ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 75 แค้นนี้ตราบนาน (3)
เวลาเจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันนี้เจ้าสำนักเฟิงอี้โคจรลมปราณแล้วรู้สึกว่าพลังภายในฟื้นคืนกลับมาเจ็ดส่วนแล้วจึงอดดีใจมิได้ วันนั้นนางรับปากจะอยู่ต่อก็เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้ดีขึ้น หลังจากนั้นค่อยอาศัยวรยุทธ์ของตนฝ่าออกจากพระราชวังเลี่ยกง แม้ไม่ได้ยาที่เหมาะสมมารักษา แต่วรยุทธ์เจ็ดส่วนในวันนี้ก็เพียงพอให้นางใช้แล้ว
เจ้าสำนักเฟิงอี้เปิดประตูห้องแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์ของสารทฤดู จากนั้นมองสำรวจอย่างละเอียด นางจะสังหารเจียงเจ๋อเป็นคนแรก หลังจากนั้นก็ฉีอ๋อง แล้วต่อจากนั้นหากทำได้ก็จะลองดูว่าสังหารจักรพรรดิต้ายงได้หรือไม่
แต่องค์หญิงฉางเล่อผู้มีส่วนอย่างมากในการทำลายการใหญ่ของนาง นางกลับไม่คิดสังหารสักนิด สตรีนางหนึ่งทำเรื่องเช่นนั้นสำเร็จ ในใจเจ้าสำนักเฟิงอี้นับถืออยู่พอสมควร ด้วยเหตุนี้จึงไม่คิดทำร้าย แม้ได้ยินมาว่ารัชทายาทหลี่อันยังมีชีวิตอยู่ แต่การพาคนเป็นผู้หนึ่งไปด้วยลำบากเกินไป แต่ถ้าหากเร่งเดินทางกลับฉางอันแล้วคุมพระราชนัดดาที่เซียวหลานให้กำเนิดไว้ในมือ ถึงเวลาไม่แน่อาจยกธงรบใหม่ ควบคุมแผ่นดินต้ายงได้
ทว่าเมื่อสำรวจดูแล้วเจ้าสำนักเฟิงอี้พลันรู้สึกประหลาดใจ เจียงเจ๋อผู้นั้นกับฉีอ๋องกลับไม่อยู่ในเรือนพักหว่านชิว คิ้วเรียวของเจ้าสำนักเฟิงอี้ขมวดแน่น เมื่อตั้งใจค้นหาอีกครั้งก็พบว่าอาณาบริเวณหลายลี้รอบด้านมีคนอยู่เพียงสองคนรอคอยอยู่ด้านนอก
เพียงฟังเสียงฝีเท้าของสองคนนั้น เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็ทราบตัวตนของทั้งสองคนแล้ว นางเอ่ยอย่างเย็นชา “ปรมาจารย์ซือเจิน เงามารหลี่ซุ่น พวกเจ้าไม่ต้องรอแล้ว ข้ารออยู่ตรงนี้ เจียงเจ๋อก็ฉลาดมิเบา รู้ทันว่าข้าใช้แผนถ่วงเวลาข้าศึก แต่อาศัยพวกเจ้าสองคนจะรั้งข้าไว้ได้หรือ”
ประตูเรือนเปิดออกเองโดยไร้ลม พระจีวรสีเทารูปหนึ่งประนมมืออยู่ ไฝแดงกลางหว่างคิ้วงดงามหยดย้อย ข้างกายเขาคือหลี่ซุ่นผู้สวมอาภรณ์สีเขียวอมยิ้มน้อยๆ
เจ้าสำนักเฟิงอี้ยิ้มเย็นชา มือกำด้ามกระบี่ เอ่ยว่า “ซือเจิน เจ้าเคยพ่ายแพ้ข้า อาการบาดเจ็บเมื่อหลายวันก่อนเร็วปานนี้หายดีแล้วหรือ เงามาร แม้เจ้าก้าวเข้าขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้ว แต่หากต่อสู้กันอย่างยุติธรรม รับมือข้าร้อยกระบวนท่าย่อมไม่เป็นปัญหา แต่หากต่อสู้เอาเป็นเอาตายจริงๆ ด้วยวิชากระบี่กับประสบการณ์ของข้า เจ้าตายแน่นอน”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มละไมเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก ก่อนเข่นฆ่ากัน ข้าขอนำความจากคุณชายของข้ามาบอกกล่าวก่อน”
