ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 80 ดั่งฝันหนึ่งตื่น (1)
ระหว่างที่ยงอ๋องวุ่นวายกับการกวาดล้างและผู้คนในนอกราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึง กลับมีกองกำลังลึกลับกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด คืนเดือนสิบ วันที่สิบสอง ณ บ้านกลางท้องนาหลังหนึ่งในชนบทห่างไกล เงาดำจำนวนหนึ่งลอบเข้ามาใกล้ตัวบ้านแล้วล้อมเอาไว้อย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นคนชุดดำที่ปิดบังหน้าตาผู้หนึ่งก็สั่งเสียงเบาหลายประโยค ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าถมึงทึงอีกคนหนึ่งพาเด็กหนุ่มสองคนเดินไปยังประตูหน้าของบ้าน แล้วเอ่ยเสียงดัง “มีแขกมาเยือนจากแดนไกล เจ้าบ้านจะไม่ออกมาต้อนรับหรือ”
ประตูบ้านเปิดออกแผ่วเบา หนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรีเดินออกมา ดูจากใบหน้าของบุรุษผู้นั้น เขาก็คือเหวยอิงผู้หายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังหนีออกจากพระราชวังเลี่ยกง แม้เขาเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าอย่างชาวนา แต่ก็ยังปิดบังสง่าราศีของเขาไม่มิด ส่วนสตรีนางนั้นสวมอาภรณ์เฉกเช่นหญิงชาวบ้านดุจเดียวกัน แต่หน้าตากลับงามสง่า กิริยางดงามไม่ธรรมดาประหนึ่งเทพธิดาบนดวงจันทร์ เหวยอิงเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “พวกท่านเป็นผู้ใด เหตุใดจึงหาที่นี่พบ”
ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พวกท่านช่างหาตัวยากเสียจริง พวกข้าตามรอยพวกท่านอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ล้อมพวกท่านไว้ที่นี่ได้”
เหวยอิงขมวดคิ้ว หลายวันมานี้พวกเขารู้สึกตัวนานแล้วว่ามีคนจับตามองอยู่ แต่พวกเขามิกล้าก่อเรื่องอย่างเปิดเผย จึงคิดสารพัดวิธีหลบเลี่ยงการจับตามองของคนลึกลับเหล่านั้น คิดไม่ถึงว่าพวกเขายังจะมาหาถึงประตูได้อีก ที่แท้เป็นผู้ใด หากเป็นคนของยงอ๋อง ก่อนหน้านี้ก็คงยกกองทหารมาจับตัวพวกเขาแล้ว ระหว่างที่ขบคิด เขาก็เอ่ยถาม “ท่านน่าจะทราบว่าที่พวกท่านตามสะกดรอยพวกข้าได้ ก็เนื่องด้วยพวกข้ามิกล้าเปิดเผยตัว แต่ที่แห่งนี้คือชนบทลับตาคน หากพวกข้าโต้กลับ พวกท่านย่อมได้ไม่คุ้มเสีย รีบบอกเจตนาออกมาเสียดีกว่า”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “แม้พวกท่านวรยุทธ์แข็งแกร่ง แต่ก็คงแกร่งสู้ธนูหน้าไม้ชั้นยอดมิได้ ตัวตนของพวกข้ามิใช่สำนักทรงเกียรติกลุ่มใด พวกข้าคือคนของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ผู้น้อยแซ่ฮั่ว ยามนี้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์กฎของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว สองคนข้างกายข้าคือลูกศิษย์คนสำคัญของหัวหน้ากลุ่มเรา คนนี้ท่านอาจเคยได้ยินเรื่องราวมาก่อน เขามีนามว่าฮั่วหลี”
