ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 76 คลื่นยังมิสงบ (1)
ข้าลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากแล้วกลับไปริมหน้าต่างมองเรือนพักหว่านชิว ผ่านไปครู่หนึ่ง เงาร่างสิบกว่าคนก็เดินเชื่องช้าออกมาจากกลุ่มควัน ข้าใช้สายตาเพ่งมองสุดความสามารถ พระจีวรเทาที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเห็นเพียงฝีเท้ากับรูปร่างก็ทราบว่าต้องเป็นปรมาจารย์ซือเจินแน่ พระที่เดินเรียงแถวด้านหลังเขา แต่ละคนก้าวเท้าดุจมังกรดั่งพยัคฆ์ ฝีเท้าทรงพลัง แม้มีเพียงสิบสองคนแต่ไม่แสดงท่าทีหดหู่แม้แต่น้อย
ทว่าพักใหญ่แล้ว ข้าก็ยังไม่เห็นเสี่ยวซุ่นจื่อ หัวใจพลันบีบรัด สองมือที่วางบนกรอบหน้าต่างกำแน่นอย่างห้ามไม่ได้ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดฝุ่นควันฟุ้งตลบก็ถูกสายลมสารทพัดกระจายสิ้น ข้าจึงมองเห็นคนชุดเขียวผู้หนึ่งยืนมือไพล่หลังอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง บนอาภรณ์สีเขียวมีคราบเลือดประปราย งดงามประหนึ่งดอกท้อ แต่งแต้มเรียงรายบนผืนผ้าหยาบ เปลวไฟกองใหญ่เบื้องหน้าเขาลุกโหมร้อนแรง ค่อยๆ ลามเลียไปติดเรือนพักที่พังถล่มกับต้นไม้ใบหญ้ารอบด้าน
ในเวลานี้เอง ทหารราชองครักษ์ที่มาช่วยดับไฟก็มาถึง ทันใดนั้น ร่างของคนชุดเขียวพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ข้ารีบขยี้ตา ปรากฏว่าร่างของเขากลับโผล่อยู่ตำแหน่งอื่นเสียแล้ว พริบตาเดียวเขาก็มาปรากฏตัวใต้หอ ข้ายังไม่ทันกะพริบตาได้สักกี่ครั้งเลย ปรมาจารย์ซือเจินกับพระวัดเส้าหลินเหล่านั้นตอนนี้ก็ยังอยู่ห่างตั้งหนึ่งลี้กว่า
ตอนนี้เอง หลี่จื้อแทบจะกระโดดโลดเต้นเดินเข้ามา เขาเอ่ยอย่างลิงโลด “สุยอวิ๋น ต้องขอบคุณท่านจริงๆ ไม่เพียงสังหารเจ้าสำนักเฟิงอี้ได้ แต่ยังหลีกเลี่ยงความเสียหายหนักหนาสาหัสได้อีก ข้าไม่รู้จะพูดคำใดจริงๆ ไม่มีคำใดจะพูดแล้ว”
ในที่สุดข้าก็วางใจสนิท แล้วหันกลับไปยิ้มแย้มเอ่ยว่า “นี่ล้วนเป็นเพราะปรมาจารย์ซือเจินกับพระชั้นสูงแห่งวัดเส้าหลินทั้งหลายสู้อย่างมิเกรงกลัวความตายจึงประหารเจ้าสำนักเฟิงอี้ได้ กระหม่อมเพียงถ่วงเวลาไว้ไม่กี่วันเท่านั้น นอกจากนี้ หากมิได้องค์ชายเชื่อใจกระหม่อม ปล่อยให้เจียงเจ๋อตัดสินใจในตำหนักเสี่ยวซวงวันนั้น แผนการของกระหม่อมก็คงมิสำเร็จ
ยามนี้เจ้าสำนักเฟิงอี้ตายแล้ว สำนักเฟิงอี้ไม่มีกำลังก่อความวุ่นวายอันใดได้อีก กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับองค์ชายที่ขจัดความกังวลประการสำคัญในพระทัยได้แล้ว องค์ชาย ขอเชิญพระองค์ไปต้อนรับประมาจารย์ซือเจินด้วยตนเองเป็นการแสดงความขอบคุณ นับจากวันนี้หากจะทำให้ยุทธภพมั่นคง องค์ชายยังต้องพึ่งพาวัดเส้าหลินอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น การรับมือพรรคมารของเป่ยฮั่นก็ยังต้องให้ยอดฝีมือเช่นปรมาจารย์ซือเจินเป็นผู้นำทัพ”
