ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 45 เตรียมการพร้อมสรรพ (1)
รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้า เดือนเก้าวันที่สิบสี่ จักรพรรดิออกพระราชโองการว่าจะเสด็จประพาสล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง การก่อกบฏใกล้เข้ามา
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติเกาจู่
เจียงไห่เทามองเจียงเจ๋อด้วยแววตาเลื่อมใส เขารู้ความสำคัญของคนผู้นี้ชัดเจน หลายวันที่ผ่านมา แม้เขารักษาตัวอยู่ในเรือนรับรองมาตลอด แต่ยงอ๋องมักจะแวะมาเยี่ยนเยียนเขาเสมอ จึงได้พูดคุยบางเรื่องกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่กระนั้นสิ่งที่เจียงไห่เทาสงสัยใคร่รู้ที่สุดก็ยังเป็นชายหนุ่มผู้ป่วยออดๆ แอดๆ จนแทบจะจบชีวิตได้ทุกเมื่อผู้นี้ ทั้งที่เห็นชัดว่าตนเองอยู่ในสภาพที่ยังแทบเอาตัวไม่รอด แต่กลับช่วยชีวิตตนเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินว่าท่านอายงอ๋องเชื่อฟังเขาทุกอย่างอีกด้วย ดังนั้นเจียงไห่เทาจึงอ้างเหตุผลว่าจะมาขอบคุณต่อหน้าเพื่อเข้ามาในสวนเหมันต์ ทันทีที่เข้ามาในสวนเหมันต์ เจียงไห่เทาก็รู้ว่ายงอ๋องให้ความสำคัญกับใต้เท้าเจียงผู้นี้อย่างยิ่งจริงๆ เกรงว่าการคุ้มกันที่สวนเหมันต์จะแน่นหนาเสียยิ่งกว่าองครักษ์ที่คุ้มกันข้างกายยงอ๋องเสียอีก
ข้าอมยิ้มมองเด็กหนุ่มผู้นี้ ถึงอายุไม่มาก ใบหน้ายังแฝงความเยาว์วัย ทว่าดวงตาทั้งคู่ใสกระจ่างทำให้คนมองเห็นความในใจของเขาได้ในทันที เด็กหนุ่มผู้เปิดเผยเช่นนี้ทำให้ข้าอดรู้สึกชมชอบมิได้ แต่ความฉงนก็ผุดพรายขึ้นในเวลาเดียวกัน ในฐานะบุตรโทนของตงไห่โหว จะมีดวงตาเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าครุ่นคิดแล้วถามอย่างมีชั้นเชิง “ท่านโหวน้อยเป็นบุตรตระกูลแม่ทัพ คิดว่าคงจะชำนาญศึกทางน้ำอย่างยิ่งเป็นแน่ วันนี้มาหาคงไม่ใช่ต้องการหยิบยืม ‘บันทึกแผนที่สมุทร’ ที่ข้าเก็บสะสมไว้กระมัง”
คำถามนี้ของข้าถามโดยแฝงเล่ห์เหลี่ยมไว้ ‘บันทึกแผนที่สมุทร’ สำหรับคนธรรมดาแล้วเป็นเพียงหนังสือเก่าที่ลึกซึ้งเข้าใจยากเล่มหนึ่ง แต่สำหรับตระกูลเจียงที่ชำนาญศึกทางน้ำและการสร้างเรือกลับเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าหมื่นตำลึงทอง หนังสือเล่มนี้เดิมทีหายสาบสูญไปแล้ว ทว่าช่วงก่อนที่จะได้เป็นจ้วงหยวน