ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 50 ฝ่าวงล้อมพระราชวังเลี่ยกง (2)
ฟ้าเริ่มสาง เสียงกีบเท้าม้าดังกังวานท่ามกลางม่านหมอกเย็น เหวินจื่อเยียนนำกองทหารราชองครักษ์ตามล่าไม่ลดละตลอดทั้งคืน แม้ยงอ๋องชำนาญกลศึกก็ทำอันใดมิได้ เดิมทียงอ๋องคิดจะไม่สนใจกองทหารที่ไล่ล่า ทุ่มกำลังเต็มที่เคลื่อนทัพก็พอ ทว่าการฝ่าวงล้อมของยงอ๋องครานี้ฉุกละหุกยิ่งนัก จนถึงขั้นที่มีทหารสองนายขี่อาชาตัวเดียวกัน ทว่ากองทหารที่ไล่ล่ากลับใช้อาชาของทหารราชองครักษ์กองอื่นเสริม แต่ละคนแทบจะมีอาชาสองตัว ผลัดเปลี่ยนอาชาได้ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเร็วจึงเร็วกว่าพวกยงอ๋องมาก ยงอ๋องจนหนทางจึงต้องลัดเลี้ยววกอ้อมหลอกล่อกองทหารที่ไล่ล่า ตลอดทางลอบซุ่มโจมตีหลายครั้งหมายจะสังหารทหารที่ไล่ตามมาให้สิ้น ทว่าผู้ที่นำทหารไล่ตามมาคือแม่ทัพหวงเซี่ยผู้กรำศึกกับเหวินจื่อเยียนมือสังหารผู้โลดแล่นในสนามรบมานานปี ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งระมัดระวังรอบคอบ ชำนาญตำราพิชัยสงคราม อีกคนหนึ่งวรยุทธ์สูงส่ง เป็นหน่วยสอดแนมที่ยอดเยี่ยมที่สุด ระหว่างทางที่ผ่านมาจึงไม่ปล่อยให้ยงอ๋องฉวยโอกาสได้
ศรีภรรยาลำบากด้วยไร้ข้าวสาร มิว่าด้านกำลังทหารหรือความเร็ว ฝ่ายยงอ๋องล้วนไม่มีข้อได้เปรียบ ความได้เปรียบในทางกลศึกก็ถูกกำลังทหารอันกล้าแข็งทำลาย ยงอ๋องตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน จนกระทั่งการซุ่มโจมตีเมื่อยามฟ้าสาง ยอดฝีมือใต้บัญชาของยงอ๋องร่วมมือกันซุ่มโจมตีที่ปากหุบเขาอันคับแคบแห่งหนึ่งจนทำให้ทหารที่ไล่ตามมาเสียหายค่อนข้างหนักสำเร็จ ในที่สุดยงอ๋องผู้หนีมาตลอดทั้งคืนจึงได้ผ่อนลมหายใจชั่วคราว
ยงอ๋องรู้ชัดยิ่งว่ากองทหารราชองครักษ์ที่รับผิดชอบไล่ล่าสังหารตนเหล่านี้ต้องเป็นกองกำลังที่สำนักเฟิงอี้สั่งการได้ดุจแขนขาเป็นแน่ แม้จำนวนคนของพวกเขาไม่มาก แต่เมื่อเทียบกันแล้ว กำลังทหารของตนอ่อนแอกว่า ต้องรวมพลกับกองทัพองครักษ์ของตนให้ได้ มิฉะนั้นตนคงพบอันตรายครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต สิ่งสำคัญเร่งด่วนตอนนี้ก็คือรวมพลกับกองทัพของตน ยงอ๋องยังไม่กล้าเชื่อว่าฉินหย่งจะช่วยเหลือตน ยามนี้สำนักเฟิงอี้ได้ตราทหารมาไว้ในมือแล้ว ถึงเวลาเกรงว่าฉินหย่งก็คงทำได้เพียงเชื่อฟังและทำตามราชโองการปลอม ดังนั้นการไปรวมตัวกับกองทัพที่จ่างซุนจี้กับต่งจื้อนำทัพอยู่จึงเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดของยงอ๋อง