หลี่จื้อถูฝ่ามือแล้วเอ่ยด้วยความยินดีเปี่ยมล้นหัวใจ “สุยอวิ๋นวางใจเถิด ข้าจะไปต้อนรับท่านปรมาจารย์เดี๋ยวนี้ แต่สุยอวิ๋น ท่านไม่ไปพบหน้าปรมาจารย์หรือ”
ข้ายิ้มเจื่อนตอบว่า “กระหม่อมใกล้จะทนมิไหวแล้ว หากองค์ชายเห็นใจ ให้กระหม่อมพักผ่อนสักหน่อยเถิด”
ยงอ๋องมองข้าอย่างกังวล เมื่อเห็นสีหน้าข้าเหนื่อยล้าอยู่บ้างจึงเอ่ยอย่างใจกว้าง “สุยอวิ๋น ท่านต้องพักผ่อนให้ดี ต่อจากนี้ข้ายังต้องกวาดล้างพรรคพวกของสำนักเฟิงอี้ แล้วยังต้องจัดระเบียบราชสำนักใหม่ ในราชสำนัก ความสัมพันธ์พัวพันซับซ้อน คงต้องพึ่งพาสุยอวิ๋นอีกมาก!”
ข้ายิ้มละไมแต่มิตอบคำใด หลังจากนี้ยังมีงานอีกมากนัก การจัดระเบียบราชสำนักใหม่คงมิง่ายดาย องค์จักรพรรดิก็ยังอยู่ แม้สำนักเฟิงอี้สูญเสียเสาหลักไปแล้ว แต่อำนาจที่แผ่ขยายหยั่งรากซอกซอนมานานหลายปีก็มิใช่จะจัดการได้ง่าย แต่เรื่องเหล่านี้ข้าคงไม่ต้องเข้าร่วมเอง สืออวี้คงเตรียมการไว้ก่อนแล้วเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ชอบเติมลายบนผ้าไหมย่อมมีมากกว่าคนที่มอบถ่านให้กลางหิมะอยู่วันยังค่ำ
ข้ามองแผ่นหลังที่แลดูลิงโลดของยงอ๋องแล้วถอนหายใจแผ่วเบา น้ำตาไหลรินลงมา นับตั้งแต่ข้าเข้ามาต้ายง ทุกวันวนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ทุ่มเทสุดกำลัง เพียรพยายามจนรากเลือดมิใช่เพื่อวันนี้หรอกหรือ
ยามนี้การสืบราชบัลลังก์ของยงอ๋องเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว รัชทายาทเสียสิทธิ์การสืบทอดบัลลังก์แล้วยังมีโทษทัณฑ์หนักหนาของการก่อกบฏ คิดว่าไม่ตายก็คงต้องถูกจองจำทั้งชีวิต สำนักเฟิงอี้ผู้คอยเป็นผีนำทางเสือร้ายก็เสียเกียรติยศในวันวานไปแล้ว กองทัพแตกพ่ายที่เหลืออยู่ข้าก็มีแผนการไว้รับมือพวกนางแล้ว กล่าวได้ว่าความแค้นใหญ่หลวงของข้าได้รับการสะสางแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าผู้เดิมทีมิยึดติดลาภยศสรรเสริญคนนี้ยังมีประโยชน์อันใดอีก
ในเมื่อจบสิ้นบุญคุณความแค้น ข้าก็สมควรถอนตัวออกมาได้แล้ว ทว่าเมื่อข้านึกถึงองค์หญิงฉางเล่อกับโหรวหลัน ความรู้สึกอ่อนหวานก็พลันผุดพรายขึ้นในดวงใจ
เวลานี้ก็มีคนผลักประตูห้อง ข้าไม่หันกลับไปมอง คนที่เดินเข้ามาเองเช่นนี้ นอกจากเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วไม่มีผู้อื่นอีก เสียงนุ่มนวลที่ติดจะแหบพร่าอยู่บ้างของเสี่ยวซุ่นจื่อดังขึ้นด้านหลังตามคาด “คุณชาย ข้าโชคดีมิผิดต่อคำสั่ง เจ้าสำนักเฟิงอี้เร่งเร้าลมปราณจนธาตุไฟสามตำแหน่งปะทุเผาตัวตายแล้ว”
