ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 72 เอาโลหิตชดใช้ (2)
เพลิงโทสะลุกโชนในดวงตาของหลี่จื้อ เขาเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “เจ้าสำนัก คราวนี้หลี่หันโยวสังหารคน หากปล่อยนางไปก็ออกจะไม่มีเหตุผลเกินไปแล้ว ขอท่านเจ้าสำนักมอบหลี่หันโยวให้ข้าลงโทษด้วย”
เจ้าสำนักเฟิงอี้เงียบอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยว่า “ผู้ที่นางสังหารคือฉินชิง ในเมื่อองค์หญิงฉางเล่อปลอดภัย ท่านย่อมมิอาจคุมตัวนางไว้ได้ แต่หลังจากนี้จะไล่ล่าฆ่าฟันเช่นไรก็เป็นเรื่องของพวกท่าน”
หลี่จื้อลังเลเล็กน้อย หากปล่อยหลี่หันโยวไปเช่นนี้ก็ผิดต่อตระกูลฉินเกินไป แม้ครั้งนี้ฉินชิงทำความผิดมาก่อน แต่ผู้ที่ช่วยองค์จักรพรรดิก็คือตระกูลฉิน
ตอนนี้เอง ฉินอี๋ผู้กอดศพบุตรชายอยู่ก็เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “องค์ชาย มิต้องสนใจข้า ความปลอดภัยของฝ่าบาทเป็นเรื่องสำคัญ ปล่อยหลี่หันโยวไปก่อนเถิด วันหน้าค่อยล้างแค้น อนาคตยังอีกยาวไกล” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรวดร้าวและโศกสลด
หลี่จื้อมองเจียงเจ๋ออย่างลังเล ดวงตาของเจียงเจ๋อทอประกายเย็นยะเยือกพลางเอ่ยเสียงเข้ม “องค์ชาย โปรดอย่าทรยศน้ำใจของแม่ทัพใหญ่” หลี่จื้อถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วมิพูดต่อ
เจ้าสำนักเฟิงอี้จี้ดัชนีใส่จากไกลๆ หลี่หันโยวพลันฟุบกับพื้นหมดสติ เซียวหลานเข้ามารับยาแก้พิษจากมือเสี่ยวซุ่นจื่อนำไปมอบให้คนสำนักเฟิงอี้กินคนละเม็ด ไม่นานนักคนเหล่านี้ก็ล้วนขยับตัวได้ แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน อาวุธของพวกเขาล้วนถูกริบสิ้น
เจ้าสำนำเฟิงอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “พวกเจ้าไปรวมตัวกันตรงจุดที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ ข้าทิ้งคำสั่งเอาไว้ที่นั่น พวกเจ้าทำตามก็พอ หากข้าไม่อาจดูแลสำนักเฟิงอี้ได้อีก ให้หลิงอวี่ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนัก เหวยอิงเป็นที่ปรึกษาในสำนัก จี้เสียรับหน้าที่ผู้อาวุโสคุมกฎ ศิษย์น้องจี้ เจ้าจงบอกต่อหลิงอวี่ พวกเจ้าสามคนต้องร่วมแรงร่วมใจ อย่าได้ต่อสู้แย่งชิงอำนาจ”
ผู้คนของสำนักเฟิงอี้คำนับอย่างจริงจังแล้วขานตอบว่า “รับบัญชาเจ้าสำนัก” หลังจากนั้นจี้เสียก็เดินนำออกไปเป็นคนแรก
เหวยอิง เฟิ่งเฟยเฟยตามอยู่ด้านหลังจี้เสีย มือกระบี่หญิงสำนักเฟิงอี้สองนางประคองหลี่หันโยวติดตามไป เซียวหลานกำลังจะตามไปด้วย ทันใดนั้นหลี่อันที่ทรุดอยู่บนพื้นมาตลอดก็ล้มลุกคลุกคลานเข้ามารั้งเซียวหลานไว้ “ชายารัก พาข้าไปด้วยเถิด”
เซียวหลานลังเลครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ามองเจ้าสำนักเฟิงอี้ เจ้าสำนักเฟิงอี้ส่ายศีรษะท่าทางเย็นชา เซียวหลานก้มมองหลี่อัน หลี่อันในยามนี้ไม่เหลือสง่าราศีของเชื้อพระวงศ์แม้แต่น้อย ในใจเซียวหลานเกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ ยกเท้าเตะหลี่อันครั้งเดียวปลิวออกไป สลัดหลุดอย่างง่ายดายแล้วก้าวเดินออกไปนอกตำหนัก หลี่อันเจ็บจนน้ำหูน้ำตาไหลพรากในทันใด หลี่จื้อขมวดคิ้วพลางโบกมือครั้งหนึ่ง องครักษ์หลายนายจึงก้าวเข้าไปลากหลี่อันออกมาด้านข้าง ไม่ให้เขาทำตัวขายหน้าผู้คนอีก
เวลานี้ฉินเจิงกำลังก้มหน้าเดินไปยังประตูตำหนัก นางจำเป็นต้องไป นางเป็นกบฏ หากไม่ไปก็มีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น ทว่าในใจนางกลับพะว้าพะวัง ในตอนนั้นหากไม่มีคำสั่งลายมือของฉีอ๋องจะสั่งกองทัพใหญ่ของฉีอ๋องให้โจมตีกองทัพใหญ่ของยงอ๋องไม่ได้ ดังนั้นนางจึงร่วมมือกับสำนักบีบให้ฉีอ๋องเขียนคำสั่งด้วยลายมือตนเอง เพื่อรับประกันว่าจะไม่ผิดพลาด สุดท้ายผู้ที่นำคำสั่งไปส่งจึงเป็นฉินอู๋ฉี บิดาของนาง ทว่าบัดนี้เห็นชัดแล้วว่าฉีอ๋องมิได้ยอมทำตามจากใจจริง มิเช่นนั้นเจียงเจ๋อคงไม่หลบอยู่กับฉีอ๋อง
ถ้าเช่นนั้นคำสั่งลายมือฉบับนั้นต้องมีปัญหาแน่ เกรงว่าบิดาของตนคงถูกลูกน้องของฉีอ๋องคุมตัวไว้แล้ว หากตอนนี้ตนรีบเดินทางไปที่กองทัพของฉีอ๋อง แม้จะบัญชาการพวกเขาให้พลิกสถานการณ์มิได้ แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะช่วยบิดาของตนได้ ความรักระหว่างสามีภรรยาบางดั่งกระดาษแล้ว บุตรรักอยู่เมืองหลวงย่อมมิอาจช่วยเหลือได้ ถ้าเช่นนั้นตนก็เหลือเพียงความหวังว่าจะช่วยบิดาสำเร็จ ในเวลาเช่นนี้ฉินเจิงไม่ต้องการจะเสียครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ไป
ฉินเจิงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองอย่างไม่รู้ตัว จึงได้เห็นฉีอ๋องยืนเอามือไพล่หลังอยู่เบื้องหลังดาบและกระบี่มากมาย เขากำลังจับจ้องฉินเจิงด้วยสีหน้าอ่อนโยน ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโล่งใจและความยินดี หัวใจของฉินเจิงสั่นไหว นางรู้ว่าหลี่เสี่ยนกำลังดีใจที่นางหนีรอดไปได้ เมื่อคิดขึ้นมาว่าเพราะการกระทำของตนทำให้อนาคตหลังจากนี้ของฉีอ๋องมืดมน คิดถึงบุตรรักผู้อยู่ในจวนฉีอ๋องที่ฉางอัน นางก็หยุดก้าวเท้า ฉีอ๋องเห็นท่าจึงผินหน้าหนีทันใด ไม่มองดูฉินเจิงอีก แต่ฉินเจิงกลับเห็นร่างกายเขากำลังสั่นระริก เห็นชัดว่าเขาไม่ต้องการให้ตนอยู่ต่อเพราะเป็นห่วงสามี
ฉินเจิงเหม่อลอย นึกถึงตำรากุลสตรีที่เคยอ่านสมัยยังเด็ก ในนั้นกล่าวว่าออกเรือนให้เชื่อฟังสามี คำพูดประโยคนี้เดิมทีเป็นสิ่งที่นางดูแคลนยิ่งนัก แต่วันนี้นางเพิ่งเข้าใจความนัยที่แท้จริงของประโยคนี้ หากสามีภรรยาไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่ทุกข์ทนทะเลาะเบาะแว้ง นางนึกถึงความหวั่นกลัวในยามนี้ของฮองเฮากับจี้กุ้ยเฟย นึกถึงจ่างซุนกุ้ยเฟยกับเหยียนกุ้ยเฟยผู้ขวางหน้าหลี่หยวนอย่างไม่กลัวความตาย แล้วนึกถึงฉินชิงที่ตายด้วยกระบี่ของหลี่หันโยวผู้นั้น
