ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 7 เตรียมเหยื่อล่อทองคำ (1)
ต้ายง รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสี่ หลังจากผ่านปีซินเว่ย[1]มาได้สามปี ฮั่วจี้เฉิงอาศัยกำลังของตนเพียงลำพังปั่นป่วนยุทธภพต้ายง เลือดนองเป็นสายน้ำ คนที่มีส่วนช่วยทำให้เกิดเรื่องนี้ส่วนมากมิมีผู้ใดล่วงรู้ตัวตน มีเพียงฮั่วหลีผู้อ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมของฮั่วจี้เฉิงสร้างชื่อลือกระฉ่อนทั่วต้ายง ยามนั้นห่างจากเหตุการณ์ที่ฮั่วจี้เฉิงลอบสังหารฉู่อ๋องไม่ถึงหนึ่งปี
…พงศาวดารสู่ ชีวประวัติฮั่วจี้เฉิง
ข้าขบคิดครู่หนึ่งก็สงบใจได้ ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้หลี่หันโยวก็มีฐานะเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าสำนักเฟิงอี้กับจิ้งเจียงอ๋องสมคบอันใดกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องในอดีต มาดูกันว่าข่าวเรื่องนี้จะช่วยอะไรได้บ้างดีกว่า น่าเสียดายคำให้การของเซี่ยจินอี้ไม่มีน้ำหนักพอ มิฉะนั้นต้องทำให้ฝ่าบาทถอดถอนตำแหน่งองค์หญิงของหลี่หันโยวได้แน่ การแอบอ้างเป็นเชื้อพระวงศ์มีโทษไม่เบา แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงแม่ทัพใหญ่ฉินเชื่อข้อมูลนี้ก็พอ แต่จะเปิดเผยง่ายๆ ไม่ได้ ต้องรอจังหวะที่เหมาะสมค่อยเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของหลี่หันโยว
ทว่าเหตุใดหลี่หันโยวจึงจำเซี่ยจินอี้ไม่ได้เล่า ตามหลักแล้วหน้าตาของหลี่หันโยวน่าจะเปลี่ยนไปมากกว่าเซี่ยจินอี้สิ ข้าถามข้อสงสัยออกมา
เซี่ยจินอี้ก้มหน้า น้ำตาสองหยดหล่นร่วงบนฝุ่นดินพลางตอบว่า “ตั้งแต่เล็กหลี่หันโยวเกิดมารูปโฉมงดงาม หน้าตาเปลี่ยนไปไม่มาก อีกอย่างหันโยวชื่อนี้นางเป็นผู้ตั้งเอง ตอนนั้นพวกเราเรียนหนังสือด้วยกัน นางรังเกียจว่าชื่อของตนไม่สง่างาม จึงตั้งชื่อนี้ให้กับตนเอง แต่เพราะกลัวว่าบิดามารดาของข้าจะตำหนิ เรื่องนี้จึงมีเพียงข้ากับนางที่รู้ ดังนั้นเมื่อข้าได้ยินชื่อนี้ ในใจก็นึกสงสัยอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่กล้าคิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นก็เท่านั้น เมื่อได้พบหน้า ผู้น้อยจึงกล้ามั่นใจเรื่องตัวตนของนาง ส่วนเรื่องที่นางจำผู้น้อยไม่ได้ก็เพราะก่อนอายุสิบหก ผู้น้อยนิสัยทึมทื่อ ผิวดำคล้ำ รูปร่างกำยำล่ำสัน ตรงกันข้ามกับตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ที่ผู้น้อยหน้าตาเยี่ยงตอนนี้ได้เป็นเพราะระหว่างติดตามอาจารย์คนที่สอง เขาใช้ยาสูตรลับเปลี่ยนสีผิวให้ผู้น้อย แล้วยังห้ามมิให้ผู้น้อยฝึกวิชาที่เพิ่มพูนกำลังภายนอก เปลี่ยนมาฝึกปรือเคล็ดวิชาพลังภายใน การมีหน้าตาอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้น้อยคิดไม่ถึงเช่นกัน”
ข้าฟังแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “นักพรตเมิ่งอาจารย์ของท่านเหตุใดจึงใส่ใจรูปลักษณ์ของศิษย์นัก”
เซี่ยจินอี้ไม่ถามว่าเหตุใดเจียงเจ๋อจึงรู้จักตัวตนของอาจารย์ผู้มีพระคุณคนที่สองของเขา ความจริงหากเจียงเจ๋อไม่ทราบ เขาจึงจะรู้สึกแปลก เขาตอบว่า “เรื่องนี้ อาจารย์บอกว่าศิษย์ของเขาวรยุทธ์ไม่เอาอ่าวได้ แต่จะต้องสง่างามเจ้าสำราญถึงจะใช้ได้ ยามนั้นผู้น้อยละทิ้งความหวังที่จะแก้แค้นแล้วจึงไม่ยินดีตรากตรำฝึกฝนวรยุทธ์อีก หันมาร่ำเรียนกลเม็ดเล็กน้อยพวกนั้นจากท่านผู้เฒ่าอย่างเปรมปรีดิ์”
