ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 52 โลหิตเปื้อนพระราชฐาน (2)
พวกหลี่หยวนกับฉินอี๋ล้วนยินดีอยู่ในใจ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาย่อมอาศัยห้องหับวางกำลังป้องกันได้ พวกเขาล้วนต้องมององค์หญิงฉางเล่อใหม่ ตอนนี้มือกระบี่สำนักเฟิงอี้จึงล้อมตำหนักเสี่ยวซวงไว้ พวกหลี่หยวนเข้าไปในตำหนักเสี่ยวซวงอย่างระแวดระวัง เหล่าองครักษ์คุมทางเข้าออกแต่ละทิศ หลี่หยวนนั่งลงบนบัลลังก์ ฉินอี๋กับเฉิงซูยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวา จี้กุ้ยเฟยกับหลี่หันโยวยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม สองฝ่ายประจันหน้ากันท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้ง ต่างฝ่ายมิทราบว่าสมควรเปิดปากเช่นไร
ตอนนี้เอง องค์หญิงฉางเล่อพลันลุกขึ้นยืนคำนับหลี่หยวน จากนั้นจึงเอ่ยว่า “องค์หญิงจิ้งเจียง มิว่าพวกเจ้าจะเถียงเช่นไร ยามนี้ก็กำลังปิดล้อมโจมตีเสด็จพ่ออยู่ นี่คือการกระทำของกบฏ มิว่าเป็นรัชทายาทหรือเสด็จพี่รอง เรื่องเช่นนี้ก็มิอาจยอมรับ แต่ในเมื่อเป้าหมายของพวกเจ้าเพียงต้องการให้เสด็จพ่อพักผ่อนอยู่ในตำหนักเสี่ยวซวงชั่วคราว หากใช้กำลังบีบบังคับจนเสด็จพ่อรับมิได้คงไม่มีผลดีอันใดต่อพวกเจ้า ถ้าเจ้ายอมสงบใจเจรจากับเสด็จพ่อ หารือเงื่อนไขสักสองสามประการจะไม่ดีกว่าฆ่าฟันกันเช่นตอนนี้หรอกหรือ อีกประการหนึ่ง ยามนี้เสด็จพี่รองฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว งานสำคัญของพวกเจ้าย่อมมิใช่การวุ่นวายอยู่ที่นี่”
หลี่หันโยวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที สิ่งที่องค์หญิงฉางเล่อพูดนางย่อมเข้าใจ ทว่าสิ่งที่พวกนางต้องการ หลี่หยวนไฉนเลยจะยอมตกลง นางเหลือบมองจี้กุ้ยเฟย แววตาขอคำปรึกษา จี้กุ้ยเฟยขยับยิ้ม เอ่ยว่า “ฉางเล่อช่างเป็นคนมีเหตุผล พวกเรามีข้อเรียกร้องไม่มาก ขอให้ฝ่าบาทกับแม่ทัพใหญ่ฉินมอบตราทหารเพื่อให้พวกเราเคลื่อนกองทัพของแม่ทัพใหญ่ฉินได้ หลังจบเรื่อง รัชทายาทย่อมมาขอพระราชทานอภัยกับฝ่าบาท”
พวกหลี่หยวนเผยสีหน้าเกรี้ยวกราด ขณะที่กำลังจะปฏิเสธ องค์หญิงฉางเล่อกลับเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มิอาจบุ่มบ่ามตัดสินใจ มิสู้พวกท่านรออยู่ข้างนอกสักครู่ ให้พวกเราหารือกันสักหน่อย”
หลี่หันโยวครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “เวลาหนึ่งก้านธูป พอหรือไม่”
เงื่อนไขที่นางตั้งโหดร้ายอย่างยิ่ง แต่องค์หญิงฉางเล่อกลับเอ่ยทันที “เวลาเพียงพอแล้ว เชิญท่านทั้งหลายออกไปรอข้างนอกก่อนสักประเดี๋ยว ให้ข้าเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อ เหยียนกุ้ยเฟย ท่านไม่ต้องการไถ่ถามสภาพของเสด็จพี่หกหรือ”
