ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 43 ผู้ใดก็มิอาจทน (1)
ในที่สุดเหวยอิงก็เดินเข้าไปหาองค์หญิงฉางเล่อ ทว่าเพิ่งจะเดินไปถึงข้างกายองค์หญิง ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น เหวยอิงตกใจรีบถอยไปด้านข้าง เวลานี้เอง ประตูตำหนักก็ถูกเปิดออกอย่างแรง จ่างซุนกุ้ยเฟยพานางข้าหลวงและขันทีสิบกว่าคนบุกเข้ามา เมื่อเห็นสภาพภายในตำหนัก ดวงตาของจ่างซุนกุ้ยเฟยพลันฉายประกายโทสะ นางมิเอ่ยวาจา เพียงสะบัดมือครั้งหนึ่ง ขันทีผู้หนึ่งพลันก้าวเข้าไปดับเตากำยานที่มุมตำหนัก นางข้าหลวงหลายคนเดินมาหน้าตั่งพลางประคององค์หญิงฉางเล่อลุกขึ้นนั่ง หลังจากยกเกี้ยวที่ใช้ในวังเข้ามา เหล่านางข้าหลวงก็ประคององค์หญิงขึ้นเกี้ยวแล้วยกจากไปอย่างรวดเร็ว เหวยอิงสีหน้าสับสน ก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “ในที่สุดพระสนมก็มาแล้ว กงกงน้อยผู้นั้นรายงานเรื่องที่องค์หญิงประชวรพระวาโยแล้วหรือไม่ พระสนมคงพบแม่นางลี่ว์เอ๋อแล้ว จึงทราบว่ากระหม่อมอาจเดินมาผิดทาง”
จ่างซุนกุ้ยเฟยเผยสีหน้าคลางแคลงแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ข่าวว่าฉางเล่อพบอันตราย ด้วยเหตุนี้จึงรีบร้อนมา คิดไม่ถึงว่าจะพบใต้เท้าเหวยอยู่กับฉางเล่อลำพังในตำหนักโดยมิกลัวถูกสงสัย กำลังจะตำหนิเจ้า เจ้ากลับเอ่ยเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร”
เหวยอิงเล่าเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา จ่างซุนกุ้ยเฟยสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาในที่สุดก็เอ่ยว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ใต้เท้าเหวยคงมีเจตนาดี แต่ฉางเล่อเป็นหญิงหม้าย มิสะดวกหลายประการ ตามหลักแล้วใต้เท้าสมควรเลี่ยงสร้างคำครหาถึงจะถูก โจวซั่งอี๋ เจ้าไปพาลี่ว์เอ๋อกลับตำหนักชุ่ยหลวน ใต้เท้าเหวยได้รับพระบัญชามาก็รีบไปทำงานเถิด” จ่างซุนกุ้ยเฟยกล่าวจบก็หมุนตัวจากไป เหวยอิงรีบร้อนเอ่ยว่า “มิทราบกระหม่อมไปเยี่ยนเยียนได้หรือไม่”
จ่างซุนกุ้ยเฟยลังเลครู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงกลิ่นหอมกระตุ้นกำหนัดเตานั้นที่ลอบวางไว้ในตำหนัก ในที่สุดก็เอ่ยอย่างเย็นชา “มิจำเป็น ใต้เท้าเป็นขุนนางฝ่ายนอก มิสมควรสร้างเรื่องให้เป็นที่ครหา”
เหวยอิงมองจ่างซุนกุ้ยเฟยจากไปไกล ทั่วทั้งร่างรู้สึกเย็นยะเยือก เขาพลันตระหนักว่าตนสูญเสียนางในฝันไปเสียแล้ว
