ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 42 แผนการของสำนักเฟิงอี้ (2)
บ่ายวันนั้น เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็เข้าวังพบฮองเฮา ไม่นานหลังจากนั้นโต้วฮองเฮาก็ส่งนางข้าหลวงจ้าวซั่งกงเดินทางไปเรียกองค์หญิงฉางเล่อมาเข้าเฝ้า
องค์หญิงฉางเล่อมุ่นคิ้วงามมองจ้าวซั่งกงตรงหน้าที่มาถ่ายทอดคำสั่ง ฮองเฮามีรับสั่งให้ตนไปเข้าเฝ้า นี่มิใช่ลางดีอันใด ทั้งยังให้ซั่งกงมาด้วยตนเอง ตามระบบภายในวังของแคว้นต้ายง นอกจากหัวหน้านางข้าหลวงข้างกายฮองเฮากับกุ้ยเฟยที่เรียกขานว่าซั่งกง หัวหน้านางข้าหลวงของตำหนักอื่นที่เหลือล้วนเรียกขานว่าซั่งอี๋ นางข้าหลวงเหล่านี้มากกว่าครึ่งเป็นนางข้าหลวงที่อายุค่อนข้างมากเช่นโจวซั่งอี๋แห่งตำหนักชุ่ยหลวนของตนซึ่งเป็นหญิงรับใช้คนสนิทแต่เก่าก่อนของเสด็จแม่ ปีนี้ก็อายุสามสิบปีแล้ว
มิว่าซั่งกงหรือซั่งอี๋ล้วนมีตำแหน่งสูงยิ่งนัก งานเช่นการส่งต่อคำสั่งเช่นนี้มิจำเป็นต้องให้จ้าวซั่งกงหัวหน้านางข้าหลวงในวังหลังผู้นี้มาทำด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวซั่งกงปิดปากสนิทยิ่งนัก บอกเพียงว่าฮองเฮาเชิญองค์หญิง แต่ด้วยเรื่องอันใดกลับมิยอมบอกให้แจ้ง แม้ในใจฉางเล่อกังวล แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้งก็คิดว่ายามข้าศึกบุกแม่ทัพต้าน ยามน้ำหลากใช้ดินกั้น ตนเป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิยิ่งนัก ต่อให้เป็นฮองเฮาก็มิอาจทำอันใดตนได้ ด้วยเหตุนี้สีหน้าเด็ดเดี่ยวจึงปรากฏบนใบหน้าของนาง แล้วยิ้มละไมตอบว่า “เชิญจ้าวซั่งกงนำทาง”
จ้าวซั่งกงนำองค์หญิงฉางเล่อเดินอ้อมซ้ายอ้อมขวามาถึงห้องแห่งหนึ่ง ด้านในตกแต่งงดงามวิจิตร กระดานหมากพิณล้ำค่าวางเรียงราย ฮองเฮาสกุลโต้วกำลังเดินหมากกับสตรีผู้สวมอาภรณ์สีหิมะปกปิดใบหน้านางหนึ่ง เมื่อเห็นองค์หญิงฉางเล่อเดินเข้ามาจึงดันกระดานหมากออกแล้วเอ่ยว่า “พอแล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว ฉางเล่อมานี่ มาคารวะเจ้าสำนักเฟิงอี้”
องค์หญิงฉางเล่อสะดุ้งในใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปคารวะพลางเอ่ยว่า “ฉางเล่อคารวะเสด็จแม่ คารวะเจ้าสำนัก”
ดวงตาใสกระจ่างเย็นยะเยือกของสตรีอาภรณ์สีหิมะผู้นั้นราบเรียบมิเผยอารมรณ์ นางก้าวเข้ามาประคององค์หญิงฉางเล่อแล้วแย้มรอยยิ้มเอ่ยว่า “ครั้งก่อนที่พบกัน เจ้ายังเป็นเด็กน้อยตัวจ้อย วันนี้เป็นหญิงงามเรือนร่างระหงเสียแล้ว”