เหยียนกุ้ยเฟยกำลังสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อได้ยินองค์หญิงฉางเล่อพูดก็เอ่ยว่า “เจิงเอ๋อร์ เสี่ยนเอ๋อร์อยู่ที่ใด ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะทรยศเจ้าแผ่นดินเนรคุณบิดาเช่นนี้”
ฉินเจิงมองหลี่หันโยวอย่างลำบากใจ แต่หลี่หันโยวเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านไปอธิบายกับพระสนมสักหน่อย” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกจากประตูตำหนัก จี้กุ้ยเฟยแย้มรอยยิ้มชวนโต้วฮองเฮากับเหยียนกุ้ยเฟยไปสนทนาที่ตำหนักข้าง ยามนี้ในตำหนักจึงเหลือเพียงองค์หญิงฉางเล่อกับพวกหลี่หยวน
หลี่หยวนเห็นคนเดินออกไปแล้วจึงถามขึ้นอย่างฉงน “ฉางเล่อ เจ้ากำลังคิดจะทำอันใด”
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มละไมเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ สถานการณ์ยามนี้อันตราย แต่เสด็จพี่รองหนีออกไปสำเร็จแล้ว การรวบรวมกองทัพยกพลมาช่วยคงเกิดขึ้นในเร็ววัน หากเสด็จพ่อเป็นอันใดไปจะปราบกบฏทวงอำนาจคืนได้เช่นไร ดังนั้นเสด็จพ่อมิสู้อดกลั้นไว้ก่อน ข้าคิดว่าก่อนพวกเขาจับเสด็จพี่รองได้ คงมิกล้าลงมือกับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะยังรักษากองกำลังส่วนหนึ่งไว้ได้ชั่วคราว ป้องกันมิให้ถึงเวลาพวกเขาร้อนรนเป็นสุนัขกระโดดกำแพงแล้วหันมาทำร้ายเสด็จพ่อกับเสด็จแม่”
หลี่หยวนถอนหายใจแล้วตรัสว่า “ข้าไยจะมิรู้เหตุผลข้อนี้ แต่พวกนางเรียกร้องมากเกินไป หากมอบตราทหารให้พวกนาง มิต้องพูดถึงว่าเสด็จพี่รองของเจ้าคงไม่มีโอกาสรอด แม้แต่ข้าเองก็คงกลายเป็นของในกระเป๋าของผู้อื่น”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ จุดนี้มิต้องกังวลพระทัย พวกนางต้องการตราทหารหรือราชโองการก็มอบให้พวกนางไป ผู้ที่บัญชาการกองทัพของแม่ทัพใหญ่ฉินเป็นคนสนิทของแม่ทัพใหญ่ จะไม่มีของแทนตัวที่รู้กันอย่างลับๆ เชียวหรือ ถึงเวลาแนบราชโองการลับของเสด็จพ่อไปด้วย มิใช่สำเร็จแล้วหรือ”
ฉินอี๋เปลี่ยนสีหน้าไปทันทีแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท นี่ดูเข้าท่า ฉินหย่งเป็นหลานของกระหม่อม เขาจงรักภักดีต่อเชื้อพระวงศ์ หากฝ่าบาทเขียนราชโองการลับแล้วประทับตราส่วนพระองค์ เขาย่อมดูออก เมื่อเพิ่มของแทนตัวของข้าไปด้วย ต้องทำให้เขาเคลื่อนทัพมาช่วยฝ่าบาทได้แน่”
หลี่หยวนสีพระพักตร์ปีติยินดีแล้วตรัสว่า “ดี ฉางเล่อช่างคิดถี่ถ้วนเสียจริง” แต่เมื่อกวาดสายตามองรอบตัวกลับไม่มีกระดาษพู่กัน ฉางเล่อกลับล้วงผ้าเช็ดหน้าแพรสีขาวผืนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อแล้วเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ขอเพียงท่านประทับตราลับก็พอ หลังจากนี้จะมีผู้เขียนราชโองการให้”