ข้ากลับได้ครึ่งเล่มมาโดยบังเอิญ สำหรับข้าแล้วตำราล้ำค่าที่มีเพียงเล่มเดียวเช่นนี้เป็นที่ปรารถนายิ่งกว่าหมื่นตำลึงทอง หลังจากเข้าสำนักฮั่นหลิน ข้าก็พบหนังสือที่ขาดเสียหายอีกบางส่วนจากท่ามกลางกองตำรามากมายดั่งทะเลหมอกของสำนักฮั่นหลิน ข้าอาศัยความรู้และพื้นฐานที่อ่านตำรามามากมายปะติดปะต่อซ่อมแซมหนังสือเล่มนี้จนสมบูรณ์ ยามที่ข้ามอบหนังสือเล่มนี้ให้แก่ราชสำนักหนานฉู่ มิมีผู้ใดเห็นค่า พวกเขาเห็นเป็นเพียงหนังสือหายากจึงส่งเข้าไปเก็บในตำหนักฉงเหวิน
เดิมทีตำราเล่มนี้ก็เป็นดั่งมุกล้ำค่าที่ถูกดินกลบฝังไว้ ไม่มีโอกาสได้โผล่มาเห็นตะวันอีก ทว่าระหว่างเจรจาสงบศึกกับต้ายง ยงอ๋องเคยขอให้หนานฉู่ส่งมอบตำรามาให้ ‘บันทึกแผนที่สมุทร’ เล่มนี้จึงกลับมาอยู่ในมือข้าอีกครั้งด้วยเหตุนี้ ข้าผูกพันกับตำราเล่มนี้อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นจึงเก็บมันเอาไว้ ทว่ามิรู้เหตุใด เรื่องที่ยงอ๋องครอบครอง ‘บันทึกแผนที่สมุทร’ ที่มีเพียงเล่มเดียวไว้ในมือจึงเล็ดลอดออกไป และข่าวที่ยงอ๋องประทานตำราเล่มนี้ให้แก่ข้าก็ถูกผู้คนล่วงรู้ ต้ายงมีผู้ทรงภูมิอยู่ไม่น้อย เคยมีคนมิน้อยหวังจะได้อ่าน แต่เพราะตลอดมาข้าไม่ต้อนรับแขกจากภายนอกจึงไม่มีหนทางให้ลงมือ
วันนี้ข้าใช้คำถามนี้มาซักถามเจียงไห่เทาเป็นการแฝงเจตนาล้ำลึก หากเจียงหย่งเจียงโหวผู้พ่ายศึกหนีไปยังตงไห่แล้วเรียกขานตนเป็นตงไห่โหวผู้นั้นชำนาญศึกทางน้ำและสายตากว้างไกลดังเช่นที่ว่าในข่าวกรองจริง ถ้าเช่นนั้น ‘บันทึกแผนที่สมุทร’ เล่มนี้ไฉนจะมิเคยถูกเขาเอ่ยถึง หากท่านโหวน้อยรู้จักตำราเล่มนี้ ถ้าเช่นนั้นย่อมบ่งบอกว่าเจียงหย่งให้ความสำคัญและสนิทสนมกับบุตรรักผู้นี้ เมื่อเป็นดังนั้น ท่าทางที่แสดงออกมาภายนอกของเด็กหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นสิ่งลวงหลอก ทว่าหากเขามิรู้สักนิด นั่นย่อมแปลว่าบุตรผู้นี้ไม่มีค่าให้ฝึกฝน หรือไม่เจียงโหวก็คงตั้งใจเลี้ยงดูบุตรรักอย่างตามใจ แต่เมื่อข้ามองดูความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมประหนึ่งหยกยังมิเจียระไนของเด็กหนุ่มผู้นี้ เหตุผลสองประการนี้ก็ยากจะทำให้ข้าเชื่อ