เจ้าสำนักเฟิงอี้รู้สึกสนใจ จึงเอ่ยว่า “ข้าก็อยากลองฟังแผนการล้ำเลิศของเขาเช่นกัน”
เสี่ยวซุ่นจื่อไม่สนใจคำเสียดสีของนาง “คุณชายของข้ากล่าวว่า แม้เจ้าสำนักได้ชัย แต่รบกับทหารเรือนหมื่น ตนเองย่อมเสียทหารสามพัน ปรมาจารย์ซือเจินกับเจ้าสำนักได้ชื่อว่าเป็นสามปรมาจารย์ดุจเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นเจ้าสำนักต้องบาดเจ็บสาหัสมาแน่ ในเมื่อปรมาจารย์ซือเจินไม่มาก็อาจตกตายใต้คมกระบี่เจ้าสำนักแล้ว หรือไม่ก็บาดเจ็บหนักหนีไป มิว่าประการใดสภาพของเจ้าสำนักในยามนั้นคงยอมสู้แลกชีวิตแน่นอน
ฝ่าบาท องค์ชายสามพระองค์ องค์หญิงหนึ่งพระองค์ กับแม่ทัพขุนนางคนสำคัญหลายคนล้วนอยู่ในตำหนัก หากสูญเสียมากเกินไป เกรงว่าต้ายงจะรับมือสงครามต่อจากนี้ได้ยาก สิ่งนั้นมิใช่สิ่งที่คุณชายปรารถนาให้เกิด
ดังนั้นคุณชายจึงใช้ความเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากตกตายไปพร้อมกันของเจ้าสำนักเพื่อบรรลุข้อตกลงกับเจ้าสำนัก คุณชายคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าเจ้าสำนักจะยอมรับสัญญาเจ็ดวันเพื่อใช้เป็นแผนถ่วงเวลาข้าศึก ทว่าเจ้าสำนักกลับลืมเลือนเรื่องหนึ่ง มิว่าปรมาจารย์ซือเจินเป็นหรือตาย ล้วนไม่มีทางปล่อยให้เจ้าสำนักก่อเภทภัยแก่ใต้หล้าตามใจ
จริงดังคาด ห้าวันก่อนสิบแปดอรหันต์แห่งวัดเส้าหลินเดินทางมาถึงพระราชวังเลี่ยกง ส่วนปรมาจารย์ซือเจินมาถึงเมื่อสองวันก่อน แต่คุณชายขอให้ยงอ๋องส่งกองทหารไปรับตั้งแต่ไกล ดังนั้นพวกเขาจึงเพิ่งมาถึงเรือนพักหว่านชิววันนี้”
ดวงตาเจ้าสำนักเฟิงอี้ทอประกายเย็นยะเยือกแล้วเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “แม้คนมาก แต่ฝูงหมาป่ายากชนะพยัคฆ์ร้าย แม้พวกเขามีจำนวนคนมากก็ไร้ประโยชน์”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มละไม เอ่ยตอบ “คุณชายของข้าก็ทราบจุดนี้ เขาบอกว่าทหารชั้นยอดหนึ่งพันนายย่อมเหนือกว่ากำลังพลไร้ระเบียบนับหมื่น ดังนั้นการที่เขาสร้างสัญญาเจ็ดวันครั้งนี้ขึ้นมาจึงยังมีจุดประสงค์อื่น ขอถามเจ้าสำนักเฟิงอี้ ยาที่เจ้าสำนักกินเพื่อรักษาชีวิตใช่ยาพิทักษ์หัวใจเก้าสกัดหรือไม่”
เจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยอย่างหยิ่งทะนง “ถูกต้อง หมอเทวดาปรุงมันด้วยตนเอง หากไม่มียาตัวนี้ เกรงว่าข้าคงมิอาจระหกระเหินหลายร้อยลี้รีบเดินทางมายังพระราชวังเลี่ยกง หากคุณชายของเจ้าไม่ได้กินยาตัวนี้ก็เกรงว่าคงตายอยู่ที่ตำหนักเสี่ยวซวงนานแล้ว”
