ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 54 ระทึกขวัญ ณ อุทยานหันเซียง (2)
ข้านั่งอยู่บนตั่งนุ่มภายในห้องบรรทมขององค์หญิงที่อุทยานหันเซียง ในใจคำนวณโอกาสแพ้ชนะ แต่สถานการณ์วุ่นวายซับซ้อนจนยากจะคาดการณ์จริงๆ
แม้มิรู้ว่าเหตุใดกองทหารราชองครักษ์จึงหันหอกเข้าใส่ แต่ข้าเดาว่าสาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดคือสำนักเฟิงอี้ใช้ขุมกำลังในวังหลังขโมยตราคำสั่งมา หลังจากนั้นตัดขาดองค์จักรพรรดิกับโลกภายนอก เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักเฟิงอี้ย่อมครองความได้เปรียบอยู่ส่วนหนึ่ง ต่อมาจึงใช้พระราชโองการปลอมเคลื่อนกองกำลังทั้งหมดขององค์จักรพรรดิเข้าล้อมกวาดล้างยงอ๋อง
ผู้ใดจะคิดเล่าว่าในสถานที่ซึ่งอำนาจของจักรพรรดิกล้าแข็งที่สุดจะเกิดเรื่องเช่นนี้ นี่เป็นผลจากการที่ข้าได้ชัยชนะมาหลายครั้งจนประเมินขุมกำลังในวังหลังของสำนักเฟิงอี้ต่ำเกินไป
ทว่ายามนี้ไม่ใช่เวลามาใคร่ครวญเรื่องนี้ องค์หญิงฉางเล่อเป็นหนทางพลิกฟ้าดินเพียงหนึ่งเดียวของข้า มิเช่นนั้นต่อให้ข้าทุ่มเทกำลังทั้งหมด อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงพ่ายแพ้เสียหายทั้งสองฝ่าย นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ต้ายงรับไม่ไหว
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้พระราชโองการลับขององค์จักรพรรดิกับของแทนตัวของแม่ทัพใหญ่ฉินแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือจะส่งของเหล่านี้ออกไปอย่างปลอดภัยได้อย่างไร แม้ข้าจะเลือกคนไว้ในใจแล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจ หากล้มเหลว ถ้าเช่นนั้นย่อมไม่มีหนทางกู้สถานการณ์ได้อีก
ไม่ได้ ดวงตาข้าทอประกายอำมหิต หากคนผู้นี้มีท่าทีผิดปกติ ข้าต้องสังหารเขาทันที จะปล่อยให้เขามีโอกาสบอกต่อไม่ได้เด็ดขาด ถึงเวลานั้นคงได้แต่ให้ต่งเชวียไป แต่ต่งเชวียไปก็ไม่ปลอดภัย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกคนของสำนักฟิงอี้ดักสังหารเสียกลางทาง
ขณะที่ข้ากำลังเค้นสมองใคร่ครวญ กรอบหน้าต่างก็ส่งเสียงดัง ต่งเชวียเหินเข้ามารายงานเสียงเบาว่า “คุณชาย จัดการเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวเขาก็มาถึง”
ข้าถามเสียงเคร่งขรึม “เขาพึ่งได้หรือไม่”
ต่งเชวียตอบว่า “คุณชายโปรดวางใจ หลังจากตำหนักบูรพาเกิดเรื่อง ศิษย์พี่ของข้าก็ถูกหลี่หันโยวกักตัวไว้ จวบจนวันก่อนเพิ่งได้รัชทายาทปล่อยออกมา ศิษย์พี่หมดใจต่อสำนักเฟิงอี้กับรัชทายาทแล้ว ดังนั้นเมื่อข้ายกคุณธรรมมาต่อว่า เขาก็ตกลง”
ข้าคลายใจแล้วจึงถามต่อ “เขาจำเจ้าได้หรือไม่”
ต่งเชวียยิ้มเจื่อนตอบ “ดูท่าข้าจะเปลี่ยนไปมากจริงๆ แม้ศิษย์พี่จะสงสัยอยู่บ้างแต่ก็จดจำข้ามิได้ หากมิใช่ข้าถือป้ายทองของยงอ๋องมา เขาคงไม่มีทางเชื่อข้า”