ข้าเอ่ยอย่างเรียบเฉย “อาการบาดเจ็บบนร่างเจ้าหนักหนาหรือไม่ แม้เจ้าสำนักเฟิงอี้ตายแล้ว แต่ข้ายังมีงานต้องให้เจ้าทำ”
เสี่ยวซุ่นจื่อคลี่ยิ้ม “คุณชายโปรดวางใจ อาการบาดเจ็บเท่านี้ไม่นับเป็นอันใด ปรมาจารย์ซือเจินแทบจะรับการโจมตีส่วนใหญ่ของเจ้าสำนักเฟิงอี้ไว้ ดังนั้นข้าเพียงต้องโคจรลมปราณสักพักก็ใช้ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ครานี้ข้าได้ประโยชน์จากการประมือกับเจ้าสำนักเฟิงอี้มากทีเดียว บาดเจ็บเท่านี้เทียบแล้วคุ้มค่ายิ่งนัก เรื่องที่คุณชายต้องการให้ข้าไปทำ ใช่การไล่ล่าพวกสารเลวที่เหลือของสำนักเฟิงอี้หรือไม่”
ข้าหมุนตัวกลับมาแล้วเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “วันนั้นที่ตำหนักเสี่ยวซวง แม้ข้าจะมอบยาแก้พิษให้ แต่ข้าใส่ลูกเล่นไว้เล็กน้อย ภายในหนึ่งเดือน ร่างกายของคนที่ต้องพิษเหล่านั้นจะส่งกลิ่นพิเศษชนิดหนึ่งออกมา มีเพียงวิหคป่าชนิดหนึ่งจากหนานเจียงที่ได้กลิ่น ข้าเคยให้คนฝึกฝนวิหคชนิดนี้ไว้หลายตัว ข้าต้องการให้เจ้าเคลื่อนพลค่ายลับใช้วิหคชนิดนี้สอดส่องทิศทางของคนสำนักเฟิงอี้ อย่าให้พวกนางรู้ตัว
ยามนี้เพื่อซ่อนร่องรอย พวกนางจะต้องพึ่งพาพรรคพวกลับที่ผู้คนไม่รู้ง่ายๆ เป็นแน่ ข้าต้องการรู้รายละเอียดของพรรคพวกลับๆ เหล่านี้ แต่มีเรื่องหนึ่งต้องทำให้ได้ ข้าต้องการตัวหลี่หันโยว นี่เป็นเรื่องที่ข้ารับปากต่งเชวียไว้”
เสี่ยวซุ่นจื่อมองข้าอย่างกังวลแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ถึงอย่างไรก็มิสมควรเก็บต่งเชวียไว้ข้างตัวคุณชายนานนัก มิทราบคุณชายเตรียมจะจัดการเขาอย่างไร”
ข้าถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ความแค้นในใจต่งเชวียลึกล้ำกว่าข้า แค้นสังหารบุพการีมิอาจอยู่ร่วมฟ้า หญิงรับใช้คนนั้นของพระชายารัชทายาท ยามตายก็ตั้งครรภ์อยู่ หากมิได้สายลับของยงอ๋องที่อยู่ข้างกายรัชทายาทส่งข่าวมาแจ้ง ข้ายังมิรู้เลยว่าสตรีนางนี้ถูกคนสังหาร เฮ้อ ข้าประเมินความบ้าคลั่งของหลี่หันโยวต่ำเกินไปเอง คิดไม่ถึงว่านางจะโหดร้ายกับหญิงรับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งเช่นนี้
เจ้าก็เคยเห็นต่งเชวียเซ่นไหว้ภรรยากับบุตรยามค่ำคืนมิใช่หรือ ความแค้นลึกล้ำยิ่งใหญ่เช่นนี้ มิต้องพูดถึงต่งเชวียคงมิยอมเลิกราโดยดี ข้าเองก็มิอาจปล่อยหลี่หันโยวไปได้ หากมิใช่ว่าข้าคิดไม่รอบคอบ บางทีแม่นางซิ่วชุนอาจไม่ตาย ต่งเชวียก็คงไม่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ดังนั้นข้าต้องการให้เจ้าจับตัวหลี่หันโยวมามอบแก่ต่งเชวีย แล้วจะลงโทษอย่างไรก็ตามใจเขา”