เจียงไห่เทาลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น “บันทึกแผนที่สมุทร ข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงอยู่หลายครั้ง ท่านพ่อยังถอนหายใจกล่าวว่าน่าเสียดายที่มิอาจได้อ่านกับตาตนเอง ท่านจะยอมให้ข้ายืมอ่านจริงหรือ” สีหน้าเขาตื่นเต้นยินดียิ่งนัก นี่เป็นสีหน้ายามเด็กหนุ่มเห็นสิ่งที่หลงใหล ทั้งยังแสดงออกมาอย่างหมดเปลือก ในใจข้านึกสงสัยว่าตกลงท่านโหวน้อยเจียงผู้นี้เป็นคนเช่นไรกันแน่ แล้วก็เอ่ยว่า “ต่งเชวีย เจ้าไปหยิบ ‘บันทึกแผนที่สมุทร’ เล่มนั้นของข้ามา”
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ‘บันทึกแผนที่สมุทร’ ที่ข้าคัดลอกเรียบเรียงขึ้นใหม่เล่มนั้นก็ถูกหยิบมา ข้าส่งให้เจียงไห่เทาแล้วจึงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “แต่ข้าคงจะให้ท่านยืมอ่านเปล่าๆ มิได้ หลังจากท่านอ่านจบหนึ่งบท ข้าจะถามคำถามท่านเล็กน้อย หากท่านตอบได้ดี ข้าจะอนุญาตให้ท่านอ่านต่อ หากตอบมิได้ก็จะไม่อนุญาตให้ท่านอ่านอีก”
เจียงไห่เทาตอบด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน “แม้ไห่เทายังเยาว์วัย แต่ติดตามบิดามานานปี แม้บางเรื่องมิแตกฉานนัก แต่ก็พอรู้งูๆ ปลาๆ อยู่บ้าง ขอเพียงใต้เท้าเจียงมิถามยากเกินไปนัก ไห่เทามั่นใจว่าจะตอบได้”
ข้าขยับยิ้มเล็กน้อยตอบว่า “ข้าย่อมไม่จงใจทำให้ท่านลำบาก” พูดพลางก็ส่งสัญญาณให้ต่งเชวียถือตำราออกมาวางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ เจียงไห่เทารู้ว่าตำราล้ำค่าเช่นนี้ ตนมิอาจเปิดอ่านได้เอง จึงย้ายเก้าอี้มานั่งหน้าโต๊ะอย่างตื่นเต้น ต่งเชวียยืนอยู่ด้านข้าง พลิกหน้ากระดาษแทนเขา
หลังจากเขาอ่านจบหนึ่งบท ข้าก็หาคำถามสองสามข้อมาถามเขา เขาตอบได้คล่องแคล่วดังคาด ปัญหาบางข้อแม้ถามตื้นเขิน แต่เขากลับตอบได้ยอดเยี่ยมเกินกว่าอายุ สิ่งที่ทำให้ข้าตกตะลึงเป็นพิเศษก็คือ ระหว่างที่ข้าซ่อมแซมตำราเล่มนี้ แม้ข้าจะนำเนื้อหาจากตำราทางทะเลเล่มอื่นมาเรียบเรียงชดเชยเนื้อหามากมายที่ขาดหาย แต่ก็ยังมีหลายจุดที่ไม่แน่ใจ ตรงเนื้อหาเหล่านั้น ข้าล้วนใส่อรรถาธิบายไว้ด้านข้าง ระบุว่าได้ความเห็นเช่นนี้มาจากแหล่งใด แล้วยังมีความเห็นอื่นประการใดบ้างกับข้อสรุปสุดท้ายของตัวข้าเอง ข้าจงใจถามเนื้อหาเหล่านี้กับเขา เขาล้วนมีความเห็นของตนเองที่ไม่เหมือนใคร บางส่วนยังเห็นได้ชัดว่าสรุปได้ถูกต้องกว่าข้าอยู่เล็กน้อย หลายวันต่อจากนั้นข้ากับเขาจึงถกปัญหากันทุกวันอย่างสนุกสนานยิ่ง
