ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 41 แผนการของสำนักเฟิงอี้ (1)
ภายในวัดซีสยา เมื่อสตรีผู้งามล้ำเลิศมิเป็นรองใครผู้นั้นรายงานสิ่งที่ตนเห็นกับเจ้าสำนักเฟิงอี้ เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็เอ่ยอย่างเฉยชา “ฉีอ๋องยากจะควบคุม เรื่องนี้ข้ารู้มานานแล้ว หากมิใช่ว่าเขาไร้โอกาสสืบทอดบัลลังก์ ข้าก็คงไม่ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ แต่วันนี้ เขากลับลอบพบยงอ๋องในเวลานี้ อู๋ซวง เจ้าคิดว่าฉีอ๋องจะหันไปเข้ากับยงอ๋องตอนนี้ได้หรือไม่”
เยี่ยนอู๋ซวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ศิษย์คิดว่าฉีอ๋องคงจะไม่เข้าฝ่ายยงอ๋องอย่างสิ้นเชิง ไม่มีผู้ทรยศคนใดได้รับความเชื่อถือและเชื่อใจอย่างแท้จริง ต่อให้ฉีอ๋องยอมสวามิภักดิ์ต่อยงอ๋องตอนนี้ก็ทำได้เพียงรักษาชีวิตหลังยงอ๋องได้ชัยชนะเท่านั้น หากฉีอ๋องปกป้องรัชทายาทจนขึ้นครองราชย์ ถ้าเช่นนั้นวันหน้าย่อมอยู่เหนือคนนับหมื่น อยู่ใต้คนคนเดียว เหตุผลประการนี้ฉีอ๋องไม่มีทางไม่เข้าใจ ท่านอาจารย์ ให้ศิษย์พี่ฉินเจิงถามเจตนาของฉีอ๋องให้กระจ่างดีหรือไม่”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ส่ายหน้า เอ่ยว่า “จะแหวกหญ้าให้งูตื่นมิได้ เฮ้อ ฉินเจิงช่างเป็นศิษย์ที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในหมู่ศิษย์สายตรงของข้าจริงๆ มิเพียงไร้กำลังควบคุมฉีอ๋อง แล้วยังเสียหัวใจของตนให้ไปอีก สิ่งสำคัญที่สุดที่ข้าสั่งสอนพวกเจ้าตั้งแต่แรกก็คืออย่าได้ตกหลุมรัก หากกล่าวถึงสติปัญญา ความสามารถ หรือใจทะเยอทะยาน สตรีเช่นพวกเรามิได้ด้อยกว่าเหล่าบุรุษเท่าไร ข้อเสียเพียงประการเดียวก็คือพวกเราถูกอารมณ์อันไร้ค่าเหล่านั้นครอบงำให้สูญเสียตัวตนง่ายดายเกินไป”
เยี่ยนอู๋ซวงเอ่ยตอบ “ท่านอาจารย์กังวลเกินไปแล้ว แม้ศิษย์พี่ฉินจะควบคุมฉีอ๋องไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะฉีอ๋องมีนิสัยเป็นเอกลักษณ์ ฐานะสูงศักดิ์ หากท่านอาจารย์ตัดสินใจแล้ว ศิษย์พี่ฉินย่อมทำตามคำสั่ง คุมตัวฉีอ๋องได้แน่”
เจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยอย่างยินดีปรีดา “อู๋ซวงเป็นผู้ฉลาดเหนือใครจริงๆ ครั้งนี้อวี่เอ๋อร์ลอบสังหารแม่ทัพกุ่ยเมี่ยนสำเร็จ ส่วนเจ้าก็สืบได้ข่าวสำคัญเช่นนี้ ในใจข้าปีติยินดียิ่งนัก พวกเจ้าจงทำงานให้ดี ให้ข้าได้เห็นความพยายามของพวกเจ้า”
เยี่ยนอู๋ซวงยอบกายคำนับพลางเอ่ยว่า “ศิษย์จักไม่ทรยศความคาดหวังของอาจารย์”