เมื่อกลับถึงตำหนักชุ่ยหลวนแล้วเรียกหมอหลวงมาจับชีพจร หมอหลวงก็บอกว่าองค์หญิงทรงโกรธเกรี้ยวจนกระทบกระเทือนหัวใจ ผนวกกับร่างกายอ่อนแอจึงประชวรพระวาโย แม้จ่างซุนกุ้ยเฟยประหลาดใจเล็กน้อย เพราะหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา สภาพร่างกายขององค์หญิงฉางเล่อค่อนข้างดี แต่ในเมื่อสุดท้ายไม่เป็นอันใดมากก็ดีแล้ว ทว่าในใจนางชิงชังโต้วฮองเฮาถึงที่สุด บุตรสาวตนสภาพดีๆ อยู่ แต่พอถูกนางเรียกไปเข้าเฝ้ากลับกลายเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้นางปวดใจยากจะทนได้เช่นไร กระนั้นโทสะนี้กลับมิอาจระบายออกมาได้ ผู้อื่นเป็นฮองเฮา แล้วรัชทายาทยังเป็นบุตรที่นางคลอดออกมา ตนเองยังมีหนทางใดอีกเล่า ยิ่งคิดยิ่งเดือดดาล เวลานี้เองนางก็เห็นลี่ว์เอ๋อถูกโจวซั่งอี๋พากลับมา นางพลันเอ่ยอย่างเดือดดาล “ลี่ว์เอ๋อ ข้าเชื่อใจเจ้าถึงเพียงนี้ ให้เจ้าดูแลความเป็นอยู่ขององค์หญิงด้วยตนเอง แม้ไม่ได้ให้เจ้าเป็นซั่งอี๋เพราะเจ้าอายุยังน้อย แต่ข้าถามตนเองแล้ว ข้ามิเคยทำเลวร้ายกับเจ้า เหตุใดเจ้าจึงเนรคุณ สร้างมลทินให้องค์หญิง”
ลี่ว์เอ๋อรีบเรียกร้องความเป็นธรรม แย้งว่า “บ่าวมิได้มีเจตนาเช่นนั้น พระสนมโปรดสืบสวนให้กระจ่าง สถานการณ์เร่งด่วนจริงๆ ทั้งใต้เท้าเหวยยังเป็นราชบุตรเขยที่ฝ่าบาทยอมรับ บ่าวมิได้มีความคิดจะสร้างมลทินให้องค์หญิงจริงๆ”
จ่างซุนกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ายังกล้าเถียงข้างๆ คูๆ มิว่าเหวยอิงมีสถานะอันใด แต่เจ้าอยู่กับองค์หญิงมานานเช่นนี้ยังมิรู้ใจขององค์หญิงอีก หากวันนี้ข้าไปสายเพียงก้าวเดียว เกรงว่าเกียรติยศของฉางเล่อคงย่อยยับ ต้องแต่งงานกับเหวยอิงทั้งที่ไม่ยินยอมพร้อมใจ ไม่ว่าข้ากับฝ่าบาทจะมีเจตนาเช่นไรก็ต้องให้ตัวฉางเล่อเองยินยอม เจ้าผู้เป็นบ่าวคนนี้กลับทำตามอำเภอใจ หากเกียรติยศของฉางเล่อเสียหาย ต่อให้เจ้าตายพันหนก็ยากชดใช้ความผิด โจวซั่งอี๋ ลากบ่าวคนนี้ออกไปโบยให้หนัก”
ขันทีหลายคนลากลี่ว์เอ๋อที่โวยวายร่ำไห้ออกไป โจวซั่งอี๋ออกไปสั่งบทลงโทษ จ่างซุนกุ้ยเฟยทรุดนั่งอย่างเหนื่อยล้า นางมองเถียนซั่งกงที่อยู่ข้างกายแล้วเอ่ยว่า “ข้าโปรดปรานลี่ว์เอ๋อคนนี้มาตลอดจึงตั้งใจส่งมารับใช้เจินเอ๋อร์ คิดไม่ถึงวันนี้จะเลอะเลือนเช่นนี้ ข้าคิดว่าวันพรุ่งนี้จะไล่นางออกไป เจ้าคิดเช่นไร”
เถียนซั่งกงแววตาวูบไหวแล้วเอ่ยเสียงเบา “พระสนม ลี่ว์เอ๋อติดตามพระสนมมาหลายปี แล้วยังรับใช้องค์หญิงมานานเพียงนี้ ความในใจขององค์หญิง นางย่อมรู้อยู่บ้าง หากขับออกไป เกรงว่าจะพูดจาส่งเดชจนเกียรติยศขององค์หญิงเสื่อมเสีย เรื่องในวันนี้ ผู้ที่พระสนมพาไปด้วยล้วนแต่เป็นนางข้าหลวงกับขันทีที่ซื่อสัตย์รู้งาน ไม่มีทางเอ่ยวาจาเหลวไหลเป็นแน่ ตอนนี้นอกจากลี่ว์เอ๋อ ก็มีแต่ใต้เท้าเหวยที่รู้เรื่อง บ่าวคิดว่าใต้เท้าเหวยคงมิกล้าพูดส่งเดช หากมีข่าวลือไร้สาระขึ้นมา แม้แต่ฝ่าบาทก็คงไม่ปล่อยเขา ส่วนลี่ว์เอ๋อ จะปล่อยให้นางออกไปพูดจาส่งเดชมิได้เด็ดขาด”
