ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 51 โลหิตเปื้อนพระราชฐาน (1)
ดวงตาของโต้วซื่อผู้เป็นฮองเฮาฉายแววรู้สึกผิดเจือจาง แต่จากนั้นก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความลำพองและความหยิ่งทะนง หลี่หยวนตรัสอย่างเย็นชา “จื่อถง เจ้าเป็นฮองเฮาผู้ทรงศักดิ์อยู่แล้ว เหตุใดจึงทำเรื่องเช่นนี้”
โต้วซื่อยิ้มขมขื่นตอบว่า “ฮองเฮาผู้ทรงศักดิ์หรือ เหอะ หม่อมฉันรู้เพียงว่าหากบุตรของหม่อมฉันมิได้สืบราชบัลลังก์ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันกับเขาก็มีแต่ตายสถานเดียว ยามนี้ฝ่าบาทคิดจะปลดรัชทายาท เปลี่ยนไปแต่งตั้งยงอ๋อง เอาหม่อมฉันกับรัชทายาทไปไว้ที่ใด” กล่าวถึงท่อนท้าย โต้วซื่อก็เริ่มแผดเสียง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ
หลี่หยวนตกตะลึง แล้วตรัสอย่างโกรธขึ้ง “ข้าจะปลดรัชทายาทตั้งแต่เมื่อใด เจ้าฟังผู้ใดยุแยงมา”
ดวงตาของโต้วซื่อฉายแววละอายใจก่อนจะหลบสายตาหลี่หยวน จี้กุ้ยเฟยกลับหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ฝ่าบาท หัวใจท่านสั่นคลอนแล้ว ทุกคนในราชสำนักต่างรู้ดี อีกอย่าง รัชทายาททำผิดมาเรื่องหนึ่ง กังวลว่าท่านจะลงโทษ ดังนั้นจึงมิอาจไม่เกลี้ยกล่อมฮองเฮาให้ทำเช่นนี้”
หลี่หยวนหันไปมองฉินอี๋ด้วยแววตาเย็นยะเยือก ฉินอี๋เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ฝ่าบาท กระหม่อมก็เพียงได้ยินข่าวลือมา ว่ากันว่ารัชทายาทย่ำยีภรรยาของขุนนางตำหนักบูรพาจนฆ่าตัวตาย แต่กระหม่อมมิสะดวกเอ่ยปาก เรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของขุนนางผู้ถวายคำปรึกษา”
หลี่หยวนตรัสอย่างเดือดดาล “เดรัจฉาน เพิ่งจะให้เขาขัดเกลานิสัย กลับทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นับแต่โบราณมา เจ้าแผ่นดินมิประพฤติสมเป็นนาย ขุนนางย่อมมิสวามิภักดิ์เป็นบ่าว ข้าจะ…” กล่าวถึงตรงนี้ หลี่หยวนก็เงียบ เขามองฮองเฮา โต้วซื่อสีหน้าซีดเผือดเอ่ยว่า “อันเอ๋อร์มาร่ำไห้ฟ้องหม่อมฉันว่าหากเรื่องนี้แพร่ไปถึงพระกรรณของฝ่าบาท เกรงว่าตำแหน่งรัชทายาทคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว หม่อมฉันมีบุตรเพียงคนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจเบิ่งตามองเขาเดินไปสู่ความพินาศได้”
หลี่หยวนยิ้มอย่างรวดร้าว “ดี ดี เป็นสามีภรรยากันมานานปี ที่แท้เจ้าก็คิดถึงแต่เจ้าลูกเนรคุณผู้นั้น เอาเถิด เอาเถิด” สีหน้าเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก ก่อนจะตรัสว่า “จี้เสีย หลี่หันโยว หากข้าออกจากตำหนักเสี่ยวซวงได้ แผนการของพวกเจ้าไม่มีทางสำเร็จ”
จี้กุ้ยเฟยยิ้มหวานตอบว่า “หม่อมฉันทราบว่าฝ่าบาทมีองครักษ์อยู่ที่นี่ร้อยนาย แต่หม่อมฉันเชื่อมั่นว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดหลุดออกไปได้แม้สักคน”
หลี่หยวนหัวเราะหยัน แล้วตวาดเสียงดัง “สังหารกบฏเหล่านี้ให้หมด” เหล่าองครักษ์ที่เร้นกายอยู่ในตำหนักข้างพุ่งออกมาพร้อมกับเสียงของหลี่หยวน เดิมทีหลี่หยวนเห็นใจพวกเขาจึงให้องครักษ์ที่ยังไม่ถึงผลัดพักอยู่ที่ตำหนักข้าง ดังนั้นแม้องครักษ์ด้านนอกจะถูกสำนักเฟิงอี้กำจัดจนเกลี้ยง แต่ก็ยังมีทหารที่รอดชีวิตอยู่กลุ่มหนึ่ง