หลี่หยวนทำหน้าลังเล เวลานี้หัวใจเขามิกล้าเชื่อใจผู้ใดทั้งสิ้น องค์หญิงฉางเล่อเห็นสถานการณ์พลันรีบเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ลูกก็จนหนทาง หากเสด็จพ่อเขียนคำบัญชาไว้ ราชโองการลับฉบับนี้ต้องส่งออกไปมิได้แน่ เสด็จพ่อ ท่านก็ทราบว่าลูกกับรัชทายาทบาดหมางกันมาตลอด ลูกจะลงแรงช่วยพวกเขาได้หรือ”
หลี่หยวนมองฉางเล่ออีกหน ในที่สุดก็ถอดแหวนบนนิ้วออกมาประทับตราบนผ้าเช็ดหน้าแพร องค์หญิงฉางเล่อรีบรับผ้าเช็ดหน้าแพรมาแล้วมองไปทางฉินอี๋ ฉินอี๋กลับไม่ลังเลแม้แต่น้อย ส่งหยกห้อยเอวชิ้นหนึ่งให้องค์หญิงฉางเล่อ หยกชิ้นนี้ธรรมดายิ่งนัก องค์หญิงฉางเล่อสงสัยเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ ฉินอี๋จึงเอ่ยว่า “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่หย่งเอ๋อร์มอบให้ข้า เขาจะต้องจำได้แน่นอน”
ตอนนี้องค์หญิงฉางเล่อจึงวางใจ เอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพฉินชิงคงถูกสำนักเฟิงอี้คุมขังไว้ ประเดี๋ยวมิสู้ขอพวกเขาให้ส่งแม่ทัพฉินมา” ฉินอี๋สีหน้าหม่นหมองแต่ไม่พูดคำใด
เวลานี้ หลี่หันโยวก็เอ่ยเสียงดัง “หมดเวลา ข้าจะเข้าไปแล้ว” ครั้งนี้เมื่อเดินเข้ามา หลี่หันโยวมีสีหน้าเย็นยะเยือก ดูท่าจะต้องการคำตอบที่แน่ชัดแล้ว
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยอย่างไม่แข็งไม่อ่อน “จิ้งเจียง เสด็จพ่อยอมให้ตามที่เจ้าต้องการ แต่พวกเราก็มีเงื่อนไข”
หลี่หันโยวแววตาไหววูบ เอ่ยว่า “ขอเพียงสมเหตุสมผล พวกเราล้วนเจรจากันได้”
องค์หญิงฉางเล่อขยับยิ้มเอ่ยตอบ “เงื่อนไขเหล่านี้มิได้ยากเย็น ประการแรกหากไม่ได้ตัวเสด็จพี่รอง หรือไม่ได้เห็นศีรษะของเสด็จพี่รอง พวกเจ้าจงอย่ามารบกวนเสด็จพ่ออีก”
หลี่หันโยวตอบทันใด “ข้อนี้ไม่เป็นปัญหา กบฏยังไม่ถูกกำจัด พวกเราย่อมไม่มารบกวนฝ่าบาท”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “เงื่อนไขข้อที่สอง แม่ทัพฉินชิงคงจะถูกพวกเจ้าจับตัวไว้ ส่งเขามาคงจะไม่เป็นปัญหาสินะ”
หลี่หันโยวยิ้มเย็นชา ในใจคิดว่าฉินชิงไร้ประโยชน์แล้ว จึงเอ่ยว่า “ข้อนี้ก็ไม่มีปัญหา ประเดี๋ยวข้าจะส่งคนมาให้” แม้นางไม่เผยสีหน้าอันใดออกมา แต่ในตำหนักแห่งนี้ ผู้ใดมิใช่ยอดฝีมือในการอ่านน้ำเสียงกับสีหน้า พวกเขาต่างมองความในใจของนางออกทันที ความเกลียดชังยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายส่วน
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มละไมเอ่ยว่า “เงื่อนไขข้อที่สามนี้ข้าเป็นผู้ขอ นางข้าหลวงของข้ากับเสด็จแม่ล้วนอยู่ในอุทยานหันเซียง ยามนี้ภายในพระราชวังเลี่ยกงโกลาหลไปหมด ข้าต้องการให้นางข้าหลวงเหล่านั้นมาที่ตำหนักเสี่ยวซวง มิทราบจะอนุญาตหรือไม่”