เยี่ยนอู๋ซวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นอีก “อาจารย์ เรื่องนี้ต้องรายงานรัชทายาทหรือไม่”
เจ้าสำนักเฟิงอี้หัวเราะหยัน “รายงานเขาทำอันใด ให้เขาเกิดแคลงใจฉีอ๋องหรือ ยามนี้เพียงยอดหญ้าไหวรัชทายาทก็คงตระหนกแล้ว อย่าไปกระตุ้นเขาเลย ยิ่งไปกว่านั้นหากพวกเรากำจุดอ่อนนี้ไว้ วันหน้ารัชทายาทขึ้นครองราชย์ พวกเราย่อมควบคุมฉีอ๋องได้ดียิ่งขึ้น เขาก็คงรู้ว่าหากรัชทายาทล่วงรู้ว่าเขาเคยมีใจคิดทรยศจะทำอันใดกับเขา”
เยี่ยนอู๋ซวงเอ่ยอย่างนับถือ “เจ้าสำนักวางแผนการลึกล้ำ ศิษย์นับถือ แต่ศิษย์ยังมีเรื่องหนึ่งมิเข้าใจ องค์หญิงฉางเล่อมิเกี่ยวข้องกับราชสำนัก เจ้าสำนักไยต้องดึงดันบีบบังคับนางเล่า หากทำให้จักรพรรดิต้ายงมิพอใจด้วยเหตุนี้ขึ้นมา เกรงว่าจะได้มิคุ้มเสีย”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ถอนหายใจแผ่วเบา เอ่ยว่า “เรื่องนี้วันหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง แต่มีสาเหตุหนึ่งที่เจ้าต้องรู้เอาไว้ ผู้ที่อยู่ในใจองค์หญิงฉางเล่อคือผู้ใด คนผู้นั้นแม้จะเก่งกาจสามารถมิมีใครเทียม ทว่าคนเช่นนี้ล้วนเป็นผู้ที่จิตใจบอบบาง พวกเราต่างรู้ว่าเขาเคยเหนื่อยล้ากายใจจากเหตุการณ์โจมตีแคว้นสู่จนต้องพักรักษาตัวหลายปี ข้าเคยส่งคนไปสืบที่หนานฉู่ ยืนยันแล้วว่ายามนั้นสภาพของเขาวิกฤติจริงๆ มีหมอชื่อดังวินิจฉัยว่าเขาจิตใจกระทบกระเทือนจนอาการปางตายอยู่หลายวัน เรื่องครั้งก่อนในจวนยงอ๋อง ข้าก็เฝ้าจับตาอยู่ เขาบาดเจ็บที่ชีพจรหัวใจอย่างสาหัส หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเขากับองค์หญิงฉางเล่อลอบติดต่อกันคงต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันแล้วเป็นแน่ หากเวลานี้องค์หญิงฉางเล่อแต่งงานกับผู้อื่น ร่างกายเช่นเขาย่อมต้องล้มหมอนนอนเสื่อลุกไม่ขึ้นเพราะเหตุนี้ หรืออาจถึงขั้นอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้ เป็นเช่นนี้จะช่วยพวกเราได้มากเท่าใด เจ้าน่าจะรู้ดียิ่ง”
เยี่ยนอู๋ซวงดวงตาทอประกายชื่นชม “พอคนผู้นี้เข้ามาเป็นผู้ใต้บัญชาของยงอ๋อง พวกเราก็ติดขัดทุกหนทุกแห่ง แล้วยามนี้ยังมิอาจลอบสังหารอีกครั้งได้ หากกำจัดคนผู้นี้ได้ด้วยวิธีเช่นนี้ก็สมควรลองเสี่ยงดูจริงๆ”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ยิ้มเฉยชา เอ่ยว่า “ความจริงเรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องร้ายสำหรับองค์หญิงฉางเล่อ เหวยอิงนิสัยหน้าตาล้วนมิใช่ชั่ว ได้แต่งงานกับสามีเช่นนี้ สำหรับนางก็เป็นจุดจบที่ดียิ่งนักแล้ว ไยต้องอาลัยรักคนป่วยออดๆ แอดๆ อายุสั้นคนหนึ่งด้วยเล่า”