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อปรากฏจิตสังหารวูบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ถูกต้อง เป็นยาพิทักษ์หัวใจเก้าสกัด แต่เจ้าสำนักเหมือนจะลืมเลือนไปเรื่องหนึ่ง ท่านหมอซังเคยกล่าวไว้ว่ายาชนิดนี้ใช้ได้เฉพาะยามใกล้ตายเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงหลายวันหลังกินยาจะต้องบำรุงรักษาให้มาก”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ตะลึง ในใจเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมา ยามนั้นซังเฉินเคยพูดคำนี้จริง แต่ประการแรก ตนมิเคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่ต้องใช้มัน ประการที่สอง ตนเชื่อมั่นในความมหัศจรรย์ของพลังภายในที่ฝึกปรือมา จึงคิดว่าขอเพียงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ย่อมรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้เอง จนไม่เห็นความสำคัญของคำพูดประโยคนั้นนัก
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มเยาะแล้วกล่าวต่อ “เจ้าสำนักไม่ใส่ใจคำกำชับของท่านหมอซังดังคาด วันนั้นตอนท่านหมอซังฝากยานี้ไว้กับข้า เขาเคยบอกว่ายาพิทักษ์หัวใจเก้าสกัดใช้วัตถุดิบล้ำค่าและสมุนไพรสูงค่านานาชนิดปรุงขึ้นมา ใช้กระตุ้นศักยภาพที่ซ่อนในร่างช่วยรักษาชีวิต ยามที่บาดเจ็บภายใน หัวใจหมดกำลัง หายใจรวยรินกรายใกล้ความตาย หากกินยาชนิดนี้จะช่วยกระตุ้นโลหิตทั้งร่างได้
แต่มีดีย่อมมีร้าย การกระตุ้นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ แม้ช่วยให้รอดจากความตายได้ แต่ก็เผาผลาญพลังชีวิตของผู้ที่กินยามากยิ่งนัก ดังนั้นหลังจากรักษาชีวิตไว้ได้แล้วต้องกินยานานาชนิดบำรุงขนานใหญ่
เพราะหัวใจของคุณชายข้าบาดเจ็บหนักเกินไป มิอาจใช้วิธีปกติรักษาได้ ท่านหมอซังจึงให้ยานี้ไว้ เมื่อถึงเวลาเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ให้ใช้ยาตัวนี้กระตุ้นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของคุณชายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นการทำลายแล้วก่อกำเนิดใหม่ วิธีการนี้แม้อันตรายอย่างยิ่ง แต่หากทำสำเร็จ ถึงคุณชายมิอาจฟื้นกลับมาแข็งแรงโดยสมบูรณ์ แต่ก็มิต้องกังวลว่าจะสิ้นใจได้ตลอดเวลาแล้ว
หลายวันก่อนหน้าเจ้าสำนักคงเห็นว่าคุณชายของข้าแทบจะกินยาต่างข้าวอยู่ทุกวัน นั่นก็เพื่อคว้าโอกาสดีรักษาโรคที่เรื้อรังอยู่ ยามนั้นคุณชายเคยเอ่ยปากว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เจ้าสำนัก น่าเสียดายเจ้าสำนักปฏิเสธดังที่คุณชายคาด”
เจ้าสักเฟิงอี้เอ่ยเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “ข้าไหนเลยจะกล้ากินยาดีของเจียงซือหม่า ศิษย์ผู้สืบทอดวิชาของหมอเทวดา วิชาวางยาพิษใต้หล้ามิมีผู้ใดเทียม ข้าคงมิกล้าลอง”