แม้จ่างซุนกุ้ยเฟยจะเป็นผู้มีจิตใจเมตตา แต่อยู่ในวังมานานหลายปี ทั้งยังมีศักดิ์เป็นถึงกุ้ยเฟย ไหนเลยจะมิเข้าใจว่าที่เถียนซั่งกงเอ่ยมีเหตุผล นางจึงทำใจเหี้ยม คิดในใจว่าเพื่อเกียรติยศของฉางเล่อ ข้าคงมิอาจสนใจว่าเจ้าบริสุทธิ์หรือตั้งใจ นางไม่เอ่ยคำใด เพียงมองเถียนซั่งกงไวๆ ครั้งหนึ่ง เถียนซั่งกงก็เข้าใจ นางออกไปส่งสายตาให้โจวซั่งอี๋ที่กำลังคุมการลงโทษอยู่ โจวซั่งอี๋เข้าใจความนัย เพียงครู่หนึ่งเสียงกรีดร้องด้านนอกก็ขาดหายไป โจวซั่งอี๋กลับมารายงานว่า “กราบทูลพระสนม ลี่ว์เอ๋อทนรับโทษมิไหว สิ้นใจแล้ว”
จ่างซุนกุ้ยเฟยถอนหายใจ “ทำพิธีศพให้นางอย่างดี บอกคนนอกว่านางล้มป่วยกะทันหันจนสิ้นใจ แล้วมอบเงินบำรุงขวัญให้แก่ครอบครัวนางให้ดี”
เถียนซั่งกงเอ่ยอีกว่า “พระสนม ขันทีน้อยเสี่ยวลิ่วจื่อที่นำข่าวมาแจ้งครั้งนี้มีความชอบ สมควรย้ายเขามารับใช้ข้างกายพระสนม มิให้เขาแพร่งพรายความลับออกไป”
จ่างซุนกุ้ยเฟยสีหน้าคล้ายเพิ่งนึกออกแล้วเอ่ยว่า “เด็กคนนี้ต้องขอบคุณเขา หากมิใช่เขาเห็นเรื่องนี้แล้วมาแจ้ง น่ากลัวว่า เฮ้อ ฉางเล่อยึดถือเรื่องเกียรติยศ หลังจากฟื้นขึ้นมาคงยอมตายล้างอาย ไม่มีทางยอมแต่งงาน เจ้าไปจัดการเถิด ในเมื่อเด็กคนนี้ฉลาดเฉลียวภักดีเช่นนี้ก็ให้เขาอยู่ข้างกายฉางเล่อ แล้วให้เขาระวังไว้ อย่าปล่อยให้บ่าวกินบนเรือนขี้บนหลังคาเหล่านี้ทำร้ายฉางเล่อได้”
เถียนซั่งกงแย้มรอยยิ้มตอบ “บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ พระสนมโปรดวางพระทัย”
เวลานี้เอง นางข้าหลวงคนหนึ่งก็เดินออกมาแจ้ง “พระสนม องค์หญิงฟื้นแล้วเพคะ”
จ่างซุนกุ้ยเฟยรีบเดินเข้าไปในห้องบรรทมก็เห็นองค์หญิงฉางเล่อสีหน้าซีดเผือด ทันทีที่เห็นนางหยดน้ำตาก็พรั่งพรูดุจสายฝน จ่างซุนกุ้ยเฟยก้าวเข้าไปหาอย่างปวดใจแล้วกอดองค์หญิงฉางเล่อเข้ามาในอ้อมแขน “เจินเอ๋อร์ เจ้าถูกข่มเหงตรงที่ใด รีบบอกแม่มา หากมีคนกระทำต่ำทรามกับเจ้า ต่อให้แม่ต้องแลกด้วยชีวิตก็จะล้างแค้นแทนเจ้าให้จงได้”
องค์หญิงฉางเล่อร่ำไห้อยู่เนิ่นนานกว่าเสียงร่ำไห้จะเงียบลงแล้วเล่าเรื่องราวให้ฟัง จ่างซุนกุ้ยเฟยยิ่งฟังยิ่งบันดาลโทสะ นางรู้ว่าพัดเล่มนั้นเป็นสิ่งที่บุตรสาวฝากความคิดถึงเอาไว้ วันนี้ถูกคนทำลาย ไม่แปลกที่นางจะโศกเศร้าคับแค้นจนเป็นลม แต่เจ้าสำนักเฟิงอี้เป็นผู้ที่แม้แต่ฝ่าบาทก็ทำอันใดนางมิได้ คิดไปคิดมา จ่างซุนกุ้ยเฟยจึงตัดสินใจ “เจินเอ๋อร์วางใจ พี่รองของเจ้าสาบานว่าจะไม่อยู่ร่วมฟ้ากับพวกนาง เจ้าต้องมีวันที่ได้ชำระแค้นแน่ แค่พัดเพียงเล่มเดียว ข้าจะให้พระชายายงอ๋องส่งมาให้เจ้าใหม่”
องค์หญิงฉางเล่อน้ำตาไหลรินเอ่ยว่า “เสด็จแม่ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยเพคะ เจียง…เขาร่างกายมิค่อยดี หากได้ยินเรื่องนี้คงโมโหจนทำร้ายร่างกาย ลูกเป็นห่วงยิ่งนัก เรื่องนี้อย่าให้เขารู้จะดีกว่า”
