ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 63 สถานการณ์พลิกผัน (1)
เดือนเก้าวันที่ยี่สิบสอง ยามพลบค่ำ ป้อมผิงหยวนที่อยู่ห่างจากพระราชวังเลี่ยกงสิบห้าลี้กลายเป็นค่ายทหารสำหรับกองทัพช่วยจักรพรรดิแล้ว ตอนนี้เส้นทางรอบนอกพระราชวังเลี่ยกงถูกตัดขาดทั้งหมด ยงอ๋องนั่งทอดถอนใจอยู่ในกระโจมแม่ทัพที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ เขาคิดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าจะหลุดจากสถานการณ์ลำบากมาได้เช่นนี้ ระหว่างทางมาที่แห่งนี้ เขาถามความเป็นมาของเรื่องราวจากฉินหย่งและเซี่ยโหวหยวนเฟิงแล้ว แม้บางเรื่องพวกเขาเองก็ไม่รู้ชัด แต่หลี่จื้อก็เข้าใจเรื่องราวส่วนใหญ่แล้ว
ตอนแรกที่ทิ้งเจียงเจ๋อไว้ ความจริงแล้วหลี่จื้อไม่หวังมากนัก คิดไม่ถึงว่าเจียงเจ๋อจะกู้สถานการณ์ได้จริง เมื่อได้ยินว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงนำพระราชโองการปลอมกับพระราชโองการลับของเสด็จพ่อไปแจ้งฉินหย่งที่ค่ายทัพ หลี่จื้อรู้สึกว่าช่างน่าเหลือเชื่อ สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือยามฉินหย่งลังเลระหว่างพระราชโองการปลอมและตราทหารกับพระราชโองการลับ จางจิ่นสยงหัวหน้าองครักษ์ของรัชทายาทผู้มาอารักขาและจับตาดูเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็หยิบของแทนตัวของแม่ทัพใหญ่ฉินออกมา
เพื่อเคลื่อนกำลังทหารของฉินหย่ง เจียงเจ๋อถึงขั้นใช้เครื่องรับประกันสามชั้น อีกทั้งคนที่เลือกใช้งานก็ยังเป็นคนสนิทของรัชทายาท เรื่องนี้ไม่เพียงทำให้ฉินหย่งกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงนึกแล้วพรั่นพรึง แม้แต่หลี่จื้อก็รู้สึกว่าความคิดของเจียงเจ๋อแม้แต่ทวยเทพภูตผียังยากคาดเดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเรียกเซี่ยโหวหยวนเฟิงไปพบเพียงลำพัง เซี่ยโหวหยวนเฟิงไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เล่าว่าตนเดาอย่างไรว่าเจียงเจ๋อซ่อนตัวอยู่ในอุทยานหันเซียง และบุกมาจับเจียงเจ๋อเพียงลำพังเพราะหวังผลประโยชน์ส่วนตนเช่นไร แล้วถูกเจียงเจ๋อเสี่ยงตายจับตัวไว้เช่นไร
หลี่จื้อฟังแล้วอดถอนหายใจอย่างตกตะลึงปนนับถือไม่ได้ พร้อมกันนั้นเขาก็ประทับใจเซี่ยโหวหยวนเฟิงเพิ่มมาหลายส่วน แม้คนผู้นี้เจ้าเล่ห์และกลิ้งกลอกอยู่บ้าง แต่สายตาก็มองการณ์ไกลทีเดียว หากใช้ให้ดีย่อมเป็นกำลังช่วยเหลือได้อีกแรง ดังนั้นเขาจึงกล่าวปลอบขวัญเซี่ยโหวหยวนเฟิง
สำหรับจางจิ่นสยง หลี่จื้อชมเชยความดีความชอบของเขาและประกาศชัดว่าจะไม่สืบสาวความผิดที่ผ่านมาของสำนักคงต้ง ทว่าจางจิ่นสยงไม่อยู่ต่อ เขาแจงว่าที่ทรยศรัชทายาทเป็นเพราะทนดูการกระทำของรัชทายาทกับสำนักเฟิงอี้มิได้ แต่เขาไม่ยินดีร่วมมือเล่นงานเจ้านายเก่า ดังนั้นจึงขอตัวจากไป หลี่จื้อชื่นชมนิสัยภักดีเช่นนี้ของเขาพอสมควรจึงเขียนคำสั่งลายลักษณ์ฉบับหนึ่งให้จางจิ่นสยงด้วยตนเอง อนุญาตให้เขาจากไปได้อย่างอิสระ