เมื่อหลี่หยวนออกคำสั่ง ฉินอี๋กับเฉิงซูพลันก้าวมาขวางหน้าจักรพรรดิกับจ่างซุนกุ้ยเฟยเพื่อปกป้องทั้งสองคนทันที ฝ่ายเหลิ่งชวนกระโจนเข้าใส่จี้กุ้ยเฟย จี้กุ้ยเฟยสลัดอาภรณ์นางสนมทิ้ง เผยชุดจอมยุทธ์สีดำทั้งตัวออกมา จากนั้นทั้งสองคนก็ต่อสู้โรมรันกัน องครักษ์ที่สวมอาภรณ์สีเหลืองเหล่านั้นประมืออยู่กับบรรดามือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้ เพียงพริบตาเดียวเบื้องหน้าตำหนักเสี่ยวซวงก็กลายเป็นลานสังหาร
เหยียนกุ้ยเฟยมองภาพนี้อย่างหวาดผวา เวลานี้เอง ฉินเจิงพลันโผเข้ามาเอ่ยเสียงดัง “เสด็จแม่ รีบถอยไปหลบในตำหนักกับฮองเฮา”
แม้ยามปกติเหยียนกุ้ยเฟยจะอ่อนแอ แต่เวลานี้นางลังเลเพียงชั่วครู่ก็ตะโกนขึ้นว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ เพคะ” กล่าวจบก็พุ่งไปหาหลี่หยวน
ฉินเจิงตะลึง เดิมทีคิดจะเอื้อมมือไปคว้า แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เอื้อมมือออกไป หลี่หยวนขมวดคิ้วมองเหยียนกุ้ยเฟยที่ดวงหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เขารู้ดี สนมนางนี้ปกติแล้วหัวอ่อนและอ่อนแอเป็นที่สุด ไม่มีทางเข้าร่วมก่อกบฏได้จริงๆ เขาจึงถอนหายใจแล้วปล่อยให้เหยียนกุ้ยเฟยโถมเข้ามาในอ้อมแขนของตน ฉินอี๋กับเฉิงซูตอนแรกตั้งท่าจะลงมือแล้ว แต่เหยียนกุ้ยเฟยฐานะสูงศักดิ์ ทั้งสองคนจึงไม่กล้าลงมือ การลังเลจังหวะนี้ทำให้เหยียนกุ้ยเฟยโถมมาถึงอ้อมแขนของหลี่หยวนสำเร็จ หลี่หยวนผลักนางไปให้จ่างซุนกุ้ยเฟย พระสนมกุ้ยเฟยทั้งสองนางประคองกันและกันเอาไว้พลางมองดูภาพด้านล่างบันไดอย่างพรั่นพรึง
ฉินเจิงกระทืบเท้าโผเข้าไปประมือกับเหลิ่งชวนร่วมกับจี้เสีย จี้เสียรับหน้าที่คุ้มกันจักรพรรดิต้ายงมานานหลายปี มักจะร่วมงานกับเหลิ่งชวนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงรู้วรยุทธ์ของเหลิ่งชวนดีอย่างยิ่ง ส่วนฉินเจิงแม้จะได้ลงมือน้อยครั้ง แต่นางเกิดมาเฉลียวฉลาด วิชากระบี่แกร่งกล้า ทั้งสองคนจึงกักตัวเหลิ่งชวนไว้สำเร็จ แม้มิอาจเอาชนะ แต่เหลิ่งชวนก็อย่าคิดว่าจะหลุดจากการร่วมมือกันของพวกนางไปได้
ในเวลานี้ เหล่าองครักษ์ด้านล่างก็เริ่มเสียท่า แม้พวกเขาล้วนวรยุทธ์สูงส่ง แต่มากกว่าครึ่งมาจากกองทัพจึงถนัดการร่วมมือทำศึก ขณะที่ค่ายกลกระบี่ของศิษย์หญิงสำนักเฟิงอี้เหล่านั้นโหดเหี้ยมอำมหิต ลงมือประสานไร้ช่องโหว่ พวกนางช่วยเหลือกันและกัน เพลงกระบี่อันโหดเหี้ยมแยกองครักษ์เหล่านั้นออกจากกัน ใช้เวลาเพียงไม่นาน บนพื้นก็มีศพและโลหิตอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
หลี่หยวนร้อนใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าค่ายกลกระบี่ของสำนักเฟิงอี้จะร้ายกาจเช่นนี้ ครานี้จะทำเช่นไรดี
