ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 44 ผู้ใดก็มิอาจทน (2)
หลี่หยวนมิใช่คนหัวช้า เมื่อเห็นสีหน้าบันดาลโทสะแต่มิกล้าเอ่ยของจ่างซุนกุ้ยเฟยแล้วคิดเชื่อมโยงกับเรื่องที่ฮองเฮาและจี้กุ้ยเฟยมักจะส่งเสริมเรื่องการแต่งงานของฉางเล่อข้างหูตนหลายวันนี้ ในใจพลันเข้าใจกระจ่าง เขารักฉางเล่อเสมอมา ครั้งนั้นฉางเล่อแต่งงานไปอยู่ไกลถึงหนานฉู่แต่กลับมิเคืองแค้น ทำให้หลี่หยวนรู้สึกผิดในใจจนถึงวันนี้ ยามนี้ย่อมมิยินดีบังคับนางอีก เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจเขาก็เกิดโทสะอย่างห้ามมิได้ ตรัสว่า “สนมรัก เจ้าจงส่งฉางเล่อไปพักรักษาตัวในวัดตอนนี้เลยเถิด ถ่ายทอดบัญชาของข้า ให้โหรวหลันไปอยู่เป็นเพื่อนฉางเล่อ ฉางเล่อชมชอบเด็กคนนั้น นางจะได้เบิกบานใจขึ้นบ้าง”
จ่างซุนกุ้ยเฟยยินดียิ่งนัก ตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันจะส่งฉางเล่อออกจากวังไปพักรักษาตัวเดี๋ยวนี้” กล่าวจบก็หมุนตัวออกจากห้องทรงพระอักษร จี้กุ้ยเฟยสีหน้าลังเลเล็กน้อย หลี่หยวนหันมามองนางแล้วเอ่ยราบเรียบ “ฉางเล่อเสียสละเพื่อต้ายงมามากมาย ข้าต้องการเพียงให้ชีวิตภายหน้าของนางสมดั่งหวัง หลังจากนี้มิต้องเอ่ยเรื่องการแต่งงานนี้ขึ้นมาอีก ให้นางเป็นผู้ตัดสินใจเองเถอะ ข้าเชื่อว่าฉางเล่อไม่มีทางทำเรื่องผิดจารีตประเพณี”
แม้องค์หญิงฉางเล่อไม่ต้องการให้เจียงเจ๋อทราบเรื่องในวันนี้ น่าเสียดายที่เรื่องมิเป็นดั่งหวัง ข้าทราบรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว กล่าวไปแล้วท่ามกลางวังหลังที่อำนาจของสำนักเฟิงอี้แข็งแกร่งถึงที่สุด จะมีขันทีน้อยสักกี่คนกล้าขัดขวางแผนการที่สำนักเฟิงอี้วางไว้ เสี่ยวลิ่วจื่อ ชื่อเดิมคือหลิ่วเจี๋ย เขาก็คือหนึ่งในลูกศิษย์ในนามที่เสี่ยวซุ่นจื่อรับไว้
แรกเริ่มข้าคิดจะส่งคนเข้าไปแฝงตัวในพระราชวังสักสองสามคน แต่เรื่องนี้พูดง่าย ทำจริงกลับยาก อำนาจในวังหลังยามนี้ถูกแบ่งอยู่ในกำมือของรัชทายาทกับสำนักเฟิงอี้ หากตัวตนของสายลับผู้นี้หลุดออกไป ไม่เพียงข้าจะถูกกล่าวโทษ ยงอ๋องก็หนีไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องด้วย
หลังจากข้าปรึกษาเรื่องลำบากนี้กับเสี่ยวซุ่นจื่อ ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า เสี่ยวซุ่นจื่อก็บอกว่าเขาจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว วิธีการของเขาง่ายดายอย่างยิ่ง เขาลักลอบเข้าไปในอาณาเขตรอบนอกของพระราชวัง แล้วตามหาขันทีน้อยที่พรสวรรค์พอใช้ได้สองสามคนในตำหนักที่ห่างไกลบางแห่ง