ฉินหย่งก็มาขอขมาด้วยตนเองเช่นกัน เขาบอกว่าเพราะตนลังเลชักช้าจึงมาช่วยเหลือสาย ขอยงอ๋องอภัยด้วย ทว่าหลี่จื้อกลับไม่กล่าวโทษฉินหย่ง จากมุมมองของยงอ๋อง ในเมื่อกองทัพใต้บัญชาฉินอี๋ภักดีต่อราชวงศ์เพียงผู้เดียว หากฉินหย่งเอนเอียงเข้าข้างตนอย่างง่ายดาย ยังไม่ทันได้รับคำสั่งก็เดินทางมาช่วยเหลือ แม้เวลานั้นเขาคงรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก็คงกังวลว่าในอนาคตหากพบสถานการณ์คล้ายคลึงกัน ฉินหย่งอาจทำผิดมหันต์เพราะการตัดสินใจพลาด เมื่อคิดเช่นนี้ แม้ฉินหย่งจะระมัดระวังรอบคอบเกินไป แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการพิทักษ์เมืองหลวง ดังนั้นหลี่จื้อจึงไม่เพียงเอ่ยปลอบด้วยถ้อยคำอ่อนโยน แต่ยังปลดกระบี่คู่กายประทานเป็นรางวัลแก่ฉินหย่งอีกด้วย ทำให้ฉินหย่งซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
หลังจากผ่านการประชุมทหารอย่างเคร่งเครียด หลี่จื้อก็สั่งให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงนำยอดฝีมือจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปในพระราชวังเลี่ยกงก่อนเพื่อช่วยเหลือตำหนักเสี่ยวซวง หลังจากนั้นจะให้กองทัพใหญ่ยกพลกวาดล้าง ในนอกประสาน ปราบกบฏในคราวเดียว
ผู้ที่ลอบเข้าพระราชวงพร้อมเซี่ยโหวหยวนเฟิงยังมีเสี่ยวซุ่นจื่ออีกคนหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงปวดเศียรเวียนเกล้า เนื่องด้วยตอนเซี่ยโหวหยวนเฟิงถ่ายทอดพระราชโองการที่ค่ายทัพตระกูลฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวเล็ดลอดออกไปภายนอก ตอนแรกเขาจึงประกาศพระราชโองการปลอมต่อหน้าแม่ทัพทั้งหลายก่อน หลังจากนั้นจึงลอบเผยพระราชโองการลับกับฉินหย่งเป็นการส่วนตัว ด้วยเหตุนี้จึงเกือบถูกเสี่ยวซุ่นจื่อผู้รีบร้อนมาหลังได้ข่าวประทานฝ่ามือปลิดชีพ เรื่องนี้ยังมิเท่าไร หลังจากเสี่ยวซุ่นจื่อเค้นถามจนทราบเรื่องที่อุทยานหันเซียง พอได้ยินว่าเขาตบฝ่ามือใส่เจียงเจ๋อ สีหน้าพลันถมึงทึง มองเขาด้วยสายตาเปี่ยมจิตสังหาร จากสาเหตุนานาประการดังนี้ จะไม่ให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงปาดเหงื่อได้อย่างไร เวลานี้เขาไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าก่อนหน้านี้ตนเคยคิดจะเอาเสี่ยวซุ่นจื่อเป็นลูกน้องใต้บัญชา
ท้องฟ้าเพิ่งมืด เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็พาคนชุดดำที่วรยุทธ์สูงส่งจำนวนสิบกว่าคนเข้ามาใกล้มุมหนึ่งของพระราชวังเลี่ยกง สถานที่นี้ใกล้กับตำหนักอวี้หลินที่รัชทายาทพำนักมาก ผู้รับผิดชอบคุ้มกันตำแหน่งนี้ก็คือองครักษ์กับทหารราชองครักษ์ที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงควบคุม ดังนั้นหลังจากเซี่ยโหวหยวนเฟิงปรากฏตัว คนเหล่านี้จึงลอบเข้าพระราชวังเลี่ยกงได้อย่างง่ายดายยิ่ง
หลังจากนั้นเซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงออกคำสั่งให้พวกเขานำเครื่องแบบทหารราชองครักษ์มาจำนวนหนึ่ง เมื่อทุกคนผลัดเปลี่ยนเสร็จจึงลอบมุ่งไปยังตำหนักเสี่ยวซวงพร้อมกับเซี่ยโหวหยวนเฟิง แต่ไม่ผิดจากที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงคาด ระหว่างทางผ่านอุทยานหันเซียง เสี่ยวซุ่นจื่อยืนกรานว่าต้องไปพบเจียงเจ๋อก่อน เซี่ยโหวหยวนเฟิงคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเห็นว่าอุทยานหันเซียงอยู่ใกล้ตำหนักเสี่ยวซวงมาก ยิ่งไปกว่านั้นหากตรงไปตำหนักเสี่ยวซวงตอนนี้รังแต่จะทำให้สำนักเฟิงอี้รู้ตัว มิสู้รอกองทัพใหญ่ของหลี่จื้อมาถึงแล้วค่อยเคลื่อนไหวจะดีกว่า ดังนั้นเขาจึงแสดงออกว่าเห็นด้วย