หลี่หันโยวคิดในใจว่าต่อให้เจ้าไม่เอ่ย ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเจ้ากลับอุทยานหันเซียง นางพยักหน้าตอบ “เรื่องนี้แน่นอน ข้าจะส่งคนไปรับพวกนางมาเดี๋ยวนี้”
องค์หญิงฉางเล่อกลับเอ่ยว่า “ช้าก่อน โปรดพาเขาไปด้วย ยามข้าออกมาจากอุทยานหันเซียง เคยสั่งไว้ว่านอกจากจะมีคำสั่งของข้า ห้ามพวกนางออกจากอุทยานหันเซียงตามอำเภอใจแม้แต่ครึ่งก้าว ให้บ่าวผู้นี้กลับไปถ่ายทอดคำสั่งของข้า จะได้ไม่เกิดปัญหาเพิ่ม”
หลี่หันโยวเดิมจะปฏิเสธ แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เรื่องบางอย่างยอมถูกคนลือได้ แต่มิอาจยอมให้คนเห็น หากกลายเป็นว่าทุกคนล้วนรู้กันหมดสิ้น อนาคตจะปิดปากก็คงยุ่งยาก นางเหลือบมองจี้กุ้ยเฟย เมื่อเห็นนางพยักหน้าน้อยๆ จึงตอบว่า “ได้ เอาตามนี้ก็แล้วกัน”
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญจิ้งเจียงไปทำเถิด หากไม่มีปัญหา หลังจากแม่ทัพฉินชิงกับนางข้าหลวงของข้ามาถึง เสด็จพ่อจะมอบตราทหารให้เจ้า”
ดวงตาของหลี่หันโยวทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากข้ารักษาสัญญาแต่ฝ่าบาทกลับคำจะทำเช่นไรเล่า ข้าไม่มีเวลามาวุ่นวายกับพวกท่านมากปานนั้น”
หลี่หยวนแค่นเสียงเหอะอย่างเย็นชา องค์หญิงฉางเล่อกลับเอ่ยอย่างเยือกเย็น “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะมอบชีวิตให้เจ้า”
หลี่หันโยวยิ้มอย่างสมใจ ตอบว่า “ดี วิญญูชนพูดแล้วไม่คืนคำ” กล่าวจบก็ยกมือขวาขึ้น องค์หญิงฉางเล่อยิ้มละไมพลางก้าวเข้าไปหา จากนั้นยกฝ่ามือเรียวงามขึ้นมา ทั้งสองคนประกบฝ่ามือเอ่ยสาบาน ดวงตาสี่ข้างสบประสาน ในดวงตาของทั้งสองทอประกายเย็นเยียบ
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มละไมอีกครั้งแล้วหยิบหยกชิ้นหนึ่งขึ้นมา รอบแผ่นหยกห่อผ้าเช็ดหน้าแพรสีขาวโพลนผืนหนึ่ง องค์หญิงฉางเล่อส่งหยกให้เสี่ยวลิ่วจื่อพลางสั่งว่า “เจ้าจงไปบอกโจวซั่งอี๋ ให้นางพาคนของพวกเรามาที่นี่ให้หมด”
หลี่หันโยวเหลือบตามอง ผ้าเช็ดหน้าแพรผืนนี้เผยกว่าครึ่งไว้ด้านนอก ไม่มีตัวอักษรหรือรอยหมึก นางจึงไม่ได้ก้าวเข้าไปตรวจดู ถึงอย่างไรนางก็ไม่คิดล่วงเกินราชวงศ์มากเกินไป มิว่าอย่างไรวันหน้าสำนักเฟิงอี้ก็ยังต้องใช้เชื้อพระวงศ์ต้ายงควบคุมราชสำนัก
เสี่ยวลิ่วจื่อรับแผ่นหยกกับผ้าเช็ดหน้าแพรไปแล้วขอตัวอย่างนอบน้อม หลี่หันโยวส่งสัญญาณให้เซี่ยเสี่ยวถงพามือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้สองนางตามไปด้วย
องค์หญิงฉางเล่อพรูลมหายใจ ในที่สุดก็ทำเรื่องที่คนผู้นั้นฝากฝังสำเร็จแล้ว นางอมยิ้มมองไปทางหลี่หันโยว แล้วเอ่ยว่า “น่าจะต้องรออีกสักพักหนึ่ง จิ้งเจียงจะดื่มชาสักถ้วยหรือไม่”