เดิมทีเสี่ยวซุ่นจื่อก็เคยใช้ชีวิตเช่นนี้ ย่อมเข้าใจความลำบากของพวกเขา แล้วยิ่งอาศัยฐานะกับวรยุทธ์ของตนก็ได้รับความเลื่อมใสกับการยอมรับจากพวกเขารวดเร็วยิ่งนัก หลังจากนั้นจึงสั่งสอนวรยุทธ์ให้พวกเขาเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นศิษย์ในนามของเสี่ยวซุ่นจื่อและใช้วรยุทธ์ได้ ยิ่งเสี่ยวซุ่นจื่อคอยสั่งสอนเป็นระยะ พวกเขาจึงราวกับหยกที่ถูกเจียระไนจนเปล่งประกายเจิดจ้า ไม่นานก็ทำงานให้ได้แล้ว
แม้วิธีการนี้มิได้ดีมากนัก อาจมีภัยตามหลังมาบ้าง แต่ก็ไร้หนทางอื่น ข้าจึงได้แต่เห็นด้วย หลังจากข้าทราบว่าฝ่าบาทเคยหารือเรื่องรัชทายาทกับฉางเล่อ ข้าก็จงใจให้เสี่ยวซุ่นจื่อส่งพวกเขาไปคอยระวังอันตรายให้องค์หญิง ดังนั้นพวกเขาจึงเชิญจ่างซุนกุ้ยเฟยมาช่วยองค์หญิงในช่วงเวลาวิกฤติได้ทัน และก็เพราะเหตุนี้ คืนนั้นข้าจึงทราบเรื่องนี้ แม้เรื่องบางอย่าง เสี่ยวลิ่วจื่อมิได้เห็นกับตา แต่ก็พอคาดเดาบางส่วนได้
เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ ข้าพลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกจนกระอักเลือดออกมาไม่หยุด เสี่ยวซุ่นจื่อตกใจรีบร้อนตามหมอ จนกระทั่งเที่ยงคืน อาการของข้าจึงสงบ ระหว่างที่ข้านอนอยู่บนเตียง สติอันพร่าเลือนหวนนึกไปถึงการตายอันน่าเวทนาของเพียวเซียงในอดีต หัวใจเจ็บปวดยากทานทน สำนักเฟิงอี้หนอสำนักเฟิงอี้ ครานั้นพวกเจ้าทำร้ายเพียวเซียงของข้าจนตาย วันนี้ยังจะทำร้ายองค์หญิงอีก หากข้ามิได้กำจัดพวกเจ้า คงนอนตายตาไม่หลับ
วันต่อมาเมื่อลืมตาตื่น ข้าก็เห็นสีหน้าโทษตนเองของเสี่ยวซุ่นจื่อ เขาคงกำลังตำหนิตนเองว่ามิควรนำเรื่องนี้มาบอกข้ากระมัง ความจริงช้าเร็วข้าย่อมล่วงรู้ ผ่านไปครู่หนึ่งยงอ๋องกับสืออวี้ก็เดินเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย หลี่จื้อถามอย่างร้อนรน “สุยอวิ๋น เหตุใดจู่ๆ ท่านก็อาการกำเริบขึ้นมาเล่า”
ข้ามองสีหน้าของยงอ๋อง เขาร้อนใจเช่นนี้ ทำให้ในใจข้าซาบซึ้งอย่างบอกมิถูก แต่เรื่องนั้นเป็นบาดแผลลึกที่สุดในใจของข้า เป็นเกล็ดย้อนของข้า เรื่องนี้ ข้ามิยินดีเปิดปากเล่าเด็ดขาด จึงได้แต่ยิ้มละไม เอ่ยว่า “ทำให้องค์ชายกังวลแล้ว เจียงเจ๋อเพียงโรคเก่ากำเริบเท่านั้น พักผ่อนสองสามวันก็ดีขึ้น มิทราบว่าสถานการณ์ภายนอกยามนี้เป็นเช่นไร”
หลี่จื้อเอ่ยอย่างเป็นกังวล “สุยอวิ๋นมิสู้พักผ่อนให้ดี ตอนนี้ยังมิมีเรื่องด่วนอันใด”