หลี่หันโยวบัญชาการอย่างเยือกเย็นพลางตกตะลึงกับวรยุทธ์ของมือกระบี่หญิงเหล่านี้ น่าเสียดายที่อนาคตตนมิอาจควบคุมพวกนางได้ หากเป็นเช่นนั้น ไยมิใช่ตนต้องตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นไปตลอด นางเริ่มขบคิดว่าหากแย่งชิงอำนาจควบคุมมือกระบี่หญิงเหล่านี้มาได้จะเป็นอย่างไร พร้อมกับสังเกตการเคลื่อนไหวของแต่ละคนในที่นั้นไปด้วย แม้เหลิ่งชวนจะยังเหนือกว่า แต่ก็ผละออกมาไม่ได้ ส่วนค่ายกลกระบี่ดาราสวรรค์ของมือกระบี่หญิงสามสิบหกนางที่ตนพามากำลังกลืนกินชีวิตอย่างรวดเร็ว ดูท่าน่าจะจัดการให้จบได้อย่างรวดเร็ว เหลือแต่ไปเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิเท่านั้น นางพาเซี่ยเสี่ยวถงก้าวไปหาหลี่หยวน ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ฉินอี๋กับเฉิงซูต่างเผยสีหน้าวิตก หากอยู่กลางศึกบนสนามรบ พวกเขาย่อมไร้ความหวาดกลัว ทว่าการฆ่าฟันในยุทธภพเช่นนี้ พวกเขาไม่มั่นใจว่าจะรับมือหลี่หันโยวกับศิษย์หญิงสำนักเฟิงอี้เหล่านั้นได้ ต้ายงแตกต่างจากแคว้นอื่น ยอดฝีมือทางวรยุทธ์ส่วนใหญ่ล้วนทำงานอยู่ในกองทัพ ยอดฝีมือภายในพระราชวังกลับน้อยกว่าอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยามปกติยังมองมิออกเพราะสำนักเฟิงอี้รับผิดชอบงานอารักขาส่วนมาก แต่เมื่อสำนักเฟิงอี้หันหอกกลับมา กำลังขององครักษ์ข้างพระวรกายจักรพรรดิต้ายงจึงลดน้อยลงอย่างมากในทันใด แน่นอนว่าเพลงกระบี่อันล้ำเลิศของสำนักเฟิงอี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยามนี้สำนักเฟิงอี้ครองความได้เปรียบอย่างมั่นคง
เวลานี้เอง เซี่ยเสี่ยวถงพลันดึงแขนเสื้อของนางไว้แล้วกระซิบเสียงเบา “ด้านนอกมีคนโวยวายอยู่ ศิษย์น้องคงต้องไปดูสักหน่อย ยามนี้มิอาจให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรากำลังบีบจักรพรรดิให้สละบัลลังก์”
หลี่หันโยวขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ท่านอยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูสักหน่อย”
กล่าวจบก็เหินออกจากประตูตำหนักราวกับบิน ด้านนอกทหารราชองครักษ์สามพันนายที่พวกนางคุมได้กำลังล้อมตำหนักเสี่ยวซวงไว้จนแม้แต่น้ำก็มิอาจผ่าน เวลานี้ตรงประตูตำหนักมีสตรีสวมอาภรณ์ชาววังผู้หนึ่งกำลังตะโกนเสียงกร้าว “ข้าคือองค์หญิงแห่งราชวงศ์ ต้องการเข้าไปคารวะเสด็จพ่อ ผู้ใดกล้าขวางทางข้า” นางก็คือองค์หญิงฉางเล่อที่พานางข้าหลวงสองสามคนกับขันทีน้อยคนหนึ่งมาด้วย
หลี่หันโยวดวงตาเป็นประกาย หากคุมองค์หญิงไว้ในมือ ย่อมมิกลัวหลี่หยวนไม่ประนีประนอม นางเดินเข้าไปใกล้องค์หญิงฉางเล่อแล้วยิ้มเย็นชา เอ่ยว่า “เหตุใดองค์หญิงจึงเสด็จมาถึงที่นี่ ระหว่างทางมิมีผู้ใดขวางหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ระบุมิได้ ก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าเห็นว่าในวังวุ่นวาย เป็นห่วงเสด็จพ่อเสด็จแม่จึงมาถามไถ่ แม้ระหว่างทางมีคนขัดขวาง แต่ผู้ใดจะกล้าเป็นอริกับข้าจริง หลี่หันโยว เหตุใดเจ้าอยู่ที่นี่ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ยังปลอดภัยดีหรือไม่”
