ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 6 อดีตดุจหมอกควัน (2)
คืนค่ำจันทราเฉิดฉายมีคนงามเคียงกาย แต่เซี่ยจินอี้กลับสีหน้ากลัดกลุ้ม เขานอนอยู่บนฟูกนุ่มนิ่มบนเตียงแกะสลักงดงามวิจิตรพลางเหม่อมองเพดานห้อง วันนี้เขาพาองครักษ์หลายนายมายังหอนางโลมชื่อดังแห่งนี้ หลังจากกินเลี้ยงกับทุกคน เขาก็ประคองนางคณิกาสวยเด่นคนหนึ่งเข้าห้องไปอย่างเมามาย แต่หลังจากเข้าห้องไป เขากลับมีสติแจ่มชัด หลังจากร่วมอภิรมย์ นางคณิกาผู้นั้นก็อิงแอบอยู่ข้างกายเขาอย่างโอนอ่อน แต่ในใจเซี่ยจินอี้กลับว่างเปล่า สำหรับเขาแล้ว เขาอยากกอดซิ่วชุนนอนหลับสบายอยู่ในจวนของรัชทายาทมากกว่า แต่เขารู้ว่าในเมื่อรัชทายาทเอ่ยปากแล้ว เขาก็ควรออกมาเสียจะดีกว่า
อาการเสียขวัญจากการเกือบเผชิญความตายวันนี้ยังทำให้เขาหวาดผวาไม่เลิก เวลานี้เขายิ่งร้อนรนอยากพบหน้าเจียงเจ๋อ มิเช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าต่อไปควรทำอะไร ขณะที่เขากำลังคิดว้าวุ่นอยู่ ทันใดนั้นก็มีคนเคาะประตูห้องแผ่วเบา
เซี่ยจินอี้ตกใจ หันกลับไปเห็นนางคณิกาผู้นั้นหลับลึกไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วางใจ จึงสกัดจุดนางเบาๆ หลังจากนั้นเดินมาที่ประตูห้อง ตนเองยืนอยู่หลังบานประตูก่อนจะเปิดประตูแผ่วเบา เขาเห็นบ่าวหญิงตัวน้อยอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่งก้มหน้าถือน้ำชากาหนึ่งเดินเข้ามา บ่าวหญิงอายุน้อยผู้นั้นเห็นเตียงที่ปลดม่านลงก็วางชาร้อนไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นทำท่าจะหมุนตัวเดินออกไป ทว่าปลายหางตากลับเห็นเซี่ยจินอี้มองนางอย่างเย็นชา นางคล้ายตกใจจึงยกมือกุมหน้าอก
เซี่ยจินอี้ยิ้มเป็นเชิงขออภัย จากนั้นจึงหลีกทางให้ บ่าวหญิงผู้นั้นยอบกายคำนับแล้วถือถาดน้ำชาเดินมาที่ประตู ขณะที่กำลังจะออกไป จู่ๆ บ่าวหญิงผู้นั้นก็เผยปลอกแขนเกาทัณฑ์ออกมาจากแขนเสื้อแล้วเล็งมาหาเซี่ยจินอี้ เซี่ยจินอี้ที่กำลังจะหลีกทางให้ร่างกายสะท้าน เขารู้ว่าปลอกแขนเกาทัณฑ์นั่นยิงทะลุเกราะอ่อนในระยะสามสิบก้าวได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ห่างกันสามก้าวเท่านั้น ตนอยากหลบก็หลบไม่พ้น แต่ในเมื่อบ่าวหญิงผู้นี้ยังไม่ลงมือ ย่อมแสดงว่ายังมีหนทางให้แก้ไขสถานการณ์อยู่ เซี่ยจินอี้มองบ่าวหญิงผู้นี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย นางเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มน้อยๆ มองเขา
เซี่ยจินอี้ตกตะลึง ที่แท้บ่าวหญิงผู้นี้ก็เป็นคนที่เขารู้จัก เขาก็คือชื่อจี้ หนึ่งในผู้ติดตามของเจียงเจ๋อ ชื่อจี้หน้าตางดงามนุ่มนวลเป็นทุนเดิม รูปร่างก็ไม่สูง เมื่อแต่งเป็นหญิงรับใช้จึงแนบเนียนอย่างยิ่ง เซี่ยจินอี้ถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเบา “พี่ชื่อจี้ ท่านทำข้าตกใจแทบตาย” หลังจากนั้นจึงเอ่ยอย่างตื่นเต้น “เกิดอะไรขึ้น ใต้เท้าอยากพบข้าหรือ”