เวลานี้เอง อาชาตัวหนึ่งก็ห้อทะยานมาแต่ไกล พวกยงอ๋องในใจหวาดผวา แม้อาชามุ่งมาตัวเดียว แต่หากเป็นเหวินจื่อเยียน หรือมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้เหล่านั้นรับหน้าที่มาเป็นพลสอดแนมด้วยตนเอง ร่องรอยของพวกตนต้องถูกเปิดเผยทันทีแน่ หากมิได้พัก เป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าต้องเหนื่อยจนล้มแน่นอน เมื่อคนเข้ามาใกล้ องครักษ์ที่สายตาดีเลิศผู้หนึ่งจึงเอ่ยเสียงดัง “องค์ชาย หลี่ซุ่น ท่านหลี่พ่ะย่ะค่ะ” ตอนนี้ทุกคนจึงโล่งอก
เสี่ยวซุ่นจื่อเดิมทีถูกทิ้งอยู่ด้านหลัง ฝีมือการขี่ม้าก็ชำนาญสู้พวกยงอ๋องเหล่านี้มิได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจซ่อนอยู่ในที่ลับแล้วสลับมาใส่ชุดเกราะของทหาราชองครักษ์ จากนั้นตามอยู่ด้านหลังพวกเหวินจื่อเยียน แม้มีอาชาเพียงตัวเดียว แต่เขาใช้วิชาตัวเบาพยายามลดภาระของอาชาอย่างเต็มกำลังอยู่ตลอด ดังนั้นจึงไล่ตามทันทหารราชองครักษ์ที่เหวินจื่อเยียนนำทัพ แรกเริ่มเขาคิดจะฉวยโอกาสลอบสังหาร แต่กองทหารราชองครักษ์กองนั้นที่เหวินจื่อเยียนนำทัพอยู่เป็นทหารชั้นเยี่ยมของต้ายง ที่นั่นไหนเลยจะปะปนเข้าไปง่าย แม้มีหลายครั้งที่เขาลอบจู่โจมยามพวกเขาหยุดอาชาเพื่อคาดคะเนทิศทางของพวกยงอ๋องหรือปล่อยให้อาชาดื่มน้ำ แต่ก็ไม่ได้ผลมากนัก ครั้งสุดท้ายยังถูกเหวินจื่อเยียนนำคนมาล้อมไว้อีก โชคดีที่เสี่ยวซุ่นจื่อหัวไวยิ่ง เตรียมทางหนีไว้ล่วงหน้าจึงหนีรอดออกมาได้ เมื่อเห็นว่าทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อันใด เสี่ยวซุ่นจื่อจึงตั้งใจไล่ตามยงอ๋องเพียงท่าเดียว อาศัยวิชาสะกดรอยอันสูงส่งกับโชคเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ไล่ตามทันยงอ๋อง เมื่อมองเห็นชุดเกราะทองของยงอ๋องจากไกลๆ เสี่ยวซุ่นจื่อก็ดีใจยิ่งนัก คิดในใจว่าน่าจะได้พบหน้าคุณชายแล้ว เขาเป็นห่วงยิ่งนักว่าเจียงเจ๋อจะได้รับบาดเจ็บท่ามกลางการสู้รบอันชุลมุน
ทว่ายิ่งเสี่ยวซุ่นจื่อเข้าใกล้พวกยงอ๋อง ในใจก็ยิ่งวิตก สีหน้ายิ่งดุดัน เขามาถึงตรงหน้ายงอ๋องก็ถามโพล่งออกมาทันที “เหตุใดคุณชายมิอยู่ที่นี่”
หากผู้อื่นถามเช่นนี้ แม้ยงอ๋องตั้งใจจะอธิบายก็คงบันดาลโทสะ ถึงอย่างไรความแตกต่างระหว่างนายกับบ่าว ศักดิ์ฐานะสูงต่ำก็มิอาจลืมเลือนได้ ทว่ายามที่เสี่ยวซุ่นจื่อตวาดถามเสียงดุดันเช่นนี้ ทุกคนรวมไปถึงตัวยงอ๋องเองมิมีผู้ใดขุ่นเคือง ผู้ใดมิทราบว่าในใจคนผู้นี้มีเพียงนายท่านเพียงคนเดียว เขารับคำสั่งเจียงเจ๋อไปส่งต่อคำสั่งให้เผยอวิ๋นจึงทำให้ทุกคนฝ่าวงล้อมออกมาได้สำเร็จ ยามนี้บนร่างเขามีแต่คราบเลือด เมื่อนึกถึงภาพลักษณ์ยามปกติที่ไม่มีฝุ่นเปื้อนสักเม็ดของเขายิ่งทำให้ทุกคนโกรธเคืองเขาไม่ลง ยงอ๋องเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “สุยอวิ๋นรั้งอยู่ในพระราชวังเลี่ยกง”
