ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 38 เลวทรามต่ำช้า (2)
หลี่อันมองเงาแผ่นหลังของหลี่หันโยวกับเซียวหลาน เขาเดือดดาลจนเขวี้ยงถ้วยชาแตกกระจาย แล้วเอ่ยอย่างเปี่ยมโทสะ “เส้าฟู่ ท่านคิดว่าพวกนางยังเห็นข้าอยู่ในสายตาตรงไหน หากข้ารับปากเงื่อนไขนี้ เกรงว่าคงได้แต่กลายเป็นหุ่นเชิดในมือพวกนาง”
หลู่จิ้งจงสีหน้ากลับมีสีหน้าเฉยชา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “องค์ชายมิจำเป็นต้องกังวล เรื่องนี้ยังมีช่องว่างให้แก้ไข ในเมื่อพวกนางเรียกราคาสูงเทียมฟ้า องค์ชายก็ต้องต่อรองราคาลงมาให้ติดดิน”
หลี่อันลังเลแล้วเอ่ยว่า “เส้าฟู่ วันนี้ข้าปกป้องตนเองยังยาก มิสู้เสียสละชุยซื่อกับซื่อจื่อเถอะ หากยงอ๋องได้ขึ้นครองบัลลังก์ พวกนางแม่ลูกก็คงมีแต่ความตายรออยู่ แต่ถ้าพวกเราเจรจากับสำนักเฟิงอี้ ข้าอาจปลดตำแหน่งพระชายารัชทายาท หลังจากนั้นแต่งตั้งซื่อจื่อเป็นอ๋องได้”
หลู่จิ้งจงหัวเราะหยันในใจ รัชทายาทช่างเป็นผู้ไร้หัวใจ เพียงเท่านี้ก็ทอดทิ้งภรรยากับบุตรเสียแล้ว แต่บนใบหน้าเขากลับไม่เผยท่าทีเหยียดหยามออกมา แต่เอ่ยราบเรียบว่า “แม้ตอนนี้องค์ชายจะเสียสละพระชายากับซื่อจื่อจนได้ความช่วยเหลือเต็มกำลังของสำนักเฟิงอี้ แต่หากวันหน้าแต่งตั้งชายารองหลานเป็นฮองเฮา บุตรชายของนางเป็นรัชทายาทแล้ว เมื่อนั้นเพียงองค์ชายขัดใจพวกนาง พวกนางก็จะสังหารพระองค์แล้วแต่งตั้งบุตรของชายารองหลานเป็นจักรพรรดิได้ ถึงเวลาองค์ชายจะนึกเสียใจก็เกรงว่าคงมิทันแล้ว”
หลี่อันยิ้มขมขื่น “แต่หากข้ามิตกลงก็เกรงว่ายามนี้พวกนางคงจะทอดทิ้งข้า ข้าไฉนมิกลายเป็นเชลยของยงอ๋อง”
หลู่จิ้งจงยิ้มชั่วร้าย “องค์ชายทรงคิดมากเกินไปแล้ว ยามนี้ต่อให้องค์ชายอยากสละตำแหน่งรัชทายาท สำนักเฟิงอี้ก็มิยินยอม ยงอ๋องแสดงชัดแล้วว่าไม่คิดร่วมมือกับพวกนาง หากไร้องค์ชาย พวกนางย่อมมิอาจแทรกเข้ามายุ่งกับราชสำนักอย่างถูกต้องชอบธรรมได้ ดังนั้นขอเพียงองค์ชายแข็งขืนสักหน่อย สำนักเฟิงอี้ย่อมมิกล้าสะบั้นสัมพันธ์กับท่านเด็ดขาด มิสู้ท่านปฏิเสธเรื่องนี้ แล้วบอกว่าแต่งตั้งชายารองหลานเป็นกุ้ยเฟยได้ และจะยังไม่แต่งตั้งรัชทายาทชั่วคราว หากบุตรชายของชายารองหลานความสามารถโดดเด่นก็จะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท ถ่วงเวลาออกไปก่อน รอจนองค์ชายได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พวกนางย่อมไร้ทางเลือก ถึงอย่างไรหากไม่มีองค์ชายสนับสนุน ขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้นย่อมไม่มีทางสนับสนุนสำนักเฟิงอี้ก่อกบฏ”
หลี่อันแย้มยิ้มหน้าบาน ตอบว่า “ท่านพูดไม่ผิด ถ้าเช่นนั้นข้าจะตอบชายารองหลานเช่นนี้”