ฮองเฮาถอนหายใจ “เด็กคนนี้อาภัพ ก่อนหน้านี้ถูกเสด็จพ่อส่งไปแต่งงานที่หนานฉู่ ยามนี้ก็กลายเป็นหม้ายกลับมาบ้าน”
สตรีอาภรณ์สีหิมะขยับยิ้ม “ฉางเล่อกิริยามารยาทงามเพียบพร้อม จะเดียวดายเนิ่นนานได้เช่นไร ได้ยินว่าฝ่าบาทเลือกสามีให้เจ้าแล้ว อีกไม่นานคงรักใคร่ปรองดอง ครองคู่ให้เกียรติกัน”
ไม่ทันให้องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยคำ โต้วซื่อก็แย้มยิ้มเอ่ยว่า “ราชบุตรเขยที่เสด็จพ่อของนางเลือกให้เป็นถึงบุตรของอัครมหาเสนาบดีเหวย แม้มิได้กล่าววันเวลาตบแต่งชัดแจ้ง แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ผัดผ่อนนานไปก็คงไม่ดี ฉางเล่อ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
แม้องค์หญิงฉางเล่อเตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าในหัวใจเหน็บหนาว นางกำพัดพับที่พกติดกายไม่ห่างมานานปีแน่น คล้ายกับว่าคนผู้นั้นกำลังประคองตนเองอยู่ด้านข้าง นางยิ้มละไมเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงกังวลเกินไปแล้ว ยามนี้ฉางเล่อมีพระพุทธเป็นที่พึ่ง จิตใจดุจน้ำนิ่ง ฮองเฮามิจำเป็นต้องเปลืองพระทัย การแต่งงานครั้งนี้ฉางเล่อปฏิเสธเสด็จพ่อแล้ว”
ฮองเฮาลังเลเล็กน้อยพลางมองเจ้าสำนักเฟิงอี้ เจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยชม “ฉางเล่อพูดไม่ผิด สตรีเช่นพวกเรามิจำเป็นต้องมีสามีเคียงข้าง ฮองเฮาสงสารที่เจ้ายังเยาว์วัยอายุน้อย เจ้าต้องขบคิดให้ดี พัดเล่มนี้ของเจ้างดงามทีเดียว ให้ข้าชมได้หรือไม่”
หัวใจของฉางเล่อบีบรัด แต่ทำได้เพียงส่งพัดไปให้แล้วเอ่ยว่า “เชิญเจ้าสำนักชม”
เจ้าสำนักเฟิงอี้รับพัดมา นางมองบทกวีบนนั้นแล้วอ่านออกเสียงแผ่วเบา “‘เย็นเฉียบเปรียบปานธารา บุกบั่นแสนไกลกลับสุดมรรคา ห้วงอารมณ์มิอาจพรรณนา กลั่นเป็นภาพคงมีเพียงความโศกา’ บทกวีดี มิเสียทีเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งหนานฉู่” กล่าวจบก็ใช้สายตาเย็นยะเยือกมององค์หญิงฉางเล่อ “องค์หญิงมิยินดีแต่งงานจริงหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อรู้สึกว่าลมหายใจตนถี่กระชั้นประหนึ่งแรงกดดันดุจเขาไท่ซานโถมเข้ามาใส่ แม้นางบอบบางมาแต่ไหนแต่ไร ทว่านิสัยกลับอ่อนนอกแข็งใน เจ้าสำนักเฟิงอี้ติดขัดที่ฐานะของนางจึงใช้เพียงแรงกดดันเข้าข่มเท่านั้น ดังนั้นนางจึงทนได้
เสียงเย็นเยียบของเจ้าสำนักเฟิงอี้ดังขึ้นริมหูของนาง “องค์หญิง เหวยอิงเป็นสามีที่ฝ่าบาทใส่ใจเลือกเฟ้นมาให้ท่าน หากท่านยอมทำตามประสงค์ฟ้ากับความต้องการคน มิเพียงทั้งชีวิตของตนจะสมบูรณ์พูนสุข เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ของท่านก็จะมิต้องเป็นห่วงท่านด้วย”