ข้ายิ้มเจื่อนตอบว่า “เกรงว่าคงต้องเสียเวลาสักสองสามวันแล้ว แม้ข้าจะรักษาพิษของท่านโหวน้อยไปบ้างแล้ว แต่ตอนนี้มิมีเรี่ยวแรงฝังเข็มให้เขา เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าใช้วิธีฝังเข็มที่ข้าเคยสอนเจ้าไปฝังเข็มให้ท่านโหวน้อยรอบหนึ่ง เช่นนี้จึงจะชะลอพิษไว้ได้ชั่วคราว เมื่อวานข้าเขียนเทียบยาไว้แล้ว ให้เขากินติดต่อกันเจ็ดวัน หลังจากนั้นข้าจะขับพิษให้เขาด้วยตนเอง สองสามวันนี้รัชทายาทกับเจ้าสำนักเฟิงอี้น่าจะวุ่นวายอยู่กับการหารือเรื่องก่อกบฏกับฉีอ๋อง องค์ชายต้องจับตาการเคลื่อนไหวของพวกเขาให้ดี แม้กระหม่อมโรคเก่ากำเริบ แต่น่าจะมิมีปัญหาใหญ่โต ขอองค์ชายโปรดวางใจ ส่งข่าวสารมาตามเวลาทุกวัน หากกระหม่อมหย่อนยานในเวลานี้ เกรงว่าสถานการณ์จะหลุดจากการควบคุม เช่นนั้นคงละอายต่อความเมตตาที่องค์ชายมีต่อข้าแล้ว”
หลี่จื้อจนปัญญา จึงได้แต่พูดว่า “สุยอวิ๋น ท่านต้องทำอย่างประมาณกำลัง จื่อโยว ท่านหารือกับสุยอวิ๋นให้ดี แบ่งเบาภาระเขาเพิ่มสักหน่อย จะให้ร่างกายของเขาทรุดโทรมมิได้”
สืออวี้พยักหน้าตอบ “องค์ชายโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะช่วยเหลือสุยอวิ๋นทำงานอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
หลายวันนี้ระหว่างที่ข้ารักษาตัว ข่าวกรองก็หลั่งไหลมาดุจสายน้ำ นับตั้งแต่ฉีอ๋องกลับเมืองหลวง ขุมอำนาจของรัชทายาทก็เคลื่อนไหวเต็มกำลัง กองทัพของฉีอ๋องเริ่มเคลื่อนไหว ดูท่าฉีอ๋องจะเข้าเป็นพรรคพวกของรัชทายาทเต็มตัวแล้ว แม้รู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง แต่ก็เห็นชัดเจนอย่างยิ่ง ในเมื่อสำนักเฟิงอี้ยังคงเตรียมก่อกบฏ ดังนั้นพวกเราจึงยังไม่ละทิ้งแผนการเช่นกัน
การเคลื่อนไหวผิดปกติของฉีอ๋องปิดบังยงอ๋องกับแม่ทัพใหญ่ฉินมิได้ แต่ก็ไร้หนทางขัดขวาง เพราะกองทัพใกล้นครฉางอันของฉีอ๋องเคลื่อนไหวโดยอ้างเหตุผลสง่าผ่าเผยนานาประการ ยิ่งไปกว่านั้นยังมองเป้าหมายของพวกเขาไม่ออก ดังนั้นกองทัพของยงอ๋องกับแม่ทัพใหญ่ฉินจึงเริ่มเพิ่มการเฝ้าระวังแถบนครฉางอัน พายุฝนกำลังตั้งเค้า
ภายในสวนเหมันต์ ข้าที่ร่างกายเริ่มดีขึ้นไปฝังเข็มให้เจียงไห่เทาเสร็จก็เหนื่อยจนแทบล้มหมอนนอนเสื่อ ครานี้ยงอ๋องมิอนุญาตให้ข้าเหน็ดเหนื่อยใจอีกต่อไป หลังจากเถียงอยู่หลายครั้ง ข้าก็ทำได้เพียงพักรักษาตัวดีๆ อย่างจนปัญญา ถึงอย่างไรยงอ๋องก็ทราบกำลังทหารที่วางอยู่ใกล้เมืองหลวงต้ายงตอนนี้กระจ่างแจ้ง ข้าจึงวางใจพักรักษาตัวได้ ไม่ว่าอย่างไรหากมีเรื่องด่วน ยงอ๋องก็คงมาถามข้าเอง
วันนี้ข้ากำลังอ่านตำราหายากที่เพิ่งได้มาเมื่อหลายวันก่อนอยู่ในห้อง ต่งเชวียก็เข้ามาเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านโหวน้อยเจียงมาขอพบ”