ข้ายิ้มเล็กน้อยเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดี แล้วก็เจ้าอย่าได้ถือสา อีกประเดี๋ยวข้าคงต้องใช้วิธีการบางอย่างควบคุมศิษย์พี่ของเจ้า นี่เป็นเรื่องจำเป็น เพราะนี่เป็นโอกาสพลิกสถานการณ์เพียงครั้งเดียวของยงอ๋อง ข้ามิอาจประมาทได้”
ต่งเชวียพยักหน้า “ศิษย์พี่ย่อมเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น ข้ารู้ชัดเจนยิ่งว่าขอเพียงยงอ๋องหนีรอดไปได้ ต่อให้อำนาจอ่อนแอลงชั่วคราว แต่เมื่อเวลาผ่านไปย่อมกอบกู้สถานการณ์ได้ เพียงแต่คงเสียหายมากสักหน่อย หากศิษย์พี่คิดเพื่อสำนัก ย่อมเห็นด้วยกับแผนการของคุณชาย”
ข้ากำลังจะเอ่ยต่อ ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงร้อนรนของโจวซั่งอี๋ “ใต้เท้าเหวย ท่านมิอาจค้นห้องบรรทมขององค์หญิงได้ นี่เสียมารยาทเกินไปแล้ว”
ในใจข้าโอดครวญ ทำไมเหวยอิงถึงมาที่นี่ได้เล่า ชะตาข้าขาดแล้วจริงๆ หรือไร ข้ารีบมองสำรวจห้องบรรทม ข้าเอาแต่คิดว่าจะรับมือกับสำนักเฟิงอี้เช่นไรแต่กลับลืมหาสถานที่ซ่อนตัว ต่งเชวียยิ้มเจื่อนแล้วก้าวเข้ามาดึงข้า จากนั้นชี้ไปยังเตียง ข้ามองเขาด้วยแววตาจับต้นชนปลายมิถูก เขาย่างเท้าแผ่วเบาเข้าไปตบบนเตียงเป็นพัลวันหลายฝ่ามือ หลังจากนั้นไม้กระดานของเตียงก็เลื่อนเปิดอย่างเงียบเชียบ เผยให้เห็นช่องลับด้านล่าง ด้านในพอบรรจุคนได้หนึ่งคน ข้าเบิกตาโต ตรงนี้มีช่องลับได้เช่นไร ต่งเชวียมิสนใจความงงงวยของข้า เขายกข้าขึ้นมาแล้วสกัดจุดบนร่างข้าสองสามครั้ง ข้าพลันรู้สึกว่าสติค่อยๆ พร่าเลือน เหมือนรู้สึกเลือนรางว่ากำลังถูกยัดเข้าไปในช่องลับ หลังจากนั้นเบื้องหน้าก็ดำมืด
ใต้เท้าเหวยให้คนไล่นางข้าหลวงกับขันทีในอุทยานหันเซียงไปอยู่ในตำหนักข้างหลังหนึ่ง ตนเองนำคนเข้าตรวจค้น เมื่อได้รับแจ้งจากเขา เซียวหลานก็ส่งเฟิ่งเฟยเฟยมา ฝั่งรัชทายาทเงียบกริบย่อมมิต้องใช้คนมากมาย ทั้งสองคนค้นห้องที่เหลืออยู่จนครบ แต่ไม่พบสิ่งใด สุดท้ายสายตาของทั้งสองคนจึงเคลื่อนมารวมกันที่ห้องบรรทมขององค์หญิง
เหวยอิงลังเลครู่หนึ่ง หากค้นห้องบรรทมขององค์หญิงจริง มิว่าจะพบคนหรือไม่ น่ากลัวว่าองค์หญิงฉางเล่อคงนึกเคืองแค้นตน แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง หากเจอคนก็อาจบีบให้องค์หญิงยอมจำนนได้ ด้วยเหตุนี้เหวยอิงจึงเอ่ยกับเฟิ่งเฟยเฟย “ที่แห่งนี้คือห้องบรรทมขององค์หญิง ข้ามิสะดวกค้น เชิญแม่นางสามทำแทนด้วย”
เฟิ่งเฟยเฟยยิ้มเล็กน้อย ดวงหน้างามเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางจัดปอยผมแผ่วเบา แล้วนางจึงเอ่ยเสียงละมุนว่า “หากจับเจียงเจ๋อได้ อาจารย์จักต้องยินดีอย่างยิ่งเป็นแน่” นางทราบว่าเหวยอิงหวาดกลัวเงามารหลี่ซุ่น ในใจจึงดูแคลนเล็กน้อย ก่อนจะถือกระบี่เดินเข้าไปในห้องบรรทม
อุทยานหันเซียงแต่เดิมก็เป็นตำหนักที่พำนักของกุ้ยเฟยหรือองค์หญิง พระสนมกับเชื้อพระวงศ์ที่ตำแหน่งต่ำไม่มีคุณสมบัติเข้ามาพัก เมื่อเดินเข้ามาในห้องบรรทมก็พบว่าตกแต่งอย่างหรูหรา งามวิจิตรและสูงศักดิ์ เฟิ่งเฟยเฟยยิ้มละไม แม้ได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิง แต่ที่พำนักของศิษย์น้องหันโยวก็ด้อยกว่าที่แห่งนี้มากนัก
