ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 74 แค้นนี้ตราบนาน (2)
ด้านในตำหนักข้างหลังหนึ่งของตำหนักอวี้หลิน หลู่จิ้งจงยืนอยู่ริมหน้าต่างมองออกไปด้านนอกด้วยท่าทางนิ่งสงบ เขารู้ตัวเองดีว่าพรสวรรค์ไม่สูงจึงไม่ใส่ใจการฝึกฝนวรยุทธ์นัก ด้วยเหตุนี้ยามสำนักเฟิงอี้กักตัวเขาไว้ แม้เขาโกรธเคืองแต่ก็ไม่ขัดขืน ถึงอย่างไรหากสำนักเฟิงอี้คิดควบคุมราชสำนัก ไม่มีตนย่อมทำมิได้ อำนาจดั้งเดิมของฝ่ายรัชทายาท นอกจากตัวเขาหลู่จิ้งจงย่อมไม่มีผู้ใดจัดการได้ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นความเหิมเกริมหลงระเริงของพวกหลี่หันโยวอยู่ในสายตา ถึงอย่างไรการยึดวังก็ต้องการกำลังรบ เขาเองเข้าไปยุ่งมิไหว
แต่บางเรื่องสตรีผู้หยิ่งยโสเหล่านี้ก็ทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงเรื่องบีบฉีอ๋องให้เคลื่อนทหาร พวกนางก็ต้องปล่อยตนออกมาจากห้องคุมตัวแล้วมิใช่หรือ แม้ห้ามไม่ให้ตนก้าวออกจากตำหนักอวี้หลิน แต่เมื่อถึงเวลาต้องเจรจากับจักรพรรดิต้ายง พวกนางก็ต้องให้ตนออกหน้าอยู่ดี เรื่องเหล่านี้พวกหลี่หันโยวทำมิได้ และต่อให้เหวยอิงมีความสามารถเหนือผู้อื่น แต่การเจรจาเรื่องละเอียดอ่อนในราชสำนักเหล่านั้นก็ยังด้อยกว่าตนเองอยู่โข
ทว่ายงอ๋องกลับพลิกสถานการณ์ได้สำเร็จ เมื่อได้ยินเสียงเข่นฆ่าดังขึ้นรอบพระราชวังเลี่ยกง หัวใจของหลู่จิ้งจงเย็นเฉียบดั่งน้ำแข็ง เขารู้ชัดเจนยิ่งว่าเสนาธิการไม่ว่าจะฉลาดล้ำเหนือผู้คนอย่างไร ยามเผชิญหน้ากับหอกดาบศาสตราวุธเหล่านั้นล้วนไร้ประโยชน์ ความพ่ายแพ้ของรัชทายาทย่อมหมายถึงความพ่ายแพ้ของตน รังคว่ำลงมาแล้ว ไฉนจะยังเหลือไข่ที่รอดปลอดภัยอยู่
หลายวันนี้ระหว่างที่ถูกยงอ๋องออกคำสั่งขังอยู่ในตำหนักข้างของตำหนักอวี้หลิน เขาเคยครุ่นคิดว่าการขอชีวิตมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ แต่น่าเสียดายแม้เขาไม่ยินดีตายพร้อมรัชทายาท แต่เขาก็ไม่มีทางใดให้แปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายยงอ๋องได้ ข้างกายยงอ๋องมีเสนาบดีอัจฉริยะอย่างสืออวี้ ฝ่ายบุ๋นมีสามอัจฉริยะเป็นกุนซือ ฝั่งบู๊มีจ่างซุนและจิงฉือเป็นแม่ทัพใหญ่ แล้วยังมีเจียงเจ๋อยอดอัจฉริยะผู้ชำนาญกลอุบายอีก มีที่ให้ตนยืนเสียที่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ตนวางแผนออกอุบายให้รัชทายาท บีบยงอ๋องจนเกือบพบเภทภัยหลายครั้ง ยงอ๋องไม่มีทางคิดจะรับเขาไว้แน่นอน เกรงว่าที่หลายวันนี้กักตัวตนเอาไว้ไม่ได้จัดการ ไม่ใช่เพราะยุ่งจนลืมก็คงไม่ต้องการให้ตนตายไวนักกระมัง
เวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงเป็นระเบียบมีพลัง คิดว่าคงเป็นทหารที่ฝึกปรือมาอย่างเป็นระเบียบกองหนึ่ง คนเหล่านั้นแยกไปยืนสองฝั่งของประตู หลังจากนั้นคนผู้หนึ่งก็เปิดประตูเดินเข้ามา หลู่จิ้งจงหันกลับไปมองก็เห็นเซี่ยโหวหยวนเฟิงสวมอาภรณ์สีเขียว เปล่งประกายดั่งต้นไม้หยกต้องลม มือประคองถาดใบหนึ่งอยู่ บนนั้นวางขวดหยกสีเขียวเอาไว้
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นนายทหารด้านหลังจึงปิดประตู เซี่ยโหวหยวนเฟิงวางขวดหยกลงบนโต๊ะกลางห้องแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “ใต้เท้าหลู่ ผู้น้อยรับบัญชาเดินทางมาส่งท่าน”
หลู่จิ้งจงสั่นเทาอยู่ในใจ ความเหนื่อยล้าอันไร้ที่มาผุดพรายในหัวใจ เขาเดินไปหน้าโต๊ะแล้วหยิบขวดหยกขึ้นมาเล่นในมือครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “เซี่ยโหว ศิษย์นิกายจันทราของพวกเราเข่นฆ่ากันเองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเจ้าจึงทรยศรัชทายาท หากเจ้าไม่ส่งต่อราชโองการลับให้ฉินหย่งเดินทางมาช่วยจักรพรรดิ ครั้งนี้ยงอ๋องต้องตายแน่ ถึงเวลาตำแหน่งของเจ้ามีแต่จะสูงกว่ายามนี้ เห็นแก่ที่พวกเราเป็นอาหลานกัน เจ้าช่วยแถลงไขให้กระจ่างเถิด”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเงียบครู่หนึ่งก็ตอบว่า “อาจารย์อามิใช่ทราบอยู่แล้วหรือ ข้าต้องพิษของเจียงซือหม่าจึงถูกบีบให้เปลี่ยนฝ่าย”
หลู่จิ้งจงหัวเราะ “เจ้าไม่ต้องปิดบังข้า นิสัยเจ้า ข้ารู้ดียิ่งนัก ต่อให้ต้องใช้ทัณฑ์ทรมานบังคับเอายาแก้พิษ เจ้าก็ไม่ยินดีละทิ้งความทะเยอทะยาน”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงนิ่งครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ช่างเข้าใจหยวนเฟิงจริงๆ ถ้าเช่นนั้นหลานไม่ปิดบังอาจารย์อาแล้ว เหตุผลประการแรกเพราะยามนั้นเจียงซือหม่าป่วยหนักนัก หากข้าทรมานบีบบังคับ เกรงว่ายังไม่ทันจะบีบจนได้ยาแก้พิษ เขาก็คงตายเสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้อ่อนนอกแข็งใน หากเป็นเรื่องเล็กน้อยยามปกติ บางทีอาจบีบบังคับได้ แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต่อให้ใช้ความเป็นความตายมาบังคับก็ไร้ประโยชน์”
หลู่จิ้งจงสีหน้านิ่งเฉย เพราะเขารู้ว่านี่ไม่ใช่สาเหตุแท้จริงที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงเปลี่ยนฝ่าย