เมื่อเขาพูดถึงธนูกับหน้าไม้ เหวยอิงกับสตรีนางนั้นก็ได้ยินเสียงขึ้นหน้าไม้แผ่วเบา คาดเดาจากเสียง อย่างน้อยคงมีหน้าไม้สามสิบกว่าคันล้อมด้านหน้าของบ้านอยู่ แม้หลังบ้านไม่มีเสียงหน้าไม้ดังขึ้น แต่ก็ได้ยินเสียงลมหายใจอยู่เลือนราง ดูท่าผู้ที่มาเยือนจะเตรียมการมาพร้อม แม้ฝ่ายตนเอาชนะได้ แต่ก็คงส่งเสียงดังให้คนนอกล่วงรู้ ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย
คิ้วดำเข้มของสตรีนางนั้นมุ่นเข้าหากัน นางพินิจดู ชายวัยกลางคนผู้นั้นแม้หน้าตาธรรมดาสามัญ แต่สีหน้าท่าทางกลับไม่ธรรมดา เด็กหนุ่มสองคนข้างกายเขาก็ล้วนยอดฝีมือในหมู่คน เด็กหนุ่มนามว่าฮั่วหลีผู้นั้นท่าทีสุขุม หน้าตาหล่อเหลา ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งก็รูปงาม ทว่าใบหน้ามีกลิ่นอายความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่เลือนราง
นางย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของฮั่วหลีผู้นี้มาก่อน เด็กหนุ่มคนนี้อาศัยกำลังของตนเพียงลำพังก่อคลื่นลมใหญ่โตที่ลั่วหยาง ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนฝีมือก็ดูไม่ต่างกับเขานัก กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วนี้เหมือนจะมีคนมากความสามารถเต็มไปหมด แต่นางจำได้ว่าอาจารย์เคยพูดไว้ กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วอาจมีความเกี่ยวข้องอย่างลับๆ กับยงอ๋อง ดังนั้นสตรีนางนี้จึงเอ่ยทะลุกลางปล้อง “ได้ยินมานานแล้วว่ากลุ่มของท่านทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับยงอ๋อง วันนี้มาด้วยเหตุใด รับบัญชามาจับตัวพวกข้าหรือ”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มเย็นชาแล้วตอบว่า “พวกข้ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมิกล้าพูดว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับยงอ๋อง แต่จะเรียกว่าทำสัญญาเป็นพันธมิตรก็คงมิได้ ตอนนั้นพวกข้ากับรัชทายาทร่วมมือกันลอบค้าของเถื่อน น่าเสียดายหลี่อันข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน แล้วยังสร้างปัญหาให้หัวหน้าฮั่วของพวกข้า ดังนั้นพวกข้าจึงปล่อยข่าวให้ยงอ๋อง แม้ทำให้หลี่อันถูกปลดจากตำแหน่งรัชทายาทไม่ได้ แต่ก็ทำให้ยุ่งยากเพิ่มขึ้นได้สักหน่อย
บนโลกนี้มีเพียงพรรคเรากระทำผิดต่อผู้อื่น ผู้อื่นกระทำผิดต่อพวกเรามิได้ ทว่าพวกข้าก็มิใช่บริวารของยงอ๋อง กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วของพวกข้าทำงานกับผู้ใดได้ทั้งสิ้น แต่มีเรื่องหนึ่ง พวกเราไม่มีวันลืม พวกเรากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก่อตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านต้ายง ทุกเรื่องที่ทำให้ต้ายงปวดหัวได้ พวกเราล้วนจะทำ ดังนั้นครั้งนี้สำนักท่านพลาดท่าพ่ายแพ้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับต้ายงแล้ว หัวหน้าของพวกข้าจึงส่งข้านำของขวัญมามอบให้แก่ทุกท่าน”