จ่างซุนกุ้ยเฟยยิ้มฝืดเฝื่อนเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ชอบคิดแทนผู้อื่นอยู่เสมอ ได้ แม่จะไม่บอกพวกเขา แต่เสด็จพ่อของเจ้า แม่คงต้องบอกสักคำ จะมาข่มเหงเจ้าเช่นนี้มิได้ ต่อให้ไม่ใช่เพื่อแก้แค้นให้เจ้า ก็ต้องไม่ปล่อยให้เสด็จพ่อของเจ้ามาบีบบังคับให้เจ้าแต่งงานอีก”
องค์หญิงฉางเล่อสะอื้นเอ่ย “ได้แต่พึ่งเสด็จแม่ทวงความเป็นธรรมแล้ว”
จ่างซุนกุ้ยเฟยก้าวออกจากตำหนักชุ่ยหลวนจึงเพิ่งได้สติกลับมาจากความโกรธเกรี้ยว มิว่าฝ่าบาทจะโปรดปรานฉางเล่อเพียงไร กระนั้นโต้วฮองเฮากับเจ้าสำนักเฟิงอี้ก็มิใช่ผู้ที่พวกนางแม่ลูกจะล่วงเกินได้ หากตนไปทวงคืนความยุติธรรม เกรงว่าคงมีแต่ทำให้ฝ่าบาทลำบากพระทัยก็เท่านั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งโศกเศร้า จ่างซุนกุ้ยเฟยคิดในใจว่าอย่างน้อยก็ต้องให้ฝ่าบาทรับทราบเรื่องนี้ นางทราบว่าเวลานี้ฝ่าบาทน่าจะทรงงานอยู่ในห้องทรงพระอักษรจึงรีบเร่งเดินทางไป หลังจากได้รับอนุญาต จ่างซุนกุ้ยเฟยจึงเหยียบเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ทว่าเมื่อเห็นจี้กุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายจักรพรรดิ หัวใจของจ่างซุนกุ้ยเฟยพลันเย็นยะเยือก
หลี่หยวนเห็นจ่างซุนกุ้ยเฟยก็ยิ้มแย้มตรัสว่า “โอ๊ะ เหตุใดวันนี้สนมรักจึงมาหาเล่า พอดีเลย ประเดี๋ยวข้าจะเชิญเจ้าสำนักเฟิงอี้ร่วมรับสำรับเย็น สนมรักก็ไปด้วยกันเถิด เจ้ากับเจ้าสำนักเป็นคนรู้จักแต่เก่าก่อน พอดีจะได้คุยถึงเรื่องเก่าๆ”
โทสะที่อัดแน่นเต็มอกของจ่างซุนกุ้ยเฟยพลันกลายเป็นน้ำแข็ง นางรู้แล้วว่าหลี่หยวนไม่มีทางทวงความยุติธรรมให้ตน จึงได้แต่ฝืนยิ้มแย้มเอ่ยว่า “หม่อมฉันจะมากราบทูลฝ่าบาท ฉางเล่อจู่ๆ ก็ล้มป่วย หม่อมฉันจึงอยากส่งฉางเล่อไปพักรักษาตัวที่วัดอู๋เฉินสักระยะ”
หลี่หยวนตกใจนัก “หลายวันก่อนข้าพบฉางเล่อ ใบหน้านางยังอิ่มเอิบแจ่มใส เหตุใดวันนี้จึงล้มป่วยเสียแล้วเล่า เรียกหมอหลวงแล้วหรือยัง”
จ่างซุนกุ้ยเฟยกำลังจะเอ่ยปากตอบ จี้กุ้ยเฟยกลับเปิดปากก่อน “ฝ่าบาท ฉางเล่อร่างกายอ่อนแอมาตลอด หม่อมฉันคิดว่ามิสู้จัดงานแต่งให้ฉางเล่อ เป็นการเสริมมงคลก็ดีนะเพคะ”
หลี่หยวนฟังแล้วจึงพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “สนมรักกล่าวมีเหตุผล จ่างซุน เจ้าคิดเห็นเช่นไร งานแต่งของฉางเล่อก็ยืดเวลามานานนักแล้ว หากเป็นการเสริมมงคลได้ก็คงดี”
จ่างซุนกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฝ่าบาททรงมีเจตนาดี แต่ฉางเล่อนิสัยดื้อรั้น ตลอดมานางมิยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ เกรงว่าหากพระประสงค์นี้ของฝ่าบาทประกาศออกมา ฉางเล่อคงล้มหมอนนอนเสื่อ หากฝ่าบาทคิดถึงฉางเล่อ โปรดให้นางออกไปพักรักษาตัวเถิดเพคะ”