ท้ายที่สุดนอกจากข้าจะได้ข้อสรุปว่าเจียงไห่เทาเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพกองเรือ ก็ยังได้ข้อสรุปอีกอย่างว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมาที่มิใคร่สนใจสิ่งอื่นใดที่ไม่เกี่ยวกับน้ำ หากล่องเรือออกทะเลเหรือทำศึกทางน้ำ เขาย่อมเป็นแม่ทัพชั้นเลิศผู้หนึ่งอย่างแน่นอน ทว่าเรื่องอื่นอย่าได้คาดหวังกับเขาเลยดีกว่า คิดว่าเจียงหย่งจะต้องทั้งปลาบปลื้มทั้งกลุ้มใจเป็นแน่แท้ ข้าอมยิ้มพลางเขียนจดหมายสั้นๆ ฉบับหนึ่งให้ต่งเชวียเก็บไว้ ต่งเชวียรับไปอย่างเชื่องช้า หลายวันนี้ข้าให้จดหมายสั้นกับเขาหลายฉบับ แต่ต่งเชวียเป็นคนฉลาด เขาไม่อ่านสักแผ่นและไม่ถามด้วยข้าว่ากำลังทำสิ่งใด
วันนี้ขณะที่ข้ากำลังชมดอกเบญจมาศอยู่ในสวนดอกไม้ ยงอ๋องหลี่จื้อเดินมาถึงหน้าข้าก็เอ่ยเสียงเครียดขรึม “สุยอวิ๋น ตอนนี้สถานการณ์ตึงเครียดถึงที่สุดแล้ว”
ข้ายิ้มละไมเอ่ยว่า “องค์ชายโปรดเล่า”
หลี่จื้อจึงเอ่ยปากเล่า “เสด็จพ่อประกาศว่าวันมะรืนจะเสด็จประพาสล่าสัตว์ที่พระราชวังเลี่ยกง เชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงทั้งหมดต้องเข้าร่วม ฉีอ๋องถวายหนังสือกราบทูลว่าป่วยไข้ แต่เสด็จพ่อกลับให้เขาร่วมเดินทางทั้งที่เจ็บป่วย”
ข้าเอ่ยเหมือนกำลังคิดบางอย่าง “ดูท่าฝ่าบาทจะทรงระวังยิ่งนัก ไม่ทราบว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงจะเสด็จประพาสล่าสัตว์เล่า”
หลี่จื้อถอนหายใจตอบว่า “หลายวันก่อนเกิดเรื่องยิบย่อยมากมาย ให้เล่าครั้งเดียวยากจะเล่าหมดจริงๆ เดิมทีข้าคิดว่าจะมิต้องรบกวนสุยอวิ๋น แต่ยามนี้ดูท่าคงได้แต่ลำบากท่านแล้ว”
ข้าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์ชายเมตตาเจียงเจ๋อเช่นนี้ หากเจียงเจ๋อมิอาจเป็นกำลังให้องค์ชายในยามสำคัญ ไยมิใช่ทรยศต่อความเมตตา องค์ชายโปรดบอกมาตามตรงเถิด”
หลี่จื้อถอนหายใจแล้วเล่าเรื่องราวหลายวันนี้ให้ข้าฟัง
นับตั้งแต่วันที่สามเดือนเก้าที่ข้าล้มป่วย ระหว่างที่ข้าพักรักษาตัว เริ่มแรกฉีอ๋องมีการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ไม่หยุด ทว่ายงอ๋องเป็นถึงผู้ชำนาญกลศึก ไม่นานนักก็พบว่าเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของกองทัพฉีอ๋องคือการเตรียมซุ่มโจมตี