หลู่จิ้งจงเอ่ยอย่างนอบน้อม “องค์ชายต้องไปปลอบประโลมพระชายาด้วยจึงจะดี หากเรื่องนี้พระชายาทรงทราบเข้า เกรงว่าจะกังวลมาก”
หลี่อันพยักหน้าตอบ “ท่านวางใจเถิด จริงสิ ขุนนางที่ตำหนักบูรพามาเข้าพบแล้วใช่หรือไม่”
หลู่จิ้งจงหัวเราะ “มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้องค์ชายมิอาจจัดการราชกิจได้ชั่วคราว แต่ก็สมควรเลือกขุนนางเหล่านี้ให้ดี เช่นนี้ผู้คนจึงจะมองไม่ออกว่าฝ่าบาทเริ่มไม่พอใจท่านแล้ว”
หลี่อันพยักหน้า ตอบว่า “เรื่องเหล่านี้ ท่านจัดการเถิด ข้าจะแวะไปหาพระชายากับซื่อจื่อสักหน่อย ช่วงนี้ทำให้นางหวาดหวั่นแล้ว”
หลี่อันเพิ่งเดินมาถึงเรือนด้านหลังก็เห็นหญิงสาวจับกลุ่มเดินออกมาจากด้านใน สตรีเหล่านี้ล้วนมีสาวใช้กับหญิงรับใช้อยู่ข้างตัว เมื่อเห็นหลี่อันพลันคารวะตามมารยาท หญิงรับใช้ข้างกายพระชายาคนหนึ่งก้าวเข้ามาอธิบาย “องค์ชาย พวกนางคือภรรยาของขุนนางใหม่ที่คัดเลือกเข้ามาในตำหนักบูรพา เดินทางมาคารวะพระชายาเพคะ”
หลี่อันพยักหน้าเอ่ยว่า “เช่นนี้เอง” เขาไม่พูดพร่ำ กำลังจะไปพบหน้าพระชายา ทว่าเพิ่งเดินไปได้สองสามก้าวก็เห็นหญิงสาวสวมอาภรณ์ประจำยศผู้หนึ่งหน้าตางามวิไล ท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก ในใจหลี่อันอดบังเกิดความหลงใหลไม่ได้ สตรีนางนี้ เขาย่อมรู้จัก แต่ยามนั้นเขาลุ่มหลงฉุนผินจึงมิได้ลงมือกับนาง ครั้งนี้ยามเลือกขุนนางตำหนักบูรพา เขาเห็นชื่อเซ่าเยี่ยนก็วงเลือกไว้โดยไม่รู้ตัว แม้ยามนั้นมิได้มีความคิดชัดเจน แต่ก็มีความคิดว่าดึงพวกเขาสามีภรรยามาไว้ข้างตัว จะได้ลงมือง่ายหน่อย คิดไม่ถึงว่าเร็วเพียงนี้ก็ได้พบฮั่วซื่อแล้ว ครึ่งปีมินานนัก นางคงจะงามสง่าขึ้นอีก โดยเฉพาะกิริยาอ่อนโยนดุจสายน้ำเช่นนั้น ทำให้คนเห็นแล้วทั้งรักทั้งเอ็นดู หลี่อันจงใจหยุดยืนมองดูสตรีผู้มียศเหล่านี้จากไป ในดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง หากเซี่ยจินอี้อยู่ที่นี่คงล่วงรู้ความต้องการของเขาทันที แต่ยามนี้มิมีผู้ใดช่วยจัดการให้เขาแล้ว
หลี่อันปลอบประโลมพระชายาอย่างลวกๆ สองสามประโยคก็กลับมาถึงห้องหนังสือ เวลานี้ ณ ที่แห่งนี้เหลือเขาเพียงลำพัง เขาคิดว่าตนยังมิสมควรลงมือ ยามนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ แต่ครุ่นคิดอีกครั้ง ความจริงจะวางแผนชิงบัลลังก์เช่นไรมิจำเป็นต้องให้เขาออกแรงสักนิด สำนักเฟิงอี้กับหลู่จิ้งจงย่อมวางแผนทุกอย่าง ตนเองเพียงทำตามก็พอ เรื่องเช่นนี้ไม่มีผู้ใดชำนาญยิ่งกว่าพวกเขาแล้ว ถ้าเช่นนั้นตนเองก็น่าจะหาความบันเทิงเริงใจชดเชยกับความหวาดหวั่นขวัญผวาช่วงที่ผ่านมาได้ใช่หรือไม่