เสี่ยวซุ่นจื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน จิตสังหารพลุ่งพล่าน ประกายเย็นยะเยือกปรากฏในดวงตา จ้องมองยงอ๋องอย่างโหดเหี้ยม ทุกคนเข้ามาคุ้มกันยงอ๋องโดยสัญชาตญาณ ตอนนี้เองจิงฉือจึงก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “ท่านหลี่ ท่านอาจารย์เจียงตัดสินใจเอง” เสี่ยวซุ่นจื่อหันไปมองเขา สายตาอ่อนลงเล็กน้อย ถึงอย่างไรจิงฉือผู้นี้ก็เข้าออกสวนเหมันต์มาตลอดทั้งปี ตนเองก็เคยเฝ้าเขาคัดตำราอยู่หลายครั้ง นับว่าคุ้นเคยกัน
หลี่จื้อเห็นเขาสงบอารมณ์ลงแล้ว จึงบังคับอาชาเข้าไปหาแล้วกระซิบเสียงเบาประโยคหนึ่ง ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อฉายแววประหลาดใจ จากนั้นจึงค้อมกายคำนับเอ่ยว่า “บ่าวล่วงเกินองค์ชาย ขอองค์ชายโปรดอภัยด้วย”
หลี่จื้อยกยิ้มเอ่ยว่า “ท่านยอมอภัยก็พอแล้ว ตัวข้าเองก็คิดว่าหากพาสุยอวิ๋นเดินทางมาด้วยน่ากลัวว่าจะมีโอกาสตายเก้าในสิบส่วน เป็นเช่นนี้โอกาสรอดยังเพิ่มขึ้นบ้าง หากท่านกังวล มิสู้รีบกลับไปพระราชวังเลี่ยกงเถิด อาศัยวรยุทธ์ของท่านน่าจะปกป้องสุยอวิ๋นให้ปลอดภัยได้”
เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยอย่างสุขุม “ไม่พ่ะย่ะค่ะ บ่าวขออนุญาตเป็นตัวแทนไปพบฉินหย่งด้วยตนเอง”
หลี่จื้อเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เพราะเหตุใด ท่านไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของสุยอวิ๋นหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเยือนเย็น “หากคุณชายของข้าเป็นอันใดไป ต่อให้ร่างกลายเป็นผุยผง บ่าวก็จักฆ่าล้างสำนักของคู่แค้นให้จงได้ แต่ยามนี้คุณชายเป็นตายร้ายดียังมิทราบ หากแผนการของคุณชายล้มเหลว ตอนนี้ก็คงตกอยู่ในมือศัตรูสิ้นชีวาไปแล้ว ต่อให้ข้ารีบเร่งกลับไปก็ไร้ประโยชน์ หากคุณชายยังอยู่ ถ้าเช่นนั้นลำพังบ่าวตัวคนเดียวย่อมมิอาจช่วยคุณชายฝ่าวงล้อมออกมาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจำต้องพยายามสุดกำลังทำให้คุณชายหลุดพ้นจากสถานการณ์อันตราย
ตอนนี้กองทัพขององค์ชายเดียวดายอยู่ที่นี่ ทหารที่ไล่ตามด้านหลังอีกครึ่งชั่วยามก็คงไล่ตามทัน กองทัพใหญ่ขององค์ชายกับกองทัพใหญ่ของฉีอ๋องน่าจะเร่งเดินทางมาไม่ทันเพราะสองฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่ ไม่มีฝ่ายใดผละจากสนามรบมาได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น กองทัพของแม่ทัพใหญ่ฉินจึงเป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวขององค์ชาย