พูดพลางเขาก็โบกมือ เด็กหนุ่มชุดดำสีหน้าเย็นชาคนหนึ่งผลุบออกมาจากเงามืด ในมือถือกล่องหุ้มไหมงดงามใบหนึ่ง เขาส่งกล่องให้ชายวัยกลางคนผู้นั้น ชายวัยกลางคนผู้นั้นเปิดกล่องออก เหวยอิงกับสตรีนางนั้นมองเข้าไปต่างตกตะลึง ด้านในคือตั๋วเงินฟ่อนหนา ทั้งยังเป็นตั๋วเงินของร้านแลกเงินจินหลิงซึ่งใหญ่โตที่สุดในหนานฉู่
ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงราบเรียบ “ตรงนี้คือตั๋วเงินสองแสนตำลึง หัวหน้าของข้ากล่าวว่ายามนี้พวกท่านพ่ายให้ยงอ๋อง ย่อมเป็นอริกับต้ายง แต่หากอยู่ในอาณาเขตของต้ายง พวกท่านมีอำนาจมากอีกเท่าใดก็มิอาจเป็นศัตรูกับฝั่งทหารได้ ดังนั้นมีแต่ต้องหลบลี้หนีให้ไกล เป่ยฮั่นเป็นดินแดนของพรรคมาร พวกท่านไปมิได้ กระนั้นดินแดนที่ล้าหลังก็คงมิใช่เป้าหมายของพวกท่าน ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่หนานฉู่จึงจะเป็นสถานที่เหมาะสำหรับตั้งตัวใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกท่านพ่ายแพ้ยับเยิน คงจะขาดแคลนเงินทองสำหรับเดินทาง
พวกข้าทราบว่าถึงสำนักท่านมีเงินไหลเข้าวันละเป็นถัง แต่ค่าใช้จ่ายก็มากมาย ยามนี้กิจการของสำนักท่านส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ต้ายง เกรงว่าคงไม่มีหนทางครอบครองต่อได้แล้ว หัวหน้าจึงให้ข้านำตั๋วเงินเหล่านี้มามอบให้ หวังว่าพวกท่านจะได้รวบรวมกำลังตั้งทัพใหม่อีกครั้งที่หนานฉู่ หัวหน้ากล่าวว่า ขอเพียงเป็นศัตรูกับต้ายงล้วนเป็นพันธมิตรของพวกเรา เทพธิดาหลิง ท่านยินดีเป็นพันธมิตรกับพวกข้าหรือไม่”
สตรีนางนั้นก็คือหลิงอวี่ เจ้าสำนักรุ่นต่อไปที่เจ้าสำนักเฟิงอี้กำหนดไว้ นางมองตั๋วเงินแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “แม้พวกเจ้าจะพูดจาดิบดี แต่ข้ามีจุดที่ไม่เข้าใจเล็กน้อย เพื่อคนที่มีศัตรูร่วมกันกลุ่มหนึ่ง พวกเจ้าถึงขนาดยอมสละเงินสองแสนตำลึงเชียวหรือ”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าวว่า “หัวหน้าของพวกข้ามิเคยทำเรื่องขาดทุน หากพวกท่านยอมรับปากเงื่อนไขหนึ่งของพวกข้า ไม่เพียงเงินสองแสนตำลึงจะเป็นของพวกท่าน พวกข้ายังจะยกกิจการส่วนหนึ่งในหนานฉู่ให้พวกท่านอีกด้วย”
เหวยอิงกับหลิงอวี่แววตาวูบไหว เงินสองแสนตำลึงหากนั่งนอนใช้ย่อมมีวันหมด แต่กิจการรองรับรายจ่ายของสำนักเฟิงอี้ได้ ทว่าเงื่อนไขประการนี้คือเรื่องใดเล่า เหวยอิงก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “ท่านมิสู้ลองบอกกล่าวเงื่อนไขมาดูก่อน หากพวกข้ารู้สึกว่าสมเหตุสมผลก็ไม่แน่ว่าจะไม่ได้”
ชายวัยกลางคนคลี่ยิ้ม “กล่าวความจริง เมื่อสำนักเฟิงอี้พ่ายแพ้สิ้นชื่อ กิจการในที่แจ้งของพวกท่านย่อมถูกราชสำนักต้ายงริบ ทว่าพวกท่านยังมีกิจการบางส่วนในที่ลับ วันนี้พวกท่านควบคุมมิสะดวก มิสู้ยกให้กลุ่มของข้า สองฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ผู้ใดก็มิขาดทุน”