ความคิดต่อสู้กันในใจซ้ำไปมาอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดหลี่อันก็อดทนมิไหว ช่วงที่ผ่านมาทั้งถือศีล ทั้งถูกกักบริเวณ เขากลัดกลุ้มมากนัก พอกลับมาถึงจวนอ๋อง แม้มีนักร้องนางรำ แต่เขากลับมิสนใจสักนิด การปล่อยใจกำเริบเสิบสานหนึ่งปีที่ผ่านมาทำให้เขาหมดความสนใจกับสตรีที่ก้มหน้าลงก็หาเจอเหล่านั้น ในใจหลี่อันคาดคะเนว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากหรือไม่ ผ่านไปพักใหญ่เขาก็นึกได้ว่าก่อนหน้านี้ฉุนผินก็ไม่ยินยอมเหมือนกันมิใช่หรือ แต่หลังจากตนข่มขู่กับเอาผลประโยชน์เข้าล่อก็ยอม ขอเพียงตนสัญญาว่าจะให้สามีนางเลื่อนขั้นเลื่อนยศ ยังต้องกลัวสตรีนางนี้ไม่ยินยอมอีกหรือ อีกประการ นางเป็นแค่ภรรยาของขุนนางคนหนึ่ง ต่อให้เสด็จพ่อทราบเข้าก็คงไม่ถึงขั้นพิโรธนักกระมัง
วันต่อมา ฮั่วซื่อได้รับเทียบเชิญจากพระชายารัชทายาทเชิญให้นางเข้ามาพบที่จวน นางไม่รู้สึกว่าแปลก เมื่อวานนางเข้าเฝ้าพระชายารัชทายาทที่จวนรัชทายาทก็รู้สึกได้ว่าพระชายาอารมณ์ไม่ดียิ่งนัก ว่ากันว่านอกจากเพราะเรื่องรัชทายาทแล้ว ยังเป็นเพราะหญิงรับใช้ที่นางเอ็นดูคนหนึ่งตายจากไป พระชายาเป็นมิตรกับฮั่วซื่อยิ่ง อีกทั้งยังชื่นชมงานปักที่ฮั่วซื่อถวายพระชายาอย่างยิ่ง ดังนั้นฮั่วซื่อจึงไม่รู้สึกประหลาดใจ ยิ่งไปกว่านั้น สามีของตนก็เป็นซื่อตู๋แห่งตำหนักบูรพา หากตนได้รับความโปรดปรานจากพระชายารัชทายาท ถ้าเช่นนั้นย่อมไม่มีผลเสียใดต่อสามี ดังนั้นฮั่วซื่อจึงเดินทางไปอย่างเบิกบานใจ
นางข้าหลวงหลายคนนำทางฮั่วซื่อเข้ามายังหอวิจิตรหลังหนึ่ง ในใจนางรู้สึกว่าประหลาดอยู่บ้าง เหตุใดที่แห่งนี้จึงมิเหมือนตำหนักบรรทมของพระชายา แม้วิจิตรงดงามแต่กลับขาดลักษณะบางอย่าง เมื่อเดินเข้ามาในโถงชมบุปผา ฮั่วซื่อพลันตระหนกจนหลุดเสียงร้อง นี่เป็นห้องบรรทมอันงดงามอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง บนพื้นปูพรมหนา รอบด้านมีข้าวของประดับหรูหรา มุมหนึ่งของห้องมีเตียงกว้างหลังหนึ่ง รอบด้านแขวนผ้าม่านโปร่งสีชมพูไว้ บนกำแพงรอบด้านแขวนภาพยามร่วมอภิรมย์อันประณีตงดงาม ฮุ่ยซื่อเพียงมองปราดเดียวก็มิกล้ามองอีก ในใจนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขณะที่กำลังจะถอยออกไปก็เห็นประตูห้องมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ ฮั่วซื่อจำได้ว่าคนผู้นั้นคือองค์รัชทายาท หัวใจหวาดผวา เรื่องราวขององค์รัชทายาท แม้มิได้เล่าลือแพร่สะพัด แต่นางก็รู้ข่าวมาบ้าง นางฝืนข่มความหวาดกลัวเอ่ยว่า “หม่อมฉันเข้าใจผิดบุกรุกเข้ามายังที่แห่งนี้ ขอองค์ชายโปรดอภัยด้วย”
หลี่อันแย้มรอยยิ้มคลุมเครือ “ข้าส่งคนเชิญเจ้ามาเอง เหตุใดจะไม่ให้อภัยเล่า”