ข้ามองเซี่ยจินอี้อย่างใคร่ครวญแต่ไม่พูดคำใด บางทีอาจารย์ของเขาอาจมีเจตนาอื่นแฝงอยู่กระมัง แต่เรื่องนี้ข้าต้องตรวจสอบอย่างละเอียดจึงจะมั่นใจได้ ข้าย้อนกลับมาสู่ประเด็นหลักแล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ยงอ๋องกับรัชทายาทอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสู้เอาเป็นเอาตายกันแล้ว ในเมื่อสำนักเฟิงอี้เข้าพวกกับรัชทายาท ย่อมอยู่ในรายชื่อที่ต้องกำจัดเช่นเดียวกัน เจ้าจงวางใจ ไม่ว่าเจ้าจะมีโอกาสอยู่ถึงวันนั้นหรือไม่ หลี่หันโยวจะต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน หนึ่งปีที่ผ่านมาข้าไม่ต้องการให้ตัวตนของเจ้ารั่วไหลจึงไม่เคยพบหน้าเจ้า วันนี้ก็มีเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น เรื่องที่เจ้าทำ ข้าล้วนรับรู้ วันหน้าเมื่องานใหญ่สำเร็จ ข้าจะไม่แล้งน้ำใจต่อเจ้าแน่นอน ตอนนี้มีงานชิ้นหนึ่งต้องการให้เจ้าทำ เรื่องนี้อันตรายยิ่งนัก เจ้าอาจมีอันตรายถึงชีวิต เดิมข้าไม่คิดจะให้เจ้าทำ เพียงแต่มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำได้โดยแม้แต่ทวยเทพก็ไม่รู้ ภูตผีก็ไม่เห็นได้ เจ้ายินดีจะเสี่ยงหรือไม่”
เซี่ยจินอี้สีหน้าไม่กังวลแม้แต่น้อย “ผู้น้อยมิหวาดกลัวความตายมานานแล้ว ผู้น้อยทราบความโหดร้ายของรัชทายาทดี หากมีวันหนึ่งเขาขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ เกรงว่าปวงประชาใต้หล้าคงประสบทุกข์เข็ญ แม้ข้ามิใช่ผู้กล้าทรงคุณธรรมอันใด แต่หากเป็นกำลังช่วยยงอ๋องชิงบัลลังก์ได้แม้เพียงน้อยนิด ผู้น้อยถึงตายก็ยินดี”
ข้ามองเขาอย่างแฝงความนัย ก่อนจะส่งผ้าเช็ดหน้าไหมสีเขียวหยกผืนหนึ่งให้เขา เซี่ยจินอี้รับไปดู สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากแต่กลับไม่พูด ข้าเล่าแผนการอย่างละเอียดจนจบหนึ่งรอบ สีหน้าของเซี่ยจินอี้ทั้งหวาดกลัวทั้งเลื่อมใสแล้วถามขึ้นว่า “ใต้เท้าทราบเรื่องนี้ได้เช่นไร ผู้น้อยเชื่อว่าทำการเป็นความลับอย่างยิ่ง ไม่มีคนนอกรู้เด็ดขาด”
ข้าเพียงหัวเราะแต่ไม่ตอบ คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องบอกเขาเรื่องที่เสี่ยวซุ่นจื่อลอบเข้าพระราชวังต้องห้ามไปรับศิษย์ไว้สองคนกระมัง แม้เด็กน่าสงสารสองคนนั้นวรยุทธ์จะยังตื้นเขิน แต่มือเท้าว่องไว ผนวกกับมีไหวพริบ จึงสืบพบความลับอันใหญ่หลวงเรื่องนี้ออกมาได้
เซี่ยจินอี้เห็นข้าไม่พูดจึงได้แต่เก็บผ้าเช็ดหน้าไหมไว้อย่างทะนุถนอมแล้วเอ่ยว่า “ผู้น้อยจะพยายามสุดกำลัง”
ข้าเห็นเขารับปากจึงหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาแล้วเอ่ยว่า “ในนี้มียาอยู่สองเม็ด ถึงวันนั้นเจ้าจงกินยาที่หุ้มด้วยขี้ผึ้งสีเขียวก่อน นั่นคือยาคุ้มครองหัวใจ วันนั้นเจ้าคงเป็นคนที่ถูกระบายโทสะใส่ แต่ผู้ที่ได้รับคำสั่งมาสังหารเจ้าคงใช้อาวุธไม่ได้ สังหารคนให้โลหิตแปดเปื้อนหน้าพระพักตร์มีความผิดโทษฐานไม่เคารพ หากใช้หมัดกับฝ่ามือ ข้ากล้าพูดว่ามันจะทำให้เจ้ารักษาชีวิตไว้ได้ หลังจากนั้นเจ้าค่อยแอบกินยาที่หุ้มด้วยขี้ผึ้งสีดำเม็ดนั้น มันจะทำให้ชีพจรขาดเหมือนคนตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าย่อมมีหนทางช่วยเจ้าหนี หลังจากวันนี้ไปแม้มิอาจพบหน้า แต่ข้าคิดว่าตอนนี้เจ้าน่าจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับแวดวงขุนนางอีกต่อไปแล้วกระมัง หากเจ้ายังต้องการหน้าที่การงานสักตำแหน่งอยู่ วันหน้าข้าย่อมตอบแทนเจ้าไม่ให้ผิดหวัง”