ข้าวางตำราลงแล้วเอ่ยว่า “อะไรกัน เขาลงจากเตียงได้แล้วหรือ พื้นฐานร่างกายช่างดีจริง คิดไม่ถึงว่าเร็วเช่นนี้ก็เริ่มหายดีแล้ว จริงสิ เรื่องนั้นเป็นเช่นไรแล้ว”
ต่งเชวียสีหน้าแฝงแววเหยียดหยามเล็กน้อยเอ่ยว่า “เกรงว่าจะปิดบังมิอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะพักนี้เขาอารมณ์ไม่ดี สองสามครั้งที่ผ่านมาฮั่วซื่อกลับไปจึงใบหน้าซีดเซียวจนใต้เท้าเซ่า เซ่าเยี่ยนซื่อตู๋แห่งตำหนักบูรพานึกสงสัยแล้ว”
ข้ายิ้มจาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้เรื่องนี้จบลงเถิด จำไว้ ดีที่สุดทำให้ลือกันแพร่สะพัด”
ต่งเชวียค้อมกายคำนับตอบว่า “ผู้น้อยเข้าใจ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อครู่ท่านหลี่กลับมาจากด้านนอก แล้วยังเดินอย่างรีบร้อนยิ่งนัก บอกว่าฉีอ๋องเหมือนจะถูกคุมตัวไว้”
ข้าฟังแล้วตกตะลึง แต่จากนั้นก็หัวเราะ “มิน่าหลายวันนี้ลูกน้องของฉีอ๋องจึงเคลื่อนไหวคึกคัก แต่ไม่มีความดุดันชำนิชำนาญเช่นยามฉีอ๋องบัญชาการ ที่แท้ก็มีผู้จับตัวโอรสสวรรค์แอบสั่งการเจ้าแคว้นประเทศราษฎร์อยู่นี่เอง เอาเถิด เป็นเช่นนี้ก็ดี ถึงเวลากวาดรังสายฟ้าแลบจะได้ง่ายขึ้นหน่อย รอเสี่ยวซุ่นจื่อกลับมาแล้วให้เขามาพบข้า บอกเขาว่าข้าไม่ตายง่ายดายเช่นนี้หรอก มีเรื่องใดก็จงมาพูดกับข้า อย่างมากที่สุดข้าก็ให้เขาไปจัดการ ตนเองมิต้องสิ้นเปลืองความคิดก็เท่านั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ข้าก็อดยิ้มจืดเจื่อนไม่ได้ ตอนนี้ยงอ๋องกับเสี่ยวซุ่นจื่อร่วมมือกันทั้งบนทั้งล่าง ข้าแทบไม่ได้เห็นข่าวจากภายนอก แม้พวกเขาหวังดีต่อข้า แต่ข้าจะวางใจลงได้เช่นไรเล่า
ต่งเชวียค้อมกายขานรับแล้วหมุนตัวออกไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งเจียงไห่เทาก็เดินเข้ามา แม้พิษจะได้รับการรักษาเบื้องต้นจนใบหน้าของเขามีเลือดฝาดดูสุขภาพแข็งแรงแล้ว แต่ฝีเท้ายงคงไร้เรี่ยวแรง กระนั้นก็ก้าวว่องไวอย่างยิ่ง หลังจากเข้ามา เขาก็ค้อมกายคำนับเอ่ยว่า “ไห่เทาขอบพระคุณใต้เท้าเจียงที่ช่วยชีวิต พานทำให้ใต้เท้าโรคเก่ากำเริบ ไห่เทากระวนกระวายยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียน”
ข้าชี้ไปที่เก้าอี้แล้วเอ่ยว่า “ตามหลักแล้ว ท่านโหวน้อยเป็นพระญาติขององค์ชาย เจียงเจ๋อมิกล้ารับการคุกเข่าคำนับจากท่าน แต่ถึงอย่างไรผู้แซ่เจียงก็เคยสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจเพื่อท่าน ได้รับการคุกเข่าคำนับจากท่านก็ไม่นับว่าเกินไป ท่านโหวน้อยเชิญนั่ง มิทราบว่ามีเรื่องใดต้องการหารือกับผู้แซ่เจียงหรือ”
…………..