ในที่สุดฉินเจิงก็หยุดฝีเท้า สายตาของนางเหม่อมองบนร่างหลี่เสี่ยน แม้คนผู้นี้นำความทุกข์มาให้ตนมากมายนัก แต่หากมิใช่เพราะตนไม่ยอมตัดขาดกับสำนัก ไยจะเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ตนนำพาความลำบากเช่นนี้มาให้เขา คนผู้นี้ก็ยังไม่ตัดขาดกับตน ได้สามีเช่นนี้ มีอันใดให้ผิดหวังอีก เวลานี้ฉินเจิงนึกเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้เอาใจใส่ดูแลสามี
ในตอนนี้เอง เซี่ยเสี่ยวถงหันกลับมาเรียกนาง “ศิษย์พี่ รีบหน่อย”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ขมวดคิ้วตามแล้วเอ่ยว่า “เจิงเอ๋อร์ เจ้ายังลังเลอันใดอยู่”
ฉินเจิงตัดสินใจแล้ว นางหันกลับมาคารวะจรดพื้นตอบว่า “ท่านอาจารย์ โปรดอภัยที่ศิษย์มิอาจทำตามคำสั่งของท่าน”
เจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “เจิงเอ๋อร์ เจ้าเลอะเลือนมาตลอด แต่อาจารย์ไม่เคยตำหนิเจ้า เวลานี้แล้วเจ้ายังเพ้อฝัน หวังว่าฉีอ๋องจะช่วยชีวิตเจ้าอีกหรือ”
ฉินเจิงไม่สนใจเจ้าสำนักเฟิงอี้ กล่าวเสียงดัง “ฉินเจิงในฐานะพระชายาอ๋องแห่งต้ายง มิรู้จักภักดีต่อแว่นแคว้นกลับวางแผนก่อกบฏ ฉินเจิงในฐานะบุตรี มิอาจส่งเสริมบิดาให้เที่ยงตรง กลับทำให้บิดาต้องกระทำเรื่องไม่สมควรเพื่อบุตรสาวคนนี้ ฉินเจิงในฐานะภรรยา มิรู้จักรักษาคุณธรรมของภรรยา เกื้อหนุนสามีสั่งสอนบุตร ผิดต่อหลักคุณธรรม ฉินเจิงในฐานะมารดา มิรู้จักประพฤติตนเป็นแบบอย่าง เลี้ยงดูบุตรรักให้ดี ทำให้บุตรถูกข้าลากมาพัวพันด้วย
เสด็จพ่อ เสด็จพี่รอง ท่านอ๋องภักดีต่อราชสำนักมาเสมอ แม้รัชทายาทกับภรรยาเลวผู้นี้บีบคั้นบังคับสารพัดก็มิอาจเคลื่อนทหารของท่านอ๋องได้สักนายเดียว ขอเสด็จพ่อ เสด็จพี่รองกับแม่ทัพทุกท่านพินิจให้กระจ่าง ฉินเจิงกระทำการไม่ภักดี อกตัญญู ไร้เมตตา ขาดคุณธรรมเช่นนี้ ไหนเลยยังมีหน้าอยู่บนโลกมนุษย์อีก ขอเสด็จพ่ออภัยให้ท่านอ๋องเถิด”
หลี่เสี่ยนฟังมาถึงตรงนี้พลันตะโกนลั่น “เจิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าทำเรื่องโง่ๆ” เขาตั้งใจจะขัดขวาง ทว่าระหว่างทั้งสองคนกั้นกลางด้วยนายทหารและองครักษ์มากมาย พลังภายในของหลี่เสี่ยนยังไม่ฟื้นกลับมา เขาเพิ่งก้าวเท้าออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็เห็นในมือฉินเจิงมีปิ่นทองเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ ปลายแหลมของปิ่นจี้จรดลำคอ นางคลี่ยิ้มหวาน รอยยิ้มนี้ช่างเจิดจ้า นั่นเป็นรอยยิ้มที่งดงามเหนือกว่ารอยยิ้มใดนับตั้งแต่แต่งงานกับหลี่เสี่ยน หลังจากนั้นประกายแสงสีทองฉายวูบหนึ่ง ปิ่นทองก็วาดตัดลำคอ โลหิตไหลทะลัก ฉินเจิงปลิดชีพตนแล้ว