หลี่หันโยวมององค์หญิงฉางเล่อ ก็เห็นว่าดวงหน้าที่ยามปกติจะเยือกเย็นของนางมีความน่าเกรงขามของเชื้อพระวงศ์เพิ่มขึ้นมาหลายส่วน ไม่แปลกที่มิมีผู้ใดกล้าขวาง ถึงอย่างไรทหารราชองครักษ์เหล่านั้นด้านนอกก็เพียงถูกตนหลอกลวงอยู่เท่านั้น ไม่แปลกที่จะปล่อยองค์หญิงฉางเล่อมาถึงนอกตำหนักเสี่ยวซวง ทว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี หลี่หยวนรักองค์หญิงฉางเล่อ น่าจะบีบบังคับหลี่หยวนให้ยอมจำนนได้ หากหลี่หยวนตั้งใจจะยอมแลกให้พินาศไปด้วยกันจริง เกรงว่าวันหน้าจะเก็บกวาดลำบาก ด้วยเหตุนี้หลี่หันโยวจึงเอ่ยเสียงเย็นชา “ยงอ๋องก่อกบฏ จิ้งเจียงจึงตั้งใจมาอารักขา องค์หญิง เชิญ” ดวงตาขององค์หญิงฉางเล่อทอประกายเย็นเยียบ พลางเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ดี ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
กล่าวจบองค์หญิงฉางเล่อพลันก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน นางข้าหลวงทั้งหลายข้างกายรีบติดตาม ทหาราชองครักษ์เหล่านั้นกำลังจะขวาง หลี่หันโยวกลับโบกมือพลางคิดในใจว่าคนเหล่านี้ตามเข้ามาก็ดี หรือจะปล่อยให้พวกเขาออกไปพูดจาเหลวไหลกันเล่า
องค์หญิงฉางเล่อเดินเข้ามาในประตูตำหนักก็เห็นโลหิตเปื้อนทุกหนแห่ง เรือนร่างอรชรของนางซวนเซ เวลานี้จ่างซุนกุ้ยเฟยซึ่งอยู่บนที่สูงมองเห็นนางเข้าก็ร้องตะโกนอย่างตกใจ “เจินเอ๋อร์” นางกำลังจะก้าวลงมาแต่ถูกหลี่หยวนขวางไว้ หลี่หยวนมองหลี่หันโยวที่ยืนอยู่ข้างกายองค์หญิงฉางเล่อ แล้วตรัสอย่างโกรธเกรี้ยว “หลี่หันโยว เจ้าก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ข้าพระราชทานแต่งตั้งเจ้าเป็นองค์หญิง คิดไม่ถึงเจ้ากลับเนรคุณเช่นนี้” ประโยคนี้ของเขาทำให้ฉินอี๋ เฉิงซู กับองค์หญิงฉางเล่อสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา
ทว่าหลี่หันโยวผู้ขุ่นเคืองจากความอับอายมิทันสังเกต เพียงขยับยิ้มเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หากท่านยอมถอยก้าวหนึ่ง หม่อมฉันตายหมื่นหนก็มิกล้าล่วงเกิน หากมิเช่นนั้น…” นางมองไปทางองค์หญิงฉางเล่อ
ตอนนี้องค์หญิงฉางเล่อกลับมาเป็นสภาพปกติแล้ว นางไม่มองหลี่หันโยวสักครั้ง แต่เอ่ยเสียงดังว่า “เสด็จพ่อ ลูกมีเรื่องต้องกราบทูล ขอเสด็จพ่อโปรดระงับโทสะก่อน”
หลี่หยวนฉุกใจคิด เมื่อเห็นว่ายามนี้สถานการณ์ไม่เป็นผลดีกับตนจึงถอนหายใจยาวแล้วตรัสว่า “ก็ได้ ฉางเล่อ มาฟังกันว่าเจ้าจะพูดอันใด ถอยออกไปให้หมด”
หลี่หันโยวในใจรู้สึกยินดี ถึงอย่างไรนางก็ไม่กลัวว่าหลี่หยวนจะหนีรอด จึงโบกมือครั้งหนึ่ง มือกระบี่หญิงเหล่านั้นถอยไปอยู่หลังร่างหลี่หันโยวอย่างรวดเร็ว องครักษ์ที่โชคดีมีชีวิตรอดเหล่านั้นก็ถอยไปอยู่หน้าขั้นบันไดคอยคุ้มกันพวกหลี่หยวน เหลือเพียงโต้วฮองเฮาที่ยืนเดียวดายอยู่ด้านข้าง
องค์หญิงฉางเล่อมองหลี่หันโยวแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “จะคุยเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าธารกำนัลคงมิได้ จิ้งเจียงหากไม่ติดขัดอันใด มิสู้พวกเราเข้าไปเจรจากันในตำหนัก”
หลี่หันโยวต้องการเพียงให้เรื่องจบลงโดยง่ายจึงยอมผ่อนปรนด้วยความยินดี ขยับยิ้มตอบ “ก็สมควรเป็นเช่นนั้น”