ดวงตาของเซี่ยจินอี้ฉายแววขอบคุณบางเบาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณใต้เท้าที่คำนึงถึงชีวิตผู้น้อย หากผู้น้อยล้างแค้นสำเร็จ ลาภยศความมั่งคั่งอันใดล้วนไม่ต้องการ ผู้น้อยเพียงปรารถนาจะเห็นหลี่หันโยวถูกกรรมสนองกับตาตนเองเท่านั้น”
ข้ายิ้มจาง เอ่ยว่า “เรื่องนี้ยากอันใด หลังงานเสร็จเจ้าถอนตัวออกมาแล้ว ข้าจะจัดการให้เจ้าซ่อนตัว วันหน้าเจ้าจะต้องสมปรารถนาเป็นแน่ แต่บางทีเรื่องอาจไม่ดำเนินไปตามนั้น หากรัชทายาทมิยอมติดเบ็ด เจ้าก็อาจไม่มีอันตรายถึงชีวิต หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจงรับใช้รัชทายาทต่อไปให้ดี จำไว้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจงรักภักดี อย่าได้เผยท่าทีหลงอำนาจออกมา หากเจ้ายังอยู่ข้างกายรัชทายาทได้สำเร็จ หลังจากนั้นเจ้าจงตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะทำอย่างไร จำไว้เพียงว่าหากมีโอกาสให้ลองยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างรัชทายาทกับหลู่จิ้งจง”
เซี่ยจินอี้เอ่ยอย่างลังเล “ยามนี้รัชทายาทบาดหมางกับสำนักเฟิงอี้และฉีอ๋อง เป็นช่วงเวลาที่ทรงพึ่งพาหลู่เส้าฟู่อย่างยิ่ง เกรงว่าคงจะยุแยงความสัมพันธ์นายบ่าวระหว่างพวกเขาไม่ง่ายนัก”
ข้าหัวเราะ “ไม่มีอันใดยากหรอก ผู้มีความสามารถทุกคนล้วนหยิ่งทะนงอย่างมิอาจเลี่ยง หลู่จิ้งจงเป็นคนหน้าซื่อใจคด ส่วนรัชทายาทก็เป็นผู้มีจิตใจคับแคบ เจ้าเพียงชมหลู่เส้าฟู่ว่าวางอุบายได้เหนือผู้ใดบ่อยครั้ง ในใจรัชทายาทย่อมเกิดความริษยาชิงชังขึ้นเอง”
เซี่ยจินอี้ตอบอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ผู้น้อยเข้าใจแล้ว ผู้น้อยจะทำตามบัญชา”
พูดคุยกันจบ เซี่ยจินอี้ก็จากไปอย่างเงียบเชียบ ในใจข้ารู้ดีว่าเขาไม่เชื่อการคาดการณ์ของข้านัก แต่เขาคงไม่รับปากแล้วขัดคำสั่ง ถึงอย่างไรวิธียุแยงของข้าก็ไม่ได้มีผลเสียอันใดต่อเขา ชมหลู่จิ้งจงสักสองสามประโยคจะมีผลเสียอะไรกับเขาเล่า
เสี่ยวซุ่นจื่อมองสีหน้าของข้าแล้วเอ่ยว่า “ดึกแล้ว คุณชายจะพักผ่อนที่นี่สักคืนหรือจะกลับตอนนี้”
ข้าเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อน “กลับตอนนี้เลยเถอะ ข้าไม่ชอบที่แห่งนี้ ทั้งห้องมีแต่กลิ่นแป้งหอมฟุ้ง ทำเอาดมแล้วรู้สึกไม่สบาย”
เสี่ยวซุ่นจื่อหยิบเสื้อคลุมส่งให้ ข้าสวมไว้บนร่างแล้วรับหมวกติดผ้าโปร่งมาก่อนจะเดินออกจากห้องไปทางประตูด้านข้าง ตรอกน้อยมืดสนิทด้านนอกมีรถม้าหน้าตาธรรมดาจอดอยู่หนึ่งคัน เสี่ยวซุ่นจื่อพยุงข้าเข้าไปในรถ จากนั้นตนเองจึงตามเข้ามาแล้วปลดม่านรถลง หลังจากนั้นรถม้าจึงเริ่มขยับ ข้ารู้ว่ารอบตัวข้ามีองครักษ์คอยปกป้องอยู่ หัวหน้าที่คอยคุมก็คือจิงฉือ หนึ่งปีที่ผ่านมานอกจากอยู่ที่ค่ายทัพ เขาล้วนอยู่ข้างกายข้า ทุกครั้งที่ข้าออกมาข้างนอก เขาจะแย่งมาติดตามอยู่เสมอ ก็ไม่รู้ว่าถูกข้าลงโทษให้คัดตำราจนเลอะเลือนไปแล้วหรือไม่
[1]ปีซินเว่ย ปีแพะปีที่ 8 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า