ทว่าองค์ชายมิอาจสั่งการกองทัพตระกูลฉินได้ หากฝ่ายรัชทายาทได้ตราทหารกับพระราชโองการมา กองทัพตระกูลฉินก็จะกลายเป็นศัตรูขององค์ชาย สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้กองทัพตระกูลฉินสนับสนุนองค์ชาย องค์ชายจึงจะคว้าชัยในศึกนี้ และเมื่อเป็นเช่นนี้จึงจะช่วยคุณชายของข้าได้ งานนี้มีหลี่ซุ่นเท่านั้นที่ทำได้ เพราะคุณชายของข้าเคยเตรียมการบางอย่างไว้ข้างตัวฉินหย่ง เรื่องนี้มีเพียงข้าที่รู้ชัด แม้คุณชายมิเอ่ย แต่ข้าเข้าใจความประสงค์ของเขา”
หลี่จื้อสีหน้ามีกำลังใจขึ้นมาก แล้วกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ พวกท่านนายบ่าวต่างชาญฉลาดกล้าหาญมิมีใครเทียม ถ้าเช่นนั้นข้าฝากภาระสำคัญไว้กับท่าน” พูดจบก็ส่งถุงผ้าไหมน้อยใบหนึ่งให้เสี่ยวซุ่นจื่อ
เสี่ยวซุ่นจื่อรับมาแล้วไม่เปิดดู แต่เอ่ยเสียงเรียบเฉย “องค์ชายโปรดระวัง แม้กองทัพตระกูลฉินจะมาช่วยองค์ชายได้ แต่ก็คงไม่มาในเวลาสั้นๆ แม้องค์ชายชำนาญกลศึกเหนือผู้ใด แต่เหวินจื่อเยียนมีกำลังทหารแข็งแกร่ง วรยุทธ์สูงส่ง องค์ชายคงลำบากอย่างยิ่ง ทว่าขอให้องค์ชายถ่วงเวลาไว้สองวัน บ่าวรับประกันว่าจะทำให้กองทหารตระกูลฉินเร่งเดินทางมาช่วยปกป้ององค์ชายให้จงได้ หากบ่าวล้มเหลว ถ้าเช่นนั้นย่อมมิมีสิ่งใดให้พูด พวกเรานายบ่าวจะตายตามไปกับองค์ชาย”
หลี่จื้อเอ่ยตอบ “ข้ารู้ความสามารถของท่านดี ท่านพยายามทำให้เต็มที่ก็พอ นัดหมายสองวัน ข้ายังมั่นใจอยู่บ้าง”
เสี่ยวซุ่นจื่อก้มเล็กน้อยเป็นการคำนับ จากนั้นบังคับอาชาบ่ายหน้าจากไป หลี่จื้อมองแผ่นหลังของเขาแล้วเอ่ยเสียงดัง “พักอีกครู่หนึ่ง จากนั้นพวกเราจะเร่งเดินทางต่อ หากรวมพลกับแม่ทัพจ่างซุนได้ อย่างน้อยก็จะปลอดภัยมิต้องกังวล หากรวมพลกับกองทัพใหญ่มิได้ ก็ห้ามปะทะซึ่งหน้ากับเหวินจื่อเยียน”
ทุกคนขานรับพร้อมกัน ต่างคนต่างรีบใช้เวลาพักเอาแรง หลี่จื้อทอดมองดวงตะวันที่เพิ่งโผล่พ้นฟ้าพลางเอ่ยว่า “สุยอวิ๋น ข้าฝากความหวังไว้กับท่านแล้ว”
ระหว่างที่ยงอ๋องฝ่าวงล้อม ทุกที่ภายในพระราชวังเลี่ยกงล้วนตื่นตระหนก หลี่หยวนกำลังเสวยพระกระยาหารอยู่ด้วยกันกับฮองเฮาและบรรดากุ้ยเฟย เขาขมวดคิ้วตรัสว่า “เหลิ่งชวน ด้านนอกเกิดอันใดขึ้น”
เหลิ่งชวนขานรับแล้วเดินออกจากประตูตำหนัก หลังจากนั้นจึงเห็นแสงเปลวเพลิงอยู่ไกลๆ เขาตกตะลึง เกิดเพลิงไหม้ในพระราชวังเลี่ยกงย่อมไม่ปกติแน่นอน นับประสาอะไรกับเมื่อยังมีเสียงฆ่าฟันดังลอยมาเลือนรางด้วย เขารีบกลับเข้ามาในตำหนักแล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท ดูเหมือนจะเกิดจลาจล ฝ่าบาทต้องการเรียกแม่ทัพใหญ่ฉินเข้าเฝ้าหรือไม่”
เวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น จากนั้นเสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยว่า “ฉินอี๋ เฉิงซูขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
หลี่หยวนรีบอนุญาต “เข้ามา”
ฉินอี๋กับเฉิงซูรีบร้อนเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงตะโกนของเขา หลี่หยวนตรัสถามเข้าประเด็น “แม่ทัพฉิน เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ฉินอี๋เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฝ่าบาท เหวยอิงอยู่หรือไม่”
หลี่หยวนงุนงงครู่หนึ่งก็ตรัสว่า “คืนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องให้เขาถ่ายทอดราชโองการจึงให้เขาไปพักแล้ว”
ฉินอี๋หน้าถอดสีเอ่ยว่า “เมื่อครู่เหวยอิงมาถ่ายทอดพระราชโองการ บอกว่าฝ่าบาทเรียกให้กระหม่อมกับเว่ยกั๋วกงเข้าเฝ้า แต่กระหม่อมเพิ่งมาถึงที่นี่ก็พบว่าฝั่งตะวันตกของราชวังเกิดจลาจล”
หลี่หยวนตรัสอย่างโกรธเกรี้ยว “นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้ามิได้ให้เหวยอิงถ่ายทอดพระราชโองการเสียหน่อย แม่ทัพฉิน ท่านได้เห็นพระราชโองการหรือไม่”
ฉินอี๋ยิ้มเจื่อน ทูลตอบว่า “เขากล่าวว่าฝ่าบาทดำรัสปากเปล่า เรียกกระหม่อมมาถามเรื่องการวางกำลังป้องกันพระราชวังเลี่ยกง”
เฉิงซูรีบกราบทูล “ฝ่าบาท น่ากลัวว่าจะมีคนก่อกบฏ สมควรเร่งเรียกรวมกองทหารราชองครักษ์กับเหล่าองครักษ์มาอารักขา”
ฉินอี๋หน้าเสีย วันนี้ผู้รับผิดชอบคุ้มกันตำหนักเสี่ยวซวงสมควรเป็นฉินชิง เหตุใดยามตนเข้ามากลับไม่เห็น เขาไม่ทันขออนุญาตจากหลี่หยวนก็พุ่งออกจากประตูตำหนักแล้วตะโกนเสียงดัง “ฉินชิง ฉินชิง รีบไสหัวออกมา”
แต่ฉินอี๋กลับพบว่านอกจากองครักษ์ส่วนพระองค์ที่คุ้มกันอยู่มองตามเสียงมา รอบด้านกลับไม่มีทหารราชองครักษ์ขานตอบสักคำ มือขยับกุมด้ามดาบ ฉินชิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย หัวใจของฉินอี๋เริ่มหนักอึ้ง เขาไม่เคยนึกแค้นการปล่อยปละละเลยของตนเท่าวันนี้ เหตุใดตนจึงไม่เฉลียวใจเลยว่ากองทหารราชองครักษ์ค่ายนี้อยู่ใต้บัญชาของฉินชิงมานานจนสำนักเฟิงอี้อาจสอดมือเข้าไปยุ่งแล้ว เจ้าลูกเนรคุณไร้ความสามารถคนนี้
หลี่หยวนเดินออกมาจากประตูตำหนักแล้วตรัสเสียงดัง “ยังไม่รีบไปเรียกแม่ทัพฉินชิงมาอีก”
เวลานี้เอง เสียงหัวเราะราวกระดิ่งเงินก็ดังมาจากไกลๆ สตรีกลุ่มหนึ่งเดินออกมาแต่ไกล ผู้ที่นำหน้ามาคือหลี่หันโยว ข้างกายนางคือฉินเจิงพระชายาฉีอ๋อง กับหญิงงามอีกนางหนึ่ง ทั้งสามคนล้วนสวมชุดจอมยุทธ์สีขาวนวล ข้างกายเหน็บกระบี่ยาว ด้านหลังพวกนางคือมือกระบี่หญิงผู้สวมอาภรณ์สีหิมะสามสิบหกนางแบ่งเป็นสี่แถว รอบกายพวกนางจิตสังหารเย็นยะเยือกเอ่อล้น อีกทั้งฝีก้าวยังมั่นคง เคลื่อนไหวสอดรับกัน ทำให้ไอสังหารเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี
หลี่หันโยวก้าวมาถึงตีนบันไดก็ยอบกายคำนับเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันรับบัญชาองค์รัชทายาทให้นำทัพปราบกบฏยงอ๋อง องค์ชายเป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาทจึงตั้งใจส่งหม่อมฉันมาคุ้มครอง”
หลี่หยวนหน้าถมึงทึง เขาตรัสด้วยสุรเสียงเย็นเยือก “พวกเจ้าคิดว่าทำได้หรือ” เหลิ่งชวนเดินมาข้างกายเขา จากนั้นหลี่หยวนก็ตรัสอย่างเย็นชา “พวกเจ้าไม่มีทางควบคุมกองทหารราชองครักษ์ได้ทั้งหมด ขอเพียงข้าบัญชาคำเดียว กองทหารราชองครักษ์เหล่านั้นก็จะหันหอกกลับด้าน”
หลี่หันโยวยิ้มหยันตอบว่า “ฝ่าบาทตรัสไม่ผิด แม่ทัพใหญ่ปกครองกองทหารอย่างเข้มงวด พวกเราไม่มีหนทางควบคุมกองทหารราชองครักษ์ทั้งหมดจริงๆ จนถึงตอนนี้พวกเราก็คุมกองทหารราชองครักษ์ได้เพียงห้าพันนายนี้เท่านั้น แล้วยังต้องส่งทหารราชองครักษ์สองพันนายออกไปไล่ล่าสังหารยงอ๋องอีก ทว่านี่ก็เพียงพอแล้ว ขอเพียงฝ่าบาทก้าวออกจากตำหนักเสี่ยวซวงมิได้ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็ควบคุมกองทหารราชองครักษ์ได้ทั้งหมด”
หลี่หยวนหน้าถอดสี ตรัสขึ้นว่า “พวกเจ้าขโมยป้ายทองของข้าไปแล้ว”
หลี่หันโยวแย้มรอยยิ้มตอบ “ฝ่าบาททรงพระปรีชาโดยแท้ ผู้ที่ควบคุมกองทหารราชองครักษ์ทั้งหมดได้มีเพียงตัวแม่ทัพใหญ่ฉินกับป้ายทองของฝ่าบาท ยามนี้ตัวแม่ทัพใหญ่ฉินอยู่ที่นี่ ป้ายทองของฝ่าบาทอยู่ในมือพวกเรา ฝ่าบาท ท่านไร้กำลังแล้ว เมื่อพวกเรารวบตัวกบฏได้ทั้งหมด ถึงเวลาองค์รัชทายาทจะมาขออภัยฝ่าบาทด้วยตนเอง”
หลี่หยวนร่างกายสั่นระริก ความเดือดดาลหาใดเปรียบทำให้เขาแทบจะยืนไม่อยู่ เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ผู้ใดขโมยป้ายทองของข้า”
เวลานี้เอง ฮองเฮากับกุ้ยเฟยทั้งสามก็เดินออกมาจากด้านในตำหนัก ฮองเฮาสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ส่วนจี้กุ้ยเฟยมีรอยยิ้มจางๆ จ่างซุนกุ้ยเฟยตัวสั่นเทา ส่วนเหยียนกุ้ยเฟยท่าทางตกตะลึงระคนหวาดกลัว สายตาของหลี่หยวนเคลื่อนไปจับบนร่างจี้กุ้ยเฟย เป็นไปไม่ได้ เขาระวังจี้กุ้ยเฟยอย่างดีมาตลอด ถ้าเช่นนั้นผู้ใดเล่า จ่างซุนกุ้ยเฟยไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน นางไม่มีเหตุผลให้ทำเช่นนี้ เหยียนกุ้ยเฟยอ่อนโยนขี้กลัว ยิ่งไม่มีทางทำเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็เหลือเพียงคนเดียว สายตาของเขาจับอยู่บนร่างฮองเฮา