องค์หญิงฉางเล่อรู้สึกว่าสติพร่าเลือน แรงกดดันอันแข็งแกร่งนั่นกำลังจะบีบให้นางเอ่ยปากตกลง ทว่าภาพบัณฑิตชุดเขียวผู้ซีดเซียวบอบบางคนนั้นพลันปรากฏขึ้นในสมองของนาง สายตานางจับจ้องบนพัด แล้วเอ่ยตอบเสียงสั่นระริก “ขอบพระคุณเจ้าสำนักที่ห่วงใย วันนี้ฉางเล่อมิมีความตั้งใจจะแต่งงานอีก แม้เหวยอิงดี แต่ข้ามิปรารถนา”
คิ้วเรียวยาวของเจ้าสำนักเฟิงอี้เลิกขึ้นเล็กน้อยพลางสะบัดพัดเบาๆ “องค์หญิงปฏิเสธความหวังดีของฝ่าบาทกับฮองเฮาเช่นนี้คงตั้งใจแน่วแน่แล้ว ข้าก็มิสะดวกเกลี้ยกล่อม” ระหว่างที่พูด ทันใดนั้นมือเรียวงามก็ออกแรง พัดพับที่ทำมาอย่างประณีตเล่มนั้นถึงกับสลายกลายเป็นผุยผง
องค์หญิงฉางเล่อเปล่งเสียงอย่างตกใจ ดวงเนตรงามมีเงาน้ำตาคลอ เจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ข้าพลั่งมือไปชั่วขณะ ทำพัดพับของท่านเสียหาย เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะมอบพัดดีๆ สักเล่มหนึ่งชดใช้ให้ท่าน”
องค์หญิงฉางเล่อรู้สึกว่าดวงหทัยมีกองเพลิงกำลังแผดเผา นางเอ่ยอย่างมีโทสะ “ไม่จำเป็น เพียงพัดเล่มเดียวเท่านั้น เจ้าสำนักมิต้องโทษตนเอง” แม้เอ่ยเช่นนี้ แต่ในดวงเนตรใสของนางกลับมีความชิงชังสลักลึกถึงกระดูกโชนฉายออกมา แม้แต่เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็รู้สึกพรั่นพรึงในใจไปชั่ววูบ
เวลานี้เอง โต้วฮองเฮาก็เอ่ยปาก “ฉางเล่อ เจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ดูเจ้าหน้าซีด คิดว่าคงเหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด”
ฉางเล่อฝืนกลั้นความเศร้าโศกเดือดดาลในหัวใจแล้วขอตัวลาตามมารยาท แต่ก้าวเท้าซวนเซเล็กน้อย ลี่ว์เอ๋อที่เมื่อครู่ยืนอยู่ไกลๆ มิสังเกตทุกสิ่งนี้แม้แต่น้อย นางเพียงรู้สึกว่าองค์หญิงสีหน้าไม่ดีจึงรีบร้อนประคองนางกลับตำหนัก ทว่าเพิ่งเดินออกมาได้ไม่นาน ทันใดนั้นน้ำเสียงดีอกดีใจก็ดังขึ้นจากไกลๆ “องค์หญิง ไฉนท่านจึงอยู่ที่นี่”
ฉางเล่อเงยหน้ามองอย่างเหนื่อยล้าก็พบเหวยอิงกับขันทีน้อยผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น หากเป็นก่อนหน้านี้ฉางเล่อจะต้องอ้างเหตุผลปลีกตัวจากไปแน่นอน ทว่าในยามนี้นางแทบจะขบคิดอันใดมิออก จึงเอ่ยถามอย่างหวั่นใจ “เหตุใดใต้เท้าเหวยจึงอยู่ที่นี่”