นางค้นอย่างละเอียดรอบหนึ่งก็ไม่พบสิ่งใดแม้แต่น้อย แม้นางจะมิชำนาญด้านกลไกอาวุธลับนัก แต่ก็แน่ใจว่าภายในตำหนักหลังนี้ไม่มีทางลับหรือห้องลับ สุดท้ายสายตาของนางจึงจับไปที่เตียง
เตียงหลังนี้ทำจากไม้กฤษณา ประณีตวิจิตร กลิ่นหอมละมุน เฟิ่งเฟยเฟยเดินเข้าไปใกล้เตียงแล้วตรวจค้นอย่างละเอียดอยู่เนิ่นนาน เตียงหลังนี้เชื่อมติดกันเป็นชิ้นเดียว ไม่มีทางมีกลไกได้ เฟิ่งเฟยเฟยมองเตียงหลังนี้อย่างอิจฉาเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องบรรทมไป
เมื่อนางเห็นเหวยอิงก็ส่ายหน้าเล็กน้อย เหวยอิงขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ล่วงเกินองค์หญิงฉางเล่ออย่างเสียเปล่าอีกครั้งแล้ว ช่างได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ ในตอนนี้เอง เซี่ยเสี่ยวถงกับมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้สองนางก็พาขันทีน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นเฟิ่งเฟยเฟย เซี่ยเสี่ยวถงจึงบอกกล่าวอย่างดีใจ “พี่สาม พวกเราด้านนั้นใกล้จะทำสำเร็จแล้ว” พูดพลางก็เล่าเรื่องราวทางฝั่งตำหนักเสี่ยวซวงตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรวดเร็ว นางพูดจาฉะฉาน เล่าอย่างชัดเจนยิ่งนัก
ดวงตาของเฟิ่งเฟยเฟยฉายแววปีติยินดี แล้วเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงฉางเล่อจะรู้จักสถานการณ์เช่นนี้ แต่ฝั่งพวกเรากลับมาค้นอุทยานหันเซียง มิรู้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงเพราะเรื่องนี้หรือไม่” พูดพลางก็มองเหวยอิงอย่างกังวลและขุ่นเคืองเล็กน้อย
เหวยอิงยิ้มละไม ไม่ว่าอย่างไรพวกเฟิ่งเฟยเฟยก็ล้วนเป็นสตรี แม้จะอำมหิตพอ แต่กลับไม่เด็ดขาดพอ ไม่แปลกที่เจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่ปล่อยให้พวกนางรับผิดชอบเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่คิดล่วงเกินพวกนาง จึงเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ขอเพียงเตือนสักหน่อย พวกท่านยังจะต้องกลัวคนต่ำต้อยเหล่านี้พูดมากอันใดอีกหรือ ขอแค่ผ่านไปสักสองสามวัน ต่อให้พวกเขาพูดแล้วยังมีผลอันใดอีก องค์หญิงฉางเล่อเองก็ไม่มีทางกลับมาอุทยานหันเซียงอีก ยามนี้นางไม่มีทางล่วงรู้เรื่องนี้”
เซี่ยเสี่ยวถงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารีบไปจัดการเสีย” ประโยคนี้ของนางเอ่ยกับเสี่ยวลิ่วจื่อ
สีหน้าของเสี่ยวลิ่วจื่อเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นขณะพยักหน้ารับ เขาวิ่งไปหาโจวซั่งอี๋อย่างว่องไว จากนั้นนางข้าหลวงกับขันทีเหล่านี้ก็เก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว พระสนมกุ้ยเฟยกับองค์หญิงฉางเล่อมีสัมภาระติดตัวไม่น้อย เก็บข้าวของครั้งหนึ่งชั่วครู่ชั่วยามย่อมเก็บไม่เสร็จ เหวยอิงกับเฟิ่งเฟยเฟยคร้านจะเฝ้าดูจึงกำชับเซี่ยเสี่ยวถงก่อนจะจากไป หลังพวกเหวยอิงจากไปแล้ว กองทหารราชองครักษ์ก็ผละจากไปด้วย