หลี่เสี่ยนทำทันเพียงพุ่งมากอดร่างอรชรของฉินเจิงไว้ในอ้อมแขน เขาลนลานใช้มือกดไม่ให้เลือดไหลออกมา ทว่าโลหิตทะลักดุจน้ำพุ ไหนเลยจะหยุดไว้ได้ เขาเอ่ยเรียกน้ำเสียงเศร้าโศก “เจิงเอ๋อร์ เจิงเอ๋อร์ เจ้าตายไม่ได้ ล้วนเป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า ข้าไม่ควรปล่อยให้พวกนางบงการชีวิตเจ้า”
แต่ฉินเจิงไม่มีลมหายใจอีกต่อไปแล้ว สายตาของหลี่เสี่ยนยามจับจ้องร่างเจ้าสำนักเฟิงอี้อัดแน่นด้วยความเสียใจและความโกรธแค้นลึกล้ำ ผู้คนด้านข้างกล่าวอันใดกับเขา เขาล้วนไม่ได้ยิน เพียงอุ้มภรรยาเดินโซเซไปด้านนอก ไม่มองผู้ใดทั้งสิ้น คนที่คิดจะเข้ามาห้ามปรามเมื่อเห็นโลหิตบนอกเสื้อกับดวงตาสิ้นหวังโศกสลดคู่นั้นก็ต่างถอยหลังไปอย่างเงียบงัน ยงอ๋องหลี่จื้อถอนหายใจแผ่วเบา แล้วโบกมือให้คนสนิทสองสามคนตามไป
เมื่อแผ่นหลังของฉีอ๋องลับหายไปแล้ว หลี่จื้อจึงเอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าสำนักเฟิงอี้ ท่านพอใจแล้วหรือไม่ที่พวกข้าพ่อลูกพี่น้องถูกท่านยุแยงจนแตกแยกกลายเป็นเช่นนี้ บัดนี้ลูกศิษย์สำนักท่านจากไปแล้ว เชิญเจ้าสำนักพำนักที่เรือนพักหว่านชิว ภายในเจ็ดวันนี้ ข้าจะไม่ส่งคนออกไล่ล่าสังหารศิษย์สำนักท่าน แต่เจ้าสำนักต้องรักษาสัญญา อย่าได้ออกจากเรือนพักหว่านชิวแม้สักก้าว”
เจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยราบเรียบ “ต่อให้สำนักข้ามิเข้ามายุ่ง ยงอ๋องจะละทิ้งบัลลังก์ได้หรือ ยามนี้บัลลังก์อยู่ในกำมือของท่านแล้ว รัชทายาทก่อกบฏจึงไม่มีคุณสมบัติขึ้นเป็นจักรพรรดิอีก ฉีอ๋องก็ต้องสงสัย หลังจากวันนี้ท่านจะสังหารหรือกักบริเวณเขาล้วนทำได้ตามแต่ใจ ส่วนเสด็จพ่อของท่านก็ไม่รู้ว่าท่านจะบีบให้เขาสละบัลลังก์หรือไม่”
หลี่จื้อเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าสำนักมิต้องสิ้นเปลืองความคิดแล้ว นี่เป็นเรื่องในราชวงศ์ข้า หากเจ้าสำนักยังไม่วางใจ อย่างมากข้าก็จะไปเป็นตัวประกันให้เจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักเฟิงอี้มองมาด้วยสายตาเคียดแค้น ทว่าในใจกลับเศร้าหมอง นางเอ่ยเนิบช้า “ข้าให้สัญญาไว้แล้ว ให้เจียงซือหม่ากับฉีอ๋องเป็นตัวประกันก็พอ ทว่าข้าขอบอกให้ชัด หากองค์ชายส่งคนไปไล่ล่าศิษย์ของข้า ย่อมไม่มีทางปิดบังข้าได้ ภายในเจ็ดวันนี้ หากมีใครสักคนไปจากพระราชวังเลี่ยกง ข้าไม่มีวันยอมเลิกราโดยดี”
หลี่จื้อไม่โต้แย้ง สายตาเขาเคลื่อนไปจับบนร่างเจียงเจ๋อ แววตาของเจียงเจ๋อเย็นยะเยือกและแน่วแน่ นั่นคือสายตาที่อัดแน่นด้วยความแค้นและความตาย เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น
หลี่จื้อฉุกใจคิด หรือว่าเจียงเจ๋อมีวิธีทำให้สำนักเฟิงอี้พินาศย่อยยับทั้งสำนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงตอบอย่างนิ่งสงบ “ข้ารับปากเงื่อนไขนี้ เชิญเจ้าสำนัก”