สีหน้าของเหวยอิงแฝงความยินดีปรีดาตอบว่า “กระหม่อมเข้าสำนักราชเลขาธิการมารับใช้ข้างพระวรกายฝ่าบาทแล้ว เมื่อครู่ฝ่าบาททราบว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้มาเยือนจึงตั้งใจส่งกระหม่อมมาทูลฮองเฮาให้เชิญเจ้าสำนักอยู่นานสักหน่อย ฝ่าบาทต้องการเชิญเจ้าสำนักร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ”
ฉางเล่อได้ยินคำว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้พลันรู้สึกเพลิงโทสะลุกโชนในดวงใจ ขณะที่กำลังจะผละจากไปก็รู้สึกวิงเวียนตาลาย เรือนร่างอรชรทรุดยวบกับพื้น ลี่ว์เอ๋อร้องตกใจ นางมีเรี่ยวแรงไม่มาก แม้จะฝืนประคององค์หญิงไว้แต่กำลังก็ไม่เป็นดั่งใจ ครานี้เดินทางมาเข้าเฝ้าฮองเฮา องค์หญิงมิได้พานางข้าหลวงมามากมาย สถานที่นี้ก็มิทราบเพราะเหตุใดจึงไม่เหลือนางข้าหลวงกับขันทีอยู่เลย ขันทีน้อยคนเดียวที่เหลืออยู่ก็อายุน้อยเกินไป ประคององค์หญิงมิไหว ลี่ว์เอ๋อจนปัญญาจึงได้แต่เงยหน้ามองไปทางเหวยอิง แม้เหวยอิงเป็นบุรุษ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็น ‘คู่หมั้น’ ขององค์หญิง แม้ลี่ว์เอ๋อทราบว่าองค์หญิงมีใจให้ผู้อื่น แต่กระนั้นก็คงมิอาจปล่อยให้องค์หญิงเป็นลมล้มพับกับพื้นได้กระมัง
เหวยอิงลังเลครู่หนึ่งก็รีบก้าวเข้ามายื่นมือประคองแล้วเอ่ยว่า “ใกล้ๆ มีห้องให้องค์หญิงพักสักหน่อยหรือไม่ จะได้เรียกหมอหลวงมาตรวจชีพจรด้วย”
ลี่ว์เอ๋อตอบอย่างยินดี “ขอบคุณใต้เท้าเหวยที่เตือนสติ ที่นี่คือฝั่งตะวันตกของอุทยานหลวง ด้านข้างเป็นตำหนักของพระสนมตวนเฟย รบกวนใต้เท้าช่วยพาองค์หญิงไปส่งที่นั่นด้วย”
เหวยอิงอุ้มองค์หญิงขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นแม่นางลี่ว์เอ๋อโปรดนำทาง”
ลี่ว์เอ๋อเอ่ยกับขันทีน้อยผู้นั้น “เจ้ารีบไปทูลจ่างซุนกุ้ยเฟย บอกว่าจู่ๆ องค์หญิงก็หมดสติ ขอให้พระสนมมารับองค์หญิงที่ตำหนักของพระสนมตวนเฟย”
ขันทีน้อยรับคำแล้วหมุนตัววิ่งออกไป เหวยอิงอุ้มองค์หญิงฉางเล่อเดินตามหลังลี่ว์เอ๋อ แม้ลี่ว์เอ๋อจะรีบร้อนก้าวเดินแต่ก็สังเกตด้านหลังอยู่ตลอด เมื่อเห็นดวงตาของเหวยอิงฉายแววทั้งเอ็นดูทั้งรักใคร่ก็อดสงสารไม่ได้ ในใจคิดว่าหากองค์หญิงเปลี่ยนพระทัยเพราะเรื่องนี้ก็คงจะดี
เดินไปได้ยังไม่ไกล อาจเป็นเพราะลี่ว์เอ๋อรีบร้อนเดินเกินไปจึงไม่ระวังสะดุดล้ม นางกุมข้อเท้าร้องด้วยความเจ็บปวด เหวยอิงเอ่ยอย่างร้อนใจ “แม่นางลี่ว์เอ๋อ เจ้าเป็นเช่นไร”
ลี่ว์เอ๋อยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ใต้เท้าเหวย เกรงว่าบ่าวจะเดินมิไหวแล้ว”
เหวยอิงตะโกนเสียงดัง “มีผู้ใดอยู่แถวนี้หรือไม่”