เยี่ยนอู๋ซวงเอ่ยอย่างกังวล “ได้ยินว่าองค์หญิงฉางเล่ออ่อนนอกแข็งใน มิรู้ว่าเจ้าสำนักคิดจะทำเช่นไร”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ยิ้มน้อยๆ แต่มิตอบคำ
เวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงใสกังวานดังขึ้น “รายงานเจ้าสำนัก ฉีอ๋องเข้าเมืองหลวงแล้ว รัชทายาทนำร้อยขุนนางไปต้อนรับถึงนอกเมือง”
หลังจากพิธีต้อนรับนอกเมืองอันยิ่งใหญ่อลังการ รัชทายาทเชิญหลี่เสี่ยนขึ้นรถม้าคันเดียวกันเพื่อไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ เมื่อคำเชิญนี้ออกจากปาก หลี่เสี่ยนก็ยิ้มหยันในใจ เขามิได้โง่เขลา ก่อนหน้านี้แม้รัชทายาทจะทำอันใดเขามิได้ แต่หากไม่มีเรื่องจะใช้ตน เขาก็ไม่มีทางปฏิบัติด้วยอย่างมีมารยาทเช่นนี้ ดูท่าพี่รองจะพูดไม่ผิด รัชทายาทอดรนทนรอไม่ไหวแล้ว ต้องบอกหรือไม่ว่ายงอ๋องน่าจะกำลังสร้างสถานการณ์หลอก หลี่เสี่ยนครุ่นคิดแล้วก็ตัดสินใจ หากรัชทายาทถามไถ่ตนอย่างจริงใจ เช่นนั้นตนจะไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แต่หากเขาเพียงคิดใช้ประโยชน์จากกองกำลังของตน ถ้าเช่นนั้นตนจะหุบปากไว้ก็แล้วกัน และหากเขาคิดจะบีบให้ตนนำทัพก่อกบฏ ถ้าเช่นนั้นก็คงได้แต่น้อมรับบัญชา
บนรถม้าของรัชทายาท หลี่อันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “น้องหก เจ้าก็รู้สถานการณ์ตอนนี้ ยงอ๋องไล่ต้อนเข้ามาทีละก้าว เสด็จพ่อก็ท่าทีคลุมเครือ ตำแหน่งรัชทายาทของข้ากำลังอันตราย น้องหก เจ้าเป็นคนของข้ามาเสมอ หากข้าสูญเสียตำแหน่งรัชทายาทไป ต่อให้ยงอ๋องเห็นแก่พระพักตร์เสด็จพ่อมิเพิ่มโทษให้เจ้า เจ้าก็อย่าได้วาดหวังจะได้นำทหารออกศึกอีก ถึงเวลาไม่ถูกกักบริเวณก็คงถูกปลดจากตำแหน่ง ถึงยามนั้นเกรงว่าเจ้าจะเสียใจก็สายเสียแล้ว”
หลี่เสี่ยนสีหน้าหม่นหมอง ไยเขาจะมิทราบเหตุผลประการนี้ แต่มิว่าอย่างไรตนก็มิอาจนำทหารก่อกบฏได้ ทำเช่นนั้นไฉนมิใช่ทรยศต่อความไว้วางพระทัยของเสด็จพ่อ
หลี่อันเอ่ยต่อ “น้องหก ข้าจะมิกล่าวมากความ เจ้าน่าจะเข้าใจว่ายามนี้เจ้ามิมีทางให้ถอยแล้ว หากข้าได้สืบราชบัลลังก์ ย่อมแต่งตั้งเจ้าเป็นชินอ๋องช่วยเหลืองานราชกิจ ถึงเวลาเจ้าจะอยู่ใต้คนเพียงผู้เดียว น้องหก เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