ชื่อจี้ยิ้ม “คุณชายรออยู่ที่ห้องด้านข้าง เชิญคุณชายเซี่ยไปหา”
เซี่ยจินอี้มองดูร่างกายตน สภาพเช่นนี้จะพบหน้าผู้อื่นได้เช่นไร แต่หากอาบน้ำชำระกาย วันพรุ่งนี้คงทำให้นางคณิกาผู้นั้นสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบเสื้อคลุมมาใส่แล้วตามชื่อจี้ออกจากห้อง เขาก้าวเข้าไปในห้องด้านข้างอย่างรวดเร็ว หลังจากเข้าไปก็เห็นเจียงเจ๋อสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีเขียวนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางมองกระดานหมากบนโต๊ะด้วยท่าทางผ่อนคลาย เด็กหนุ่มงามสง่าอาภรณ์เขียวคนหนึ่งยืนเดินหมากอยู่ข้างกายเขา
เซี่ยจินอี้เห็นสองคนนั้นก็เข้าไปคารวะทันที “เซี่ยจินอี้คารวะใต้เท้า ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง”
ข้าลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเข้าไปประคองคนขึ้นมา “คุณชายเซี่ยไม่ต้องมากพิธี ผู้แซ่เจียงมิกล้ารับ”
เซี่ยจินอี้ลุกขึ้นอย่างเคารพ นอบน้อมเสมือนหนึ่งเป็นบ่าวบริวาร ในใจข้ารู้สึกยินดีอย่างห้ามไม่ได้ เดิมทีข้าคิดว่าเขาอาจไม่ยินดีฟังคำสั่งของข้า ดังนั้นจึงเตรียมวิธีข่มขู่บังคับมาเรียบร้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้สถานการณ์เช่นนี้ ดูท่าข้าคงไม่ต้องบีบบังคับแล้ว
ข้าส่งสัญญาณให้เขานั่งลงแล้วขยับยิ้ม เอ่ยว่า “หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา คุณชายเซี่ยได้รับความโปรดปรานจากรัชทายาทยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่ายังจะจดจำสหายเก่าได้”
เซี่ยจินอี้ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า “นับแต่จากกับใต้เท้าเมื่อครั้งก่อน จินอี้ก็ปรารถนาถึงวันที่จะได้พบหน้าอีกครั้งอยู่ทุกเช้าค่ำ หนึ่งปีที่ผ่านมา จินอี้ผูกสัมพันธ์ไปทั่วอย่างสุดความสามารถ หวังว่าจะช่วยเหลือคุณชายได้บ้าง หากใต้เท้าทำความปรารถนาของจินอี้ให้เป็นจริงได้ ถ้าเช่นนั้นจินอี้ยินดีป่นกระดูกทั้งร่างเป็นผง ตอบแทนความเมตตาของใต้เท้า”
ข้ามองเซี่ยจินอี้เหมือนขบคิดบางสิ่ง นี่ก็คือคำตอบสินะ ก่อนหน้านี้ข้าเป็นฝ่ายบังคับให้เขาทำงาน ทว่าผ่านมาหนึ่งปี แม้เขาได้รับเกียรติยศและความโปรดปรานแต่กลับยังไม่ลืมสัญญาเก่า เดิมทีข้ารู้สึกว่าแปลกอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขา ข้าก็มั่นใจ หากมิใช่ใจวาดหวังบางสิ่ง จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ข้าไม่รีบร้อน เอ่ยอย่างแช่มช้า “เชิญคุณชายเซี่ยพูดให้ชัด หากมีสิ่งใดที่ต้องการ ผู้แซ่เจียงจะลองตรองดูอย่างแน่นอน”