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอย่างหยิ่งทะนง “เรื่องนี้ คุณชายของข้าก็คาดไว้แล้ว วันนั้นคุณชายเล่าว่าวางยาพิษศิษย์สำนักท่านอย่างไรก็เพื่อให้เจ้าสำนักนึกระแวง ดังนั้นเจ้าสำนักจึงมิกล้าใช้ยาส่งเดช ไม่เช่นนั้นต่อให้เจ้าสำนักไม่เชื่อถือคำพูดของหมอซังสักเท่าใด ก็คงยอมเชื่อว่ามี ดีกว่าเชื่อว่าไม่มี แล้วก็คงเชิญหมอมีชื่อมารักษาร่างกายแล้ว
สัญญาเจ็ดวันนี้ คุณชายของข้าทำเพื่อไม่ให้เจ้าสำนักมีโอกาสใช้ยารักษาอาการบาดเจ็บ แน่นอนว่าหากเจ้าสำนักกล้าใช้ยาจริง คุณชายของข้าบอกว่าเขาก็คงได้แต่เสี่ยงวางยา”
เหงื่อเย็นไหลซึมบนหน้าผากของเจ้าสำนักเฟิงอี้ นางไม่เคยคิดเลยว่าเจียงเจ๋อจะวางแผนการได้ถึงขั้นนี้ แผนการถ่วงเวลาข้าศึกครั้งนี้กลับปล่อยให้เขาได้ประโยชน์ไปเปล่าๆ
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอีกว่า “คุณชายของข้าเสี่ยงอันตรายรั้งอยู่ในเรือนพักหว่านชิวเจ็ดวัน แต่ละวันชวนเจ้าสำนักเดินหมากจิบชา ฝั่งเจ้าสำนักเพื่อลวงคุณชายของข้าให้คิดว่าเจ้าสำนักจะปลิดชีพตนขอขมาตามสัญญาก็ย่อมไม่ปฏิเสธ ดังนั้นเจ้าสำนักจึงไม่มีเวลาว่างสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตนเอง การฟื้นฟูพลังภายในทำให้เจ้าสำนักเผาผลาญชีวิตเป็นเท่าทวี พร้อมกับลวงให้ท่านเข้าใจผิดว่าทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมจนมิสนใจพลังชีวิตที่เหือดแห้ง”
เจ้าสำนักเฟิงอี้มองมือทั้งสองข้างอย่างไม่ทันคิด มือเรียวงามคู่นั้นที่ก่อนหน้านี้กระจ่างใสหมองลงจริงๆ นางคิดว่าเป็นเพียงผลจากอาการบาดเจ็บ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอาการของการสูญเสียพลังชีวิต
เวลานี้เสี่ยวซุ่นจื่อจึงโจมตีซ้ำอย่างหนักหน่วง “คุณชายกล่าวว่าเจ้าสำนักถือดีมาตลอด ย่อมระวังแต่ผู้อื่นจะลอบเล่นงาน คงคิดไม่ถึงว่าเวลาต่างหากคืออาวุธสำคัญที่สุดของคุณชาย ยามนี้พลังภายในของปรมาจารย์ซือเจินฟื้นกลับมาแล้วห้าส่วน ทั้งยังไม่มีอาการบาดเจ็บซ่อนเร้น ข้าเองก็มีกำลังต่อสู้ แต่พลังภายในตอนนี้ของเจ้าสำนักความจริงแล้วคือชีวิตและโลหิตของท่านเอง
ดังนั้นคุณชายจึงเชื่อมั่นว่าพวกเราจะรั้งเจ้าสำนักไว้ที่นี่ได้ เดิมทีหากปรมาจารย์ซือเจินไม่มา คุณชายคิดไว้ว่าอย่างน้อยคงต้องใช้ยอดฝีมือทั้งหมดล้อมเจ้าสำนัก แต่การมาถึงของปรมาจารย์ซือเจินกับพระชั้นสูงของเส้าหลินทำให้กำลังคนในมือคุณชายพรั่งพร้อมกว่าเดิม
ทว่าคุณชายกล่าวว่าเขาไม่เป็นวรยุทธ์คงไม่อยู่รอความตายที่นี่ เวลานี้บุคคลสำคัญทั้งหมดในพระราชวังเลี่ยกงซ่อนตัวกันหมดแล้ว มิว่าเจ้าสำนักจะร้ายกาจเท่าใดก็ไม่มีทางตามหาพวกเขาพบทันที คุณชายบอกว่าเจ้าสำนักจะเดินทางสู่ปรโลกแล้ว เขาขอไม่ส่ง”