ชายวัยกลางคนเห็นหลิงอวี่กับเหวยอิงเริ่มหวั่นไหวก็หยิบกล่องหุ้มไหมอีกใบหนึ่งออกมาเปิด ด้านในคือหนังสือสัญญาจำนวนหนึ่ง เขากล่าวต่อว่า “ในนี้คือหนังสือสัญญากิจการสิบสี่แห่งในหนานฉู่ มูลค่าทั้งหมดสี่แสนตำลึง หากพวกท่านยินยอมนำกิจการที่มีค่าทัดเทียมกันมาแลก ถ้าเช่นนั้นสัญญาพันธมิตรระหว่างพวกเราก็เป็นอันสำเร็จ
พวกข้ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเคลื่อนไหวในหนานฉู่ลำบาก เพราะในอดีตยามท่านหัวหน้าอายุน้อยเลือดลมพลุ่งพล่านก่อเภทภัยที่หนานฉู่ไว้มากเกินไป ทว่าหากคิดคว่ำต้ายง หนานฉู่เป็นกำลังที่มิอาจมองข้าม ขอเพียงพวกท่านช่วยให้หนานฉู่แข็งแกร่งขึ้นในเร็ววัน ถึงเวลาไม่เพียงพวกท่านจะได้ชำระแค้น พวกเราก็จะสมปรารถนาด้วย”
หลิงอวี่กับเหวยอิงสองคนสบตากัน เหวยอิงก้าวเข้าไปรับกล่องใบที่สองมา หลังจากตรวจสอบสัญญาในนั้นแล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อยให้หลิงอวี่ หลิงอวี่เผยสีหน้ายินดีวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีกิจการในที่ลับอยู่บ้างจริงๆ แม้มีค่าไม่ถึงสี่แสนตำลึงแต่ก็มีค่าสามแสนตำลึง ทว่าหากเป็นเช่นนี้ พวกท่านคงจะขาดทุนอยู่มาก ข้าไม่เชื่อว่าพวกท่านจะยอมขาดทุน หากต้องการสิ่งอื่นใด มิสู้กล่าวออกมา ขอเพียงไม่เกินไปนัก พวกเราล้วนเจรจากันได้”
ชายวัยกลางคนดวงตาวาววับ เอ่ยว่า “ความจริงพวกข้าก็จนปัญญาอยู่เหมือนกัน กิจการในหนานฉู่เหล่านั้นแม้ไม่เลว แต่ยามนี้ที่หนานฉู่ขอเพียงข้องเกี่ยวกับคำว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว นั่นหมายถึงเภทภัยถึงขั้นสิ้นตระกูล ดังนั้นกิจการเหล่านี้แม้รุ่งเรืองแ ต่สำหรับพวกข้าแล้วช่วยอันใดมิได้มาก ตรงกันข้ามหากเป็นที่ต้ายง เพราะราชสำนักต้ายงมิได้จงเกลียดจงชังกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วของพวกข้า ดังนั้นพวกข้าจึงมีหนทางในอนาคตมากกว่า แลกเปลี่ยนเช่นนี้ พวกข้าก็ไม่มีสิ่งใดขาดทุนมากนัก
แต่หากท่านเทพธิดากับใต้เท้าเหวยยินดี ความจริงแล้วพวกข้ามีความต้องการเล็กๆ เรื่องหนึ่ง นี่เป็นความต้องการส่วนตัวของลูกน้องคนหนึ่งของหัวหน้ากลุ่ม เขาต้องการ…” พูดถึงท้ายประโยค ชายวัยกลางคนก็ลดเสียงลง มีเพียงเหวยอิงผู้อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือที่ได้ยิน
เหวยอิงขมวดคิ้ว แล้วเดินกลับไปข้างกายหลิงอวี่พลางกระซิบบอกหนึ่งประโยค หลิงอวี่จะเอ่ยปฏิเสธทันที แต่เหวยอิงกลับกระซิบอีกหลายประโยค หลิงอวี่ก็มีสีหน้าลังเล ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปเงียบๆ เหวยอิงยิ้มละไม พลางถามชายวัยกลางคนว่า “ความต้องการข้อนี้ดูประหลาดอยู่เล็กน้อย นางคนเดียว มีค่าถึงสามแสนตำลึงหรือ”