ฮั่วซื่อตกใจยิ่งนัก “องค์ชาย นี่เป็นเรื่องผิดจารีต” พูดพลางก็วิ่งออกไปด้านนอก แต่กลับถูกหลี่อันรวบตัวเอาไว้ หลี่อันเคยฝึกปรือวรยุทธ์ จึงกอดเอวอุ้มนางขึ้นมาได้ง่ายดายดุจยกฝ่ามือ ฮั่วซื่อยังคงดิ้นรน ทันใดนั้นหลี่อันก็เอ่ยอย่างชั่วร้าย “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะส่งคนไปสังหารสามีของเจ้าเสียเดี๋ยวนี้” ฮั่วซื่อมือไม้อ่อน ดวงตาฉายแววหวาดหวั่นเศร้าสลด หลี่อันเอ่ยเสียงเย็นชา “หากเจ้ายอมโดยดี เช่นนั้นสามีของเจ้าจะได้ก้าวเหยียบเมฆ”
จิตใจฮั่วซื่อพ่ายแพ้ หลี่อันฉวยโอกาสลากนางไปบนเตียง ผ้าม่านสีชมพูทอดตัวลงมา เสียงร่ำไห้แผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากด้านใน
บ่ายวันต่อมา ระหว่างที่ฮั่วซื่อขึ้นเกี้ยวกลับบ้าน ดวงตาคู่หนึ่งฉวยจังหวะสั้นๆ ที่ฮั่วซื่อเข้าออกมองสำรวจจนเห็นชัดเจน แววตาทอประกายไร้หัวใจ
ไม่นานหลังจากนั้น ต่งเชวียก็กลับไปยังสวนเหมันต์ หลังจากถอดเครื่องปลอมตัวที่ใช้ปกปิดตัวตนแล้วจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “รัชทายาทลงมือแล้ว”
ข้าสะบัดพัดแผ่วเบาแล้วเอ่ยถาม “แน่ใจหรือ”
ต่งเชวียเผยรอยยิ้มจาง “เรื่องเช่นนี้มิมีผู้ใดรู้ดียิ่งกว่าข้า สตรีนางนี้ถูกรัชทายาทย่ำยีจนสาแก่ใจแล้วแน่นอน”
ข้าขยับยิ้ม “จุดนี้ข้าย่อมเชื่อความเห็นของเจ้า เจ้าคิดว่าฮั่วซื่อจะเป็นเช่นไร”
ต่งเชวียเผยสีหน้าสงสารออกมาเลือนราง “จากนิสัยของรัชทายาทคงมิเบื่อหน่ายไปสักระยะ ดังนั้นต่อให้ฮั่วซื่อต้องการฆ่าตัวตายก็คงเป็นไปมิได้ ข้าเห็นสีหน้าของนางทุกข์ระทม แต่ไม่มีความตั้งใจจะตาย ข้าคิดว่าตอนนี้นางคงไม่คิดสั้น แล้วฮั่วซื่อผู้นี้ก็ดูท่าจะมิใช่สตรีผู้มิยอมจำนนต่ออำนาจ”
ข้าถามเรียบๆ “เจ้าคิดว่านางจะบอกสามีหรือไม่”
ต่งเชวียส่ายศีรษะเอ่ยว่า “เรื่องเช่นนี้ ในเวลาสั้นๆ นางไม่มีทางบอก นอกจากนี้ เซ่าฮั่นหลินก็เป็นบัณฑิตที่ค่อนข้างหัวโบราณ ยากนักจะอภัยเรื่องเช่นนี้ ข้าคิดว่า นางคงไม่โง่เขลาเพียงนั้น”
ข้าถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “ความจริงข้าเตือนสตรีผู้นี้ให้ระวังตัวได้”
ต่งเชวียเอ่ยอย่างเย็นชา “คุณชาย ความเมตตาเช่นนี้ไร้ประโยชน์ แม้ท่านจะเตือนพวกเขาสองสามีภรรยา พวกเขาก็จะคิดเพียงว่าท่านใส่ร้ายรัชทายาท แล้วยังจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นอีก”
ข้ายิ้มขมปร่า เอ่ยว่า “เหตุผลนี่ ข้ารู้ดี ดังนั้นข้าจึงนิ่งดูดายโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ต่งเชวีย ตอนนี้ข้าเพิ่งตระหนักว่าภารกิจที่มอบให้เจ้าก่อนหน้านี้โหดร้ายเกินไปจริงๆ”
ต่งเชวียเงียบงันอยู่เนิ่นนานก่อนจะตอบว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสมัครใจเอง ผู้ที่ทำเรื่องเช่นนี้ลงไปคือรัชทายาท เกี่ยวอันใดกับพวกเราเล่า”