ทันใดนั้นเจ้าสำนักเฟิงอี้พลันหัวเราะลั่น เนิ่นนานกว่าเสียงหัวเราะจะหยุดลง “ดี ดี ทั้งชีวิตข้ากรำศึกทั่วใต้หล้า สุดท้ายต้องมาจบลงด้วยแผนการของบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง ดี ให้ข้าลองดูสิว่าจะเอาชีวิตคนไปด้วยได้สักกี่คน”
ปรมาจารย์ซือเจินกับเสี่ยวซุ่นจื่อก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกัน บรรยากาศระหว่างทั้งสามคนราวกับหยุดนิ่ง สายลมสารทพัดผ่าน ใบไม้สีทองที่โปรยปรายทั่วฟ้าพัดมาหาทั้งสามคน ทว่าไม่ทันเข้าใกล้ร่างกายของทั้งสาม ก็ถูกลมปราณที่มองไม่เห็นผลักออก
เวลานี้ในหอน้อยหลังหนึ่งของพระราชวังเลี่ยกงที่มองเห็นเรือนพักหว่านชิวจากไกลๆ เจียงเจ๋อกับยงอ๋องหลี่จื้อกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองไปยังทิศทางของเรือนพักหว่านชิว ตอนนี้เอง เสียงดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแทบดับพลันดังขึ้นในเรือนพักหว่านชิว คราแรกคือเสียงพลังปราณปะทุดั่งสายฟ้า ต่อมาเป็นเสียงปราณกระบี่สะบั้นอากาศ ตามมาด้วยเสียงอาคารพังถล่ม เศษหินเศษอิฐปลิวว่อน หลังจากนั้นเสียงยิ่งแสบแก้วหูขึ้นเรื่อยๆ
แม้อยู่ไกลมาก แต่หลี่จื้อกับเจียงเจ๋อต่างทำหน้าเหยเก เสียงเหล่านั้นเมื่อดังเข้ามาในหูราวกับอสนีบาตคำราม แทบกระแทกแก้วหูทะลุ โชคดีเจียงเจ๋อเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว เขายัดปุยฝ้ายสองก้อนใส่หู หลี่จื้อก็ทำตามอย่างไม่ผิดเพี้ยน
พักหนึ่ง เงาร่างสีเทาสิบแปดร่างก็ทะยานเข้าสู่เรือนพักหว่านชิวที่กลายเป็นซากปรักหักพังเสียแล้ว อาณาบริเวณร้อยจั้งของเรือนพักหว่านชิวฝุ่นควันลอยตลบ มองไม่เห็นว่าพวกเขาต่อสู้กันอย่างไร ทว่าแม้เจียงเจ๋อกับหลี่จื้อจะยืนอยู่ไกลนักก็ยังมองเห็นแสงกระบี่ขาวสว่างประหนึ่งรุ้งสีเงิน จนในที่สุดเสียงหัวเราะก้องยาวก็ดังขึ้นกลางฝุ่นควัน เสียงหัวเราะนั่นเดิมสมควรรื่นหูชวนให้คนหวั่นไหว แต่วันนี้กลับเต็มไปด้วยโทสะและความอาลัย
หลังจากนั้นเสียง ‘ตูม’ ก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เปลวเพลิงเจิดจ้าลุกโชติช่วงกลางฝุ่นควัน ไฟร้อนแรงกองใหญ่นี้ปะทุรวดเร็วดุจสายฟ้า กินบริเวณเกือบหนึ่งจั้ง เปลวเพลิงพุ่งเป็นลำ ตรงกลางสีดำสนิท แต่ด้านนอกเป็นไฟสีขาว ส่วนขอบนอกสุดกลับเป็นสีแดงเปล่งประกายดั่งบุปผา
ในใจข้าโล่งอก เสียงหัวเราะนี่ฟังดูเป็นเสียงของสตรี ในนั้นอัดแน่นด้วยความเศร้าสลดยามบั้นปลายชีวิตของผู้กล้าและความเคียดแค้นเมื่อปณิธานสูญสลาย ดูท่าแผนการของข้าจะสำเร็จแล้ว ทันทีที่จิตใจผ่อนคลายความตึงเครียด ข้าพลันทรุดนั่งบนเก้าอี้ รู้สึกว่ามือเท้าอ่อนแรง การไล่ต้อนจนสังหารเจ้าสำนักเฟิงอี้สำเร็จน่าจะเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายที่สุดในชีวิตของข้าแล้วกระมัง