หลี่เสี่ยนเอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นพี่ใหญ่เอาสำนักเฟิงอี้ไปวางไว้ที่ใด พวกนางทุ่มกำลังช่วยเหลือเพื่อการใด พี่ใหญ่น่าจะทราบดีแก่ใจ”
หลี่อันเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกนางย่อมมีเงื่อนไขอยู่บ้าง แต่ข้าจัดการได้ น้องหก เจ้ากับข้าเป็นพี่น้อง อนาคตพวกเราร่วมมือกันย่อมมีหนทางจำกัดอำนาจสำนักเฟิงอี้”
หลี่เสี่ยนถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมทราบแล้ว องค์ชายวางใจได้ ขอเพียงเสด็จพ่อมิเปลี่ยนพระทัย กระหม่อมมิมีทางยอมให้ผู้ใดทำร้ายองค์ชายเป็นเด็ดขาด”
หลี่อันขมวดคิ้ว นี่มิใช่ผลลัพธ์ที่เขาคาดหวังไว้ สิ่งที่เขาหวังคือให้หลี่เสี่ยนเสนอว่าจะช่วยเขาก่อกบฏ เรื่องเช่นนี้มิอาจให้เขาเอ่ยปากได้ หากเอ่ยออกมาแล้วย่อมกลายเป็นภัยตามมาไม่สิ้นสุด ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของหลี่เสี่ยน ในที่สุดเขาก็ไม่ยินดีลองเสี่ยงต่อ ตอนนี้เขามิอาจบุ่มบ่ามทำตามอำเภอใจได้แล้ว
หลังจากฉีอ๋องถูกจักรพรรดิต้ายงเรียกให้เข้าเฝ้า ระหว่างที่เดินออกจากพระราชวังก็เห็นรถม้างดงามคันหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง องครักษ์คนสนิทที่อยู่ข้างกายเขาพลันกระซิบว่า “องค์ชาย พระชายามารับเสด็จด้วยองค์เอง หากท่านมิพบหน้าก็ออกจะเกินไป ทรงพบสักหน่อยเถิด”
หลี่เสี่ยนครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเดินไปถึงหน้ารถม้า หญิงรับใช้นางหนึ่งด้านในตัวรถเลิกม่านรถขึ้น เผยรอยยิ้มดั่งบุปผาของพระชายาฉีอ๋อง สีหน้าของหลี่เสี่ยนแฝงความหยอกเย้าเจ้าเล่ห์ขณะขยับยิ้มเอ่ยว่า “ที่แท้เจิงเอ๋อร์มาต้อนรับข้าที่คว้าชัยกลับมาด้วยตนเอง ช่างเป็นเกียรติจริงๆ”
ฉินเจิงหน้าแดงตอบว่า “ท่านอ๋องช่างเย้านัก” หลี่เสี่ยนหัวเราะแล้วกระโดดขึ้นไปบนรถม้า ม่านรถทิ้งตัวลงมาปิดบังเสียงหัวเราะรัญจวนด้านในตัวรถ
ส่วนหลี่อันหน้าบึ้งกลับมาถึงจวน หลังจากบอกผลลัพธ์จากการเจรจากับหลู่จิ้งจงก็รีบร้อนเอ่ยว่า “เรื่องนี้มอบให้ท่านจัดการ” แล้วกลับไปยังเรือนด้านใน ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เทียบเชิญที่พระชายารัชทายาทเชิญฮั่วซื่อฮูหยินเซ่า ภริยาซื่อตู๋แห่งตำหนักบูรพา ก็ถูกส่งออกมาจากจวน ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฮั่วซื่อผู้มีดวงหน้าเศร้าสร้อยก็เดินเข้าไปในห้องลับภายในจวนรัชทายาทที่มีไว้ให้รัชทายาทเริงโลกีย์โดยเฉพาะ น้ำตาของสตรีบริสุทธิ์ไหลรินท่ามกลางความบ้าคลั่งยามรัชทายาทระบายอารมณ์