหน่งรัชทายาทเพียงก้าวเดียวแล้ว”