วันนี้หลี่หยวนประกาศราชโองการเสด็จประพาสล่าสัตว์ กองทหารราชองครักษ์ที่ติดตามครั้งนี้มีจำนวนสองหมื่นนาย มีแม่ทัพใหญ่ฉิน ฉินอี๋เป็นผู้บัญชาการ ในนั้นประกอบด้วยทหารราชองครักษ์สังกัดกองราชองครักษ์ค่ายบูรพาทั้งหมดหนึ่งหมื่นนายที่มีฉินชิงเป็นผู้บัญชาการ มีรองแม่ทัพสองนายได้แก่หวงเซี่ยกับซุนติ้งควบคุมนายทหารคนละห้าพัน กองราชองครักษ์ค่ายทักษิณจำนวนห้าพันนายมีแม่ทัพหยางเชียนกับรองแม่ทัพฮูเหยียนจิ่วเป็นผู้นำ และมีกองราชองครักษ์ค่ายอุดรห้าพันนาย แม่ทัพเผยอวิ๋นและรองแม่ทัพเซี่ยโหวหยวนเฟิงล้วนเดินทางไปด้วย
รัชทายาท ยงอ๋อง ฉีอ๋องล้วนรับบัญชาตามเสด็จ นอกจากนี้โต้วฮองเฮา จี้กุ้ยเฟย จ่างซุนกุ้ยเฟย เหยียนกุ้ยเฟย องค์หญิงฉางเล่อหลี่เจิน องค์หญิงจิ้งเจียงหลี่หันโยวล้วนตามเสด็จ ผู้ที่อยู่เฝ้าเมืองหลวงคืออัครมหาเสนาบดีเหวยกวนกับซื่อจงเจิ้งเสียที่อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว ส่วนผู้ที่รับผิดชอบความปลอดภัยของเมืองหลวงคือแม่ทัพกองราชองครักษ์แห่งค่ายประจิมถานอี้ ขุนนางใหญ่คนอื่นตามเสด็จมากมายนับไม่ถ้วน ในหมู่คนเหล่านั้น ผู้ที่ควรค่าให้ข้าสนใจก็คือเว่ยกั๋วกงเฉิงซู ผู้ช่วยราชเลขาธิการฉินอู๋ฉี บิดาของฉินเจิงพระชายาฉีอ๋อง เหวยอิงผู้ที่เพิ่งจะเข้าไปในสำนักราชเลขาธิการไม่นาน กับหลู่จิ้งจงเส้าฟู่ประจำองค์รัชทายาท
นี่ยังมิเท่าไร แต่ครั้งนี้ฝ่าบาทยังบัญชาให้ยงอ๋องกับฉีอ๋องนำองครักษ์คนสนิทไปได้เพียงหนึ่งร้อยนาย ระหว่างเสด็จประพาสล่าสัตว์ ทุกสิ่งให้ดำเนินไปภายใต้กฎกองทัพ ให้แม่ทัพใหญ่ฝู่หย่วนฉินอี๋เป็นผู้บัญชาการสูงสุด ดูท่าฝ่าบาทจะล่วงรู้สถานการณ์ตึงเครียดในตอนนี้แล้ว
หลังจากที่ฉีอ๋องถวายหนังสือปฏิเสธร่วมเดินทางมิเป็นผล กองทัพของฉีอ๋องก็หยุดเคลื่อนไหว แต่ยงอ๋องคาดการณ์ว่ากองทัพเหล่านี้คืนเดียวก็เร่งเดินทางได้ร้อยลี้ ระหว่างทางกลับเมืองหลวงย่อมซุ่มโจมตีขบวนเสด็จของฝ่าบาทได้ ยิ่งไปกว่านั้นเหตุผลที่ฉีอ๋องจะเคลื่อนกองทัพก็มีพร้อม แน่นอนว่ายงอ๋องก็เตรียมตัวไว้แล้ว สามารถขวางการโจมตีจากกองทัพของฉีอ๋องได้ตลอดเวลาเช่นกัน แต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ย่อมบานปลายกลายเป็นศึกใหญ่
ทว่าสิ่งที่ทำให้ยงอ๋องกับแม่ทัพและที่ปรึกษาใต้บังคับบัญชาไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดฉีอ๋องจึงตกลงตามเสด็จด้วย หากเป็นเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ว่ามิมีผู้ใดบัญชาการกองทัพของฉีอ๋องโจมตีขบวนเสด็จได้หรอกหรือ