เวลานี้ เงาคนร่างหนึ่งจึงลุกขึ้นมาจากพุ่มดอกเบญจมาศอย่างเงียบเชียบ บนร่างเขามีผ้าคลุมไหมผืนบางห่มอยู่ สีสันด้านบนคล้ายกับสีของพุ่มดอกไม้ยิ่งนัก ทหารราชองครักษ์เหล่านั้นกับเหวยอิงจึงไม่ได้สนใจ ถึงอย่างไรเป้าหมายของพวกเขาก็คือการค้นหาบัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่คนหนึ่ง
เขาเข้าไปในห้องบรรทมขององค์หญิงอย่างเงียบงัน ตอนนี้เสี่ยวลิ่วจื่อกับโจวซั่งอี๋รออยู่ที่นั่นแล้ว เสี่ยวลิ่วจื่อมองเขาแล้วกระซิบถาม “คุณชายอยู่ที่ใด”
ต่งเชวียชี้เตียงนอน โจวซั่งอี๋จึงโล่งอก เตียงหลังนี้สั่งทำอย่างลับๆ ด้านในมีช่องลับอยู่ ทว่าเรื่องนี้มิใช่ทุกคนจะรู้ อุทยานหันเซียงปีหนึ่งใช้งานอยู่ไม่กี่ครั้ง ดังนั้นยิ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ จ่างซุนกุ้ยเฟยเป็นคนหนึ่งที่รู้ นางเคยเล่าเป็นเรื่องสนุกให้องค์หญิงฉางเล่อฟัง เมื่อคืนวานเจียงเจ๋อหนีภัยมาอยู่ที่นี่ ตัวเขาเองไม่ทันคิด แต่องค์หญิงฉางเล่อคิดไว้แล้วว่าหากมีคนมาตรวจค้นสมควรทำเช่นไร ดังนั้นจึงบอกเรื่องนี้กับต่งเชวียไว้ กลับกันเจียงเจ๋อในใจมัวแต่คิดว่าจะแก้สถานการณ์เช่นไร จึงมิได้สนใจเรื่องนี้
โจวซั่งอี๋พยักหน้าอย่างวางใจ ยามนี้ยังไม่ใช่เวลาพาเจียงเจ๋อออกมา เสี่ยวลิ่วจื่อมอบผ้าเช็ดหน้าแพรกับหยกที่องค์หญิงมอบให้เขาแก่ต่งเชวีย แล้วเล่าสถานการณ์อย่างรวบรัด หลังจากนั้นจึงเก็บเสื้อผ้าเครื่องประดับขององค์หญิงด้วยกันกับโจวซั่งอี๋แล้วรีบร้อนออกจากห้องบรรทม ไม่นานพวกเขาก็ตามเซี่ยเสี่ยวถงออกจากอุทยานหันเซียง ประตูของอุทยานหันเซียงถูกพวกเขาลั่นดาลไว้ จากนั้นที่แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งไม่มีผู้ใดสนใจ
ต่งเชวียกดตำแหน่งกลไกแล้วอุ้มเจียงเจ๋อผู้มีลมหายใจแผ่วเบาออกมาจากช่องลับ เมื่อเห็นเขาสีหน้าซีดเผือด ต่งเชวียก็รีบคลายจุดให้ ในใจคิดว่า ท่านอย่าได้เป็นอันใดไปเชียว นี่ลงมือเบาที่สุดแล้วนะ
เมื่อข้าฟื้นขึ้นมาจากอาการหมดสติก็เห็นใบหน้าร้อนรนของต่งเชวีย ข้าสะบัดศีรษะอันหนักอึ้งแล้วเอ่ยเบาๆ “คนไปแล้วหรือ”
ต่งเชวียตอบว่า “คุณชายโปรดวางใจ เหวยอิงจากไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่องค์หญิงส่งมาให้” พูดพลางก็มอบผ้าเช็ดหน้าแพรกับแผ่นหยกให้ข้า
ข้าคลี่ผ้าเช็ดหน้าแพร เมื่อเห็นรอยประทับบนนั้นพลันแย้มรอยยิ้ม สั่งให้ต่งเชวียหยิบพู่กันกับหมึกมาแล้วเขียนอักษรสองสามบรรทัดอย่างรวดเร็วความว่า “รัชทายาทก่อกบฏ ให้ฉินหย่งฟังคำสั่งยงอ๋อง เดินทางมาช่วยจักรพรรดิที่พระราชวังเลี่ยกง ราชโองการปลอมและตราทหารอื่นใดมิจำเป็นต้องทำตาม”
ข้าวางพู่กันแล้วยิ้มละไมเอ่ยว่า “ขอเพียงส่งของสองสิ่งนี้ไปถึงมือฉินหย่งก็มิต้องกังวลแล้ว จริงสิ ศิษย์พี่ของเจ้าจะหาทางเป็นผู้ถ่ายทอดพระราชโองการได้หรือไม่”
ต่งเชวียกำลังจะตอบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกอีกครั้ง ทั้งสองคนต่างตระหนก หรือว่าเหวยอิงจะย้อนกลับมาอีก