ทุกคนเข้ามาในอุทยานหันเซียงแล้ว ผู้อื่นก็ล้วนไปพักในตำหนักข้าง ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงไปที่ห้องบรรทมขององค์หญิง เสี่ยวซุ่นจื่อย่อมพุ่งเข้าไปในห้องบรรทมขององค์หญิงเป็นคนแรก ทว่าเมื่อเซี่ยโหวหยวนเฟิงตามเข้าไปกลับเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อมองตนอย่างเดือดดาล เซี่ยโหวหยวนเฟิงกวาดมองรอบด้าน พอไม่เห็นพวกเจียงเจ๋อนายบ่าวก็สะดุ้งโหยงอย่างห้ามไม่ได้ ทว่าเขาครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “บางทีใต้เท้าเจียงอาจหลบไปที่อื่น ท่านหลี่อย่าเพิ่งกังวลจนเกินไป”
เสี่ยวซุ่นจื่อรู้สึกว่าเขากล่าวมีเหตุผล สีหน้าจึงค่อยๆ คลายลง แต่เวลานี้เองเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้อย่างเงียบเชียบ เขาฉุกคิดบางอย่าง ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนเปิดประตูเบาๆ เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นต่งเชวียพลันรู้สึกยินดีปรีดา ถามว่า “คุณชายอยู่ที่ใด เขาปลอดภัยดีหรือไม่”
ต่งเชวียก้มหน้าอย่างหวั่นใจเล็กน้อยมิกล้าเอ่ยตอบ คราวนี้หัวใจของเสี่ยวซุ่นจื่อกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงล้วนสั่นไหว เซี่ยโหวหยวนเฟิงรู้ดีว่าหากไม่ได้ยาแก้พิษ ลาภยศสรรเสริญใดๆ ล้วนไม่มีประโยชน์ จึงรีบร้อนชิงถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับใต้เท้าเจียง”
ต่งเชวียเอ่ยอย่างจนปัญญา “คุณชายถูกคนของฉีอ๋องชิงตัวไปแล้ว”
ข่าวนี้ทำให้ทั้งสองคนตะลึงงันราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ แต่เสี่ยวซุ่นจื่อกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงล้วนเป็นผู้มีความคิดฉับไว จึงถามพร้อมกันว่า “ไม่ได้ตกอยู่ในมือรัชทายาทกับสำนักเฟิงอี้ใช่หรือไม่”
ต่งเชวียรีบตอบ “ไม่ ข้าจับตาอยู่นานนัก คุณชายยังอยู่กับฉีอ๋อง รัชทายาทฝั่งนั้นมิทราบแน่นอน” หัวใจของทั้งสองคนพลันสงบลง เซี่ยโหวหยวนเฟิงมองต่งเชวียอย่างคลางแคลง ในใจคิดว่าเหตุใดเขาจึงไม่ติดตามอยู่ข้างกาย แต่เสี่ยวซุ่นจื่อรู้เหตุผลดี เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะไปอุทยานเซวียนหวาก่อน”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงกลับขวางไว้แล้วกล่าวว่า “ฉีอ๋องกับรัชทายาทมิได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว หากกองทัพใหญ่ของยงอ๋องมาถึง ฉีอ๋องไม่มีทางกล้าทำร้ายใต้เท้าเจียงเป็นแน่ หากท่านหลี่ไปตอนนี้อาจทำให้ฉีอ๋องใช้ใต้เท้าเจียงมาบีบท่านหลี่”
เสี่ยวซุ่นจื่อเองก็ทราบจุดนี้ แต่เจียงเจ๋อตกอยู่ในกำมือฉีอ๋อง เขากังวลยิ่งนักว่าสุดท้ายฉีอ๋องจะใช้เจียงเจ๋อมาเป็นตัวประกันบีบยงอ๋อง ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยอันใด แต่แววตาแน่วแน่บ่งบอกว่าไม่ประนีประนอม