เสี่ยวซุ่นจื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หากต้องการจับตัวหลี่หันโยวแบบเป็นๆ คงทำให้คนที่เหลือของสำนักเฟิงอี้รู้ตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เกรงว่าจะทำลายการใหญ่ของคุณชาย”
ข้ายิ้มละไมเอ่ยว่า “เรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งที่ข้าเตรียมการไว้เล็กน้อยเพื่ออนาคตของยงอ๋องก็เท่านั้น สำเร็จหรือไม่ มิเป็นปัญหากับการใหญ่ ตัวหมากที่มีประโยชน์เหล่านั้นทำลายไปเสียเปล่าก็ออกจะน่าเสียดาย เรื่องนี้พวกเราทำมิได้ แต่กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วทำได้ อีกอย่าง หากอยากให้สำนักเฟิงอี้เดินมาตามทางที่ข้าวางไว้จริงๆ ต้องใช้รางวัลล่อเสียหน่อย ในใจสตรีเหล่านั้นมีเพียงผลประโยชน์ หากทำอย่างเหมาะสม ไม่เพียงไม่ต้องลงมือ ยังจะทิ้งเชือกโยงไว้ควบคุมสำนักเฟิงอี้ได้อีกด้วย”
ข้าเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อเหมือนจะเข้าใจบางอย่างแล้วจึงกระซิบบอกเขาว่าวิธีการทำเช่นไร เขาฟังพลางพยักหน้าแล้วยังเสริมความคิดขึ้นเป็นระยะ
สุดท้ายพวกเราสองคนก็หารือกันจนได้แผนการแน่นอนแล้วกลับที่พัก เมื่อกลับมาถึงตำหนักหลังน้อยแห่งนั้น ข้าก็เห็นต่งเชวียกำลังเหม่อมองท้องฟ้าไกล จึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ต่งเชวีย เจ้าร้อนใจอยากไปไล่ล่าหลี่หันโยวหรือ”
เดิมทีคิดว่าต่งเชวียจะพลั้งปากตอบยามเหม่อลอย ใครจะคิดว่าเขาได้สติกลับมาเร็วนัก แล้วตอบอย่างนอบน้อม “วันนั้นคุณชายสัญญาว่าจะล้างแค้นให้ต่งเชวีย ย่อมมิผิดคำพูด ทุกสิ่งข้าล้วนแล้วแต่คุณชาย”
ข้ามองต่งเชวียอย่างชื่นชมแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ข้าเตรียมการไว้แล้ว ภายในสิบวันนี้เจ้าจะต้องได้เห็นหลี่หันโยวแน่นอน ข้าจะพยายามมอบหลี่หันโยวแบบสมบูรณ์ไม่บาดเจ็บให้เจ้า เจ้าจะจัดการเช่นไรก็ได้ตามใจ ทว่าเมื่อเรื่องนี้จบลงแล้ว เจ้าจงไปจากฉางอัน ไม่รู้เจ้าวางแผนไว้อย่างไร หากคิดเป็นขุนนาง ข้าตระเตรียมให้เจ้าได้ ทว่าเจ้าคงอยู่ที่เมืองหลวงมิได้ชั่วคราว แต่ถ้าผ่านไปสักห้าหกปีค่อยกลับมาคงไม่เป็นปัญหาแล้ว หากไม่คิดเป็นขุนนาง ข้าจะมอบเงินแก่เจ้าก้อนหนึ่ง เพียงพอให้เจ้าเป็นเศรษฐี”
ต่งเชวียคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ผู้น้อยเดิมทีเป็นเพียงคนเสเพลคนหนึ่ง เมื่อชำระความแค้นใหญ่หลวงได้แล้วก็ไม่มีที่ไป หากคุณชายมิรังเกียจ ผู้น้อยต้องการรับใช้ข้างกายคุณชาย แม้คุณชายมีท่านหลี่อยู่ข้างกายแล้ว เรื่องรอบตัวคุณชาย ท่านหลี่คงไม่มีทางมอบให้ผู้อื่นแน่นอน แต่เรื่องจุกจิกบางอย่างด้านนอกย่อมมิอาจให้ท่านหลี่ทำ ผู้น้อยรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถยิ่งใหญ่ประการใด ทว่ายังพอเป็นหัวหน้างานจิปาถะได้ มิทราบคุณชายจะยินดีรับผู้น้อยไว้หรือไม่”