เป็นดังคาด เซี่ยโหวหยวนเฟิงเอ่ยต่อว่า “ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือหลานไม่เคยถือว่าตนเป็นคนของนิกายจันทรา คำสอนของนิกายจันทราคือเกื้อหนุนเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาท่ามกลางกลียุค รวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง เพื่อแย่งชิงตำแหน่งประมุขนิกายและโอกาสอ่าน ‘คัมภีร์จันทรลักษณ์’ ฉบับจริงสักครั้ง ต่อให้เป็นสหายร่วมสำนักก็ต้องเข่นฆ่าสังหาร
ทว่าข้าเซี่ยโหวหยวนเฟิงไร้ปณิธานยิ่งใหญ่ คัมภีร์จันทรลักษณ์อันใด ในสายตาข้าไม่มีค่าสักนิด เกื้อหนุนเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชารวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งย่อมมีผู้อื่นทำ ข้าเพียงต้องการกำอำนาจไว้ในมือ เสพลาภยศสรรเสริญก็เท่านั้น ไม่คิดเป็นประมุขนิกายจันทราแต่อย่างใด
ดังนั้นสำหรับข้าแล้ว เลือกนายฉลาดสักคนจึงจะเป็นหนทางเร็วที่สุด รัชทายาทโง่เขลาไร้ความสามารถ หากเขาขึ้นเป็นจักรพรรดิ ยังไม่ต้องพูดถึงอนาคตของต้ายงคงมืดมน สตรีสำนักเฟิงอี้เหล่านั้นก็คงควบคุมรัชทายาทง่ายกว่าพวกเรา ต่อให้ข้าเซี่ยโหวหยวนเฟิงคิดจะเป็นขุนนางชั่วก็ยังเป็นไม่ได้
แต่ยงอ๋องไม่เหมือนกัน แม้ยงอ๋องฉลาดรอบรู้รับใช้ยากอยู่สักหน่อย มิอาจทำงานอย่างขอไปที หากไร้ความสามารถ ไม่ทุ่มเททำงานสุดกำลังย่อมไม่อาจเรียกสายตาองค์ชายให้หันมอง แต่ด้วยความสามารถของข้ายังต้องกลัวองค์ชายมิเห็นค่าหรือ แม้ใต้อาณัติองค์ชายมีคนเก่งเบียดเสียด ทว่าวิญญูชนมาก คนถ่อยน้อย ไม่ว่าเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาหรือนายผู้ทรงคุณธรรมคนใดล้วนต้องการคนถ่อยเช่นข้า เรื่องบางอย่างเจ้าแผ่นดินผู้ทรงธรรมทำไม่ได้ ขุนนางดีทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้
ขอเพียงข้าภักดีต่อยงอ๋องย่อมมีวันได้เลื่อนขั้นเร็วเหมือนติดปีก เทียบกับคัมภีร์จันทรลักษณ์อันลางเลือนเลื่อนลอยนั่น อาจารย์อาไม่คิดว่าตัวเลือกของหลานจับต้องได้ที่สุดหรือ เพียงแต่เปลี่ยนฝ่ายต้องเลือกจังหวะ ครั้งนี้ข้ามีความชอบช่วยเหลือนาย วันหน้าย่อมได้รับความไว้วางใจจากยงอ๋อง ยังมีโอกาสใดเหมาะสมยิ่งกว่าครั้งนี้อีกเล่า”
แรกสุดสีหน้าของหลู่จิ้งจงโมโห ต่อมาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นผิดหวัง สุดท้ายกลับกลายเป็นนิ่งสงบ เขายิ้มขมขื่นเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้ามองใจเจ้าไม่ออกเอง เอาเถิด เอาเถิด นี่เป็นทางเลือกของเจ้าเอง บิดาเจ้ารู้หรือไม่”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ้มละไมเอ่ยว่า “ไม่มีผู้ใดรู้จักบุตรยิ่งกว่าบิดา อีกอย่างท่านพ่อมิเคยยุ่งเกี่ยวกับการก่อกบฏ ดังนั้นอาจารย์อามิต้องเป็นห่วงเขา”