ลี่ว์เอ๋อก็ตะโกนอยู่ครั้งสองครั้ง สุดท้ายลี่ว์เอ๋อจึงได้แต่เอ่ยอย่างจนปัญญา “ใต้เท้าเหวย รบกวนท่านเดินตามทางเส้นนี้ไป ด้านหน้าไม่ไกลจะเป็นที่พำนักของพระสนมตวนเฟย”
เหวยอิงเอ่ยอย่างลังเล “อยู่ในวังหลัง ข้ามิสะดวกนัก”
ลี่ว์เอ๋อรีบเอ่ยว่า “นี่ยามใดแล้ว หากท่านยังกังวล เกรงว่าอาการขององค์หญิงจะหนักขึ้น อีกอย่างหนึ่ง ท่านกับองค์หญิงมีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ น่าจะมิเป็นอันใด”
เหวยอิงจึงได้แต่เอ่ยว่า “แม่นางลี่ว์เอ๋อรออยู่ตรงนี้ประเดี๋ยว ข้าจะให้คนมาช่วยแม่นางทันที” กล่าวจบก็เดินไปตามทางเส้นน้อย สักพักหนึ่งเหวยอิงก็สับสน ด้านหน้ามีทางอยู่สองเส้น ตนเองควรเดินไปตามทางเส้นไหนกันเล่า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินไปตามทางเส้นน้อยทางซ้ายมือ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เบื้องหน้าก็เห็นตำหนักหลังหนึ่ง เขาเดินเข้าไปอย่างยินดีปรีดา เมื่อเคาะประตูตำหนักก็มีขันทีเฒ่าผู้หนึ่งออกมาต้อนรับ เขาเอ่ยอย่างตกใจ “ใต้เท้าท่านนี้ เหตุใดจึงมาที่นี่”
เหวยอิงยิ้มเจื่อนตอบว่า “ข้าเหวยอิง จู่ๆ องค์หญิงฉางเล่อก็ประชวรพระวาโย ข้าต้องการมาส่งนางที่ตำหนักของพระสนมตวนเฟย คิดไม่ถึงว่าจะมาผิดทาง”
ขันทีผู้นั้นเอ่ยอย่างประหม่า “ที่แห่งนี้มิมีผู้ใดอาศัยนานแล้ว เชิญใต้เท้าพาองค์หญิงเข้ามาพักผ่อนก่อนเถิด บ่าวจะไปตามคนมาเดี๋ยวนี้”
เหวยอิงจึงได้แต่เอ่ยว่า “รบกวนเจ้าแล้ว ฝากเจ้าตามคนมาดูแลองค์หญิงด้วย”
หลังจากขันทีเฒ่าผู้นั้นออกไป ภายในตำหนักอันเงียบสงัดก็เหลือเพียงเหวยอิงกับองค์หญิงฉางเล่อสองคน เหวยอิงพิจมองคนงามใบหน้าซีดเผือดที่นอนทอดกายบนตั่งเตียง ในดวงใจพลันเกิดระลอกคลื่นสั่นไหว เขาเป็นบุตรชายตระกูลดัง ทั้งยังเกิดมาเฉลียวฉลาด เป็นที่เคารพของผู้คน แต่องค์หญิงฉางเล่อกลับดื้อดึงปฏิเสธเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจเขาก็มีโทสะเกิดขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ ทว่ายามสายตาจับจ้องบนร่างองค์หญิงฉางเล่อก็กลับกลายเป็นอบอุ่นอ่อนโยน แม้จะเสียดาย ทว่าองค์หญิงฉางเล่อก็เป็นสตรีที่หัวใจเขานับถือ
ประตูตำหนักปิดสนิท ทำให้แสงในห้องบรรทมมืดสลัวชวนให้คนเกิดความรู้สึกคลุมเครืออย่างห้ามมิได้ เหวยอิงรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้น กลิ่นเครื่องหอมที่เผาไหม้อยู่ในเตากำยานมุมห้องบรรทมอบอวลขึ้นเรื่อยๆ เหวยอิงยิ่งรู้สึกหักห้ามใจไม่ไหวขึ้นทุกขณะ สายตาที่มององค์หญิงฉางเล่อปรากฏแววตาดำมืดเพิ่มขึ้นมา