เซี่ยจินอี้ก้มลงไปโขกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “หากใต้เท้าช่วยจินอี้ทำให้องค์หญิงจิ้งเจียงผู้นั้นอัปยศอดสู ถูกจองจำสิ้นชีวา ไม่ว่าใต้เท้าสั่งให้ทำสิ่งใด จินอี้ล้วนเชื่อฟังทั้งสิ้น”
ข้าตะลึงเล็กน้อยแล้วถามขึ้นว่า “เซี่ยจินอี้ เดิมทีเจ้าเป็นคนเสเพลในยุทธภพ แต่หลี่หันโยวเป็นท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ วันนี้ยังมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง พูดถึงฐานะในยุทธภพก็เป็นถึงศิษย์ชั้นสูงของสำนักเฟิงอี้ ไปมีความแค้นกับเจ้าได้อย่างไร”
ดวงตาของเซี่ยจินอี้ฉายแววเคียดแค้น เอ่ยออกมาอย่างรันทด “ท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ ยศศักดิ์องค์หญิงอันใด หลี่หันโยวก็เป็นเพียงไก่ป่าตัวหนึ่งที่สวมรอยเป็นหงส์เท่านั้น แม้ขนงามผุดผาด แต่เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยม อกตัญญูลืมบุญคุณ ทรยศคนรักตระบัดสัตย์”
ข้ารู้สึกตกตะลึงจึงเอ่ยว่า “เจ้าเล่ามาให้ละเอียด หากเป็นเรื่องจริง ผู้แซ่เจียงจะต้องทวงความเป็นธรรมให้เจ้าแน่นอน”
สีหน้าของเซี่ยจินอี้เปลี่ยนมาดุร้ายอย่างยิ่ง เขาเล่าช้าๆ “ผู้แซ่เซี่ยเดิมมีนามว่าเซี่ยเฉวียน เป็นบุตรโทนรุ่นที่สามของครอบครัว แม้ครอบครัวมีสมาชิกน้อย แต่คนในครอบครัวอยู่กันอย่างสุขสันต์ บ้านเกิดของข้าค่อนข้างห่างไกล สงครามในจงหยวนเมื่อตอนนั้นส่งผลมาไม่ถึงชนบทอันแร้นแค้น ดังนั้นคนทั้งครอบครัวจึงอยู่พร้อมหน้าอย่างมีความสุข เพราะกังวลว่าสายเลือดจะขาดสาย เมื่อจินอี้อายุได้ห้าปี บิดามารดาจึงรับเด็กหญิงคนหนึ่งมาเลี้ยง รอจนข้าเป็นผู้ใหญ่ พวกเราก็จะแต่งงานกัน บิดามารดาของเด็กหญิงคนนี้เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน แต่ครอบครัวยากจน ขายลูกสาวมาแล้วหกเจ็ดคนเพราะไม่มีปัญญาเลี้ยง ด้วยเหตุนี้ครอบครัวของข้าจึงมีว่าที่ภรรยาเพิ่มมาหนึ่งคน
ยามนั้นข้ายังอายุน้อยจึงคิดว่ามีน้องสาวเพิ่มมาอีกคน เด็กหญิงผู้นี้หน้าตางดงามไม่ธรรมดาแล้วยังฉลาดเหนือผู้อื่น บิดามารดารักใคร่ยิ่งนัก ให้นางเรียนหนังสือด้วยกันกับข้า นางอ่านผ่านตาก็ท่องได้ กวาดสายตาครั้งหนึ่งอ่านได้สิบบรรทัด ข้ายังนึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ เมื่อตอนอายุสิบสองปี ข้ามีวาสนาได้พบนักพรตสำนักคงต้งผู้หนึ่งจึงติดตามไปร่ำเรียนวรยุทธ์ บิดามารดาทราบว่ายามนี้เป็นกลียุค หากข้าร่ำเรียนวรยุทธ์ไว้บ้างย่อมป้องกันตัวได้ ดังนั้นพวกเขาจึงดีใจอย่างยิ่ง ยามนั้นนางเพิ่งอายุเจ็ดขวบจึงจับมือข้าขอให้ข้ากลับบ้านมาหานางบ่อยๆ”