หลู่จิ้งจงเปิดจุกขวดหยก แล้วเหมือนนึกบางสิ่งขึ้นได้จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อหลานรักเลือกติดตามยงอ๋อง ข้าก็ต้องเตือนเจ้าไว้สักประโยค เจียงเจ๋อผู้นี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แผนการลึกล้ำ หากคนผู้นี้คิดร้ายต่อเจ้า เจ้าจักพ่ายแพ้แน่นอน มิสู้ฉวยโอกาสยามนี้ยงอ๋องยังไม่ทันขึ้นครองราชย์ ทั้งเจียงเจ๋อก็ป่วยหนัก สังหารเขาเสีย มิเช่นนั้นแล้วสุดท้ายเจ้าก็จะถูกเจียงเจ๋อกดหัวไว้
ยิ่งไปกว่านั้น อาสงสัยมานานแล้วว่าในมือยงอ๋องอาจมีกองกำลังลับอยู่ เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่ากองกำลังนั่นจะอยู่ในมือของเจียงเจ๋อ เงามารหลี่ซุ่นเป็นยอดคนในหมู่คน คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้นำของกองกำลังกลุ่มนั้น มิฉะนั้นยากจะอธิบายว่าวรยุทธ์กับสติปัญญาอย่างเขาไยต้องลดตัวมาเป็นบ่าวรับใช้”
สีหน้าเซี่ยโหวหยวนเฟิงเริ่มเย็นชา เอ่ยตอบว่า “อาจารย์อาใจเหี้ยมจริงๆ ก่อนตายยังคิดทำร้ายข้า แม้หยวนเฟิงเลอะเลือนก็รู้ว่าเจียงเจ๋อผู้นี้ต้องเป็นมิตรด้วยเท่านั้น มิอาจเป็นศัตรูด้วยได้ อีกประการหนึ่ง ข้าเห็นว่าแม้คนผู้นี้ความคิดล้ำลึก แต่กลับมีนิสัยมิชอบเหน็ดเหนื่อยกายใจ มิเช่นนั้นคงไม่เป็นซือหม่ามาเนิ่นนานปานนี้ เรื่องในจวนยงอ๋องก็น้อยครั้งจะถามไถ่ พอสืออวี้กลับฉางอันก็ได้กุมอำนาจส่วนใหญ่ในจวนยงอ๋องใหม่อีกครั้ง
หากเจียงเจ๋อเป็นคนชอบแย่งชิงอำนาจ ไฉนจะเป็นดังนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หากคนผู้นี้ยึดติดอำนาจจริง ในอดีตยามอยู่หนานฉู่ ครั้งที่เต๋อชินอ๋องไว้วางใจใช้งานเขา อาศัยความสามารถของคนผู้นี้คงไม่ไร้ชื่อเสียงในราชสำนัก แล้วหากเขากระหายอำนาจเช่นนั้นจริง ยงอ๋องช้าเร็วคงยอมรับเขาไม่ได้ ไยข้าต้องหาเรื่องเขาด้วยเล่า”
หลู่จิ้งจงยิ้มนิดๆ อย่างขมขื่นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่เชื่อคำเตือนจากใจจริง วันหน้านึกเสียใจก็คงสายเสียแล้ว ช่างเถิด ช่างเถิด” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจกับความเคียดแค้นเบาบางแทบจะสัมผัสไม่ได้ หลู่จิ้งจงดื่มยาพิษในขวดรวดเดียวจนหมดด้วยสีหน้านิ่งสงบ
เซี่ยโหวหยวนเฟิงมองดูศพของหลู่จิ้งจงแล้วยื่นมือไปปิดดวงตาที่เบิกโพลงทั้งสองข้างให้เขา จากนั้นเอ่ยอย่างเฉยชา “อาจารย์อา ก่อนตายไยท่านต้องยุแยงตะแคงรั่วจนนอนตายตาไม่หลับเล่า”