เซี่ยโหวหยวนเฟิงปวดหัว เวลานี้ต่งเชวียจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “หลังจากใต้เท้าเซี่ยโหวไป อาการของคุณชายก็กำเริบหนัก ผู้น้อยไร้ความสามารถ แต่ฉีอ๋องจะต้องกำลังรักษาคุณชายอยู่แน่ หากท่านหลี่รีบเร่งไปตอนนี้ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมา คุณชายอาจเป็นอันตราย รอยงอ๋องเสด็จมาถึง สถานการณ์ปรากฏผลแล้ว ข้าคิดว่าฉีอ๋องไม่มีทางไม่รู้จักดูสถานการณ์”
สีหน้าของเสี่ยวซุ่นจื่อค่อยๆ เย็นลง แต่สายตาที่มองเซี่ยโหยวหยวนเฟิงกลับยิ่งเย็นเฉียบ เซี่ยโหวหยวนเฟิงไหนเลยจะไม่เข้าใจความคิดของเขา เขากำลังกล่าวโทษตนที่ทำให้อาการป่วยของเจียงเจ๋อทรุดหนัก แต่เรื่องนี้เขาได้แต่ฝืนยิ้มรับ ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวซุ่นจื่อก็ถอนหายใจออกมา น้ำแข็งหนาสามฉื่อ มิใช่เพราะหนาววันเดียว อาการป่วยของเจียงเจ๋อทรุดหนักก็มิใช่เพราะหนึ่งฝ่ามือของเซี่ยโหวหยวนเฟิง หลังจากคิดตกแล้วเขาจึงมองไปนอกหน้าต่างเงียบๆ รอเวลาเริ่มปฏิบัติการ คุณชาย หวังว่าท่านจะยังปลอดภัยดี
ยามฟ้าใกล้สาง พวกเซี่ยโหวหยวนเฟิงแฝงกายมุ่งหน้าไปตำหนักเสี่ยวซวงอย่างเงียบเชียบตามแผนการที่วางไว้ ที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งคุ้มกันแน่นหนาที่สุดในพระราชวังเลี่ยกง เมื่อเข้าใกล้ตำหนักเสี่ยวซวง เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็ให้คนอื่นซ่อนตัวไว้ ส่วนตนเองขี่อาชาไปยังประตูตำหนักเพียงลำพังก่อน
ทหารราชองครักษ์ที่เฝ้าประตูเพิ่มความระวังอย่างพร้อมเพรียง หลังจากส่งสัญลักษณ์มือสองสามท่า เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็เห็นอาภรณ์สีขาวของมือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้รางๆ เขาจงใจเอ่ยหยิ่งจองหอง “ข้าคือสมุหราชองครักษ์เซี่ยโหวหยวนเฟิง รับบัญชาจากรัชทายาทเดินทางมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ยังไม่รีบแจ้งอีก”
ทหารราชองครักษ์ทั้งหลายมิกล้าชักช้า พวกเขาทราบว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงเป็นพวกเดียวกับรัชทายาท มิว่าอย่างไรรัชทายาทก็คือจักรพรรดิในอนาคต พวกเขาย่อมมิกล้าล่วงเกิน ไม่นานนักหลี่หันโยวก็เดินออกมาจากด้านใน สีหน้านางขุ่นเคืองเล็กน้อย นานป่านนี้แล้วยังไม่มีข่าวจับกุมยงอ๋อง นางย่อมวิตกยิ่งนัก เมื่อเห็นเซี่ยโหยวหยวนเฟิง นางจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ใต้เท้าเซี่ยโหว ท่านมิได้ไปถ่ายทอดราชโองการหรือไร เหตุใดดึกดื่นจึงมาที่นี่ มีเรื่องอันใดหรือ”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ้มอย่างมีเลศนัย ตอบว่า “เรื่องนี้ต้องถามพวกเจ้าแล้ว แม้แม่นางเหวินวรยุทธ์มิใช่ชั่วก็ยังจับตัวยงอ๋องมิได้ แต่ข้ากลับโชคดีนัก ยามนี้รัชทายาทตรวจสอบศีรษะของยงอ๋องแล้ว รัชทายาทจึงให้ข้าเดินทางมารายงานเรื่องนี้แก่ฝ่าบาท”
หลี่หันโยวเอ่ยอย่างคลางแคลง “หากสิ่งที่เจ้ากล่าวเป็นจริง เหตุใดรัชทายาทจึงไม่เดินทางมากราบทูลฝ่าบาทด้วยองค์เอง แต่กลับให้เจ้ามา แล้วศีรษะอยู่ที่ใดเล่า ข้าไม่ยักเห็น”