“ข้าเก็บตัวอยู่บนเขาร่ำเรียนวิชายุทธ์จนไม่รู้วันเวลา เมื่อข้าฝึกวิชาสำเร็จบางส่วนจนได้รับอนุญาตจากอาจารย์ให้กลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว ปีนั้นข้าก็อายุสิบหกปีแล้ว นางอายุสิบเอ็ดปี แม้ยังเยาว์วัยแต่ก็เข้าใจเรื่องทางโลกแล้ว ตอนนั้นเพราะมารดาข้าป่วยหนัก บิดามารดาจึงสนับสนุนให้ข้ากับนางแต่งงานกันเพื่อเป็นการเสริมมงคล แม้พวกเราจะไม่ได้เข้าหอกันเพราะข้ายังต้องฝึกวรยุทธ์ ส่วนนางยังอายุน้อย แต่พวกเราก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากัน หลังแต่งงานไม่นานข้าก็กลับคงต้งอีกครั้ง ถึงกระนั้นแม้พวกเรายังอายุน้อย แต่ก็สัญญาว่าจะอยู่คู่กันจนแก่เฒ่า
ใครจะคิดว่าไม่ถึงสองเดือน ข้ากลับได้รับจดหมายจากทางบ้านบอกว่าบิดามารดาของข้าเสียแล้ว ข้ารีบเร่งเดินทางกลับบ้านอย่างสับสนมึนงง เมื่อถามญาติตระกูลเดียวกันจึงได้รู้ว่าหลังข้าจากไปไม่นาน วันหนึ่งมีสตรีพกกระบี่กลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านหมู่บ้าน เมื่อได้ยินว่าเป็นเพราะมาผิดทาง บิดาผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจึงต้อนรับอย่างมีไมตรี ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อพวกนางเห็นภรรยาของข้าก็บอกว่านางมีพรสวรรค์หาใครเทียบไม่ได้ ต้องการจะพานางไป บิดามารดาของข้าย่อมไม่ยอม แต่พวกนางโน้มน้าวภรรยาของข้าสำเร็จ
ข้าไม่รู้ว่าพวกนางบอกอันใด แต่สุดท้ายภรรยาของข้าก็ยินยอมพร้อมใจจากไปพร้อมกับพวกนาง ทิ้งไว้เพียงเงินหลายร้อยตำลึงที่พวกนางบังคับให้รับไว้ บอกว่าเป็นเงินไถ่ตัวภรรยาข้า มารดาของข้าโศกเศร้าคับแค้นจนสิ้นใจเพราะเรื่องนี้ ไม่นานนักบิดาของข้าก็ล้มป่วยจากไปด้วย ข้าตรวจสอบอาการบาดเจ็บของบิดาจึงพบว่าถูกคนใช้ฝ่ามือหยินทำร้ายเส้นลมปราณ ผู้ใดเป็นคนลงมือยังต้องบอกอีกหรือ
ข้าเองก็อยากล้างแค้น แต่ข้ามิใช้คนเขลา เมื่อลองถามถึงเครื่องแต่งกายของสตรีเหล่านั้น ข้าก็ทราบตัวตนของพวกนาง นอกจากสำนักเฟิงอี้ ที่ใดยังมีสตรีที่ใช้กระบี่มากมายเช่นนั้นอีก แต่คงต้งกับสำนักเฟิงอี้มีสัญญาพันธมิตรกัน ต่อให้ข้าฝึกปรือวิชายุทธ์ให้ดีอีกเท่าใดแล้วจะทำอันใดได้ ข้าไม่มีทางได้ล้างแค้น ดังนั้นข้าจึงท้อแท้หมดกำลังใจ ตั้งแต่นั้นเอาแต่หดหู่ ไม่ถึงครึ่งปีก็ถูกขับออกจากสำนัก เร่ร่อนอยู่ในยุทธภพมาหลายปี” เล่าถึงตรงนี้ เซี่ยจินอี้ก็น้ำตานองหน้า
ข้าเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าจะบอกว่าหลี่หันโยวก็คือภรรยาของเจ้า เจ้ามีหลักฐานหรือ”
เซี่ยจินอี้เงยหน้าตอบ “ไม่ผิดแน่ แม้นิสัยของนางจะเปลี่ยนไปมาก แต่ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน นางก็คือเฉียวชุ่ยอวิ๋นภรรยาของข้า แม้ยามนี้นางท่าทางสูงศักดิ์ แต่ข้ากับนางเติบใหญ่มาด้วยกันตั้งแต่เล็ก หน้าตาของนางยังเหลือเค้าโครงในอดีต ท่าทางการเคลื่อนไหวเล็กน้อยบางอย่างของนาง ข้าไม่มีทางจำผิด หากใต้เท้าไม่เชื่อ ผู้น้อยยังรู้อีกว่าตรงเอวของนางมีไฝแดงเม็ดหนึ่ง”
ข้าตกตะลึงจนอึ้งอย่างแท้จริง คิดไม่ถึงว่าหลี่หันโยวกลับไม่ได้มีชาติกำเนิดเป็นเชื้อพระวงศ์ ถ้าเช่นนั้นนางกลายมาเป็นท่านหญิงจิ้งเจียงได้เช่นไรเล่า