ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 82 ดั่งฝันหนึ่งตื่น (3)
เมื่อหลี่หันโยวถูกน้ำเย็นสาดจนได้สติ นางก็คิดจะคว้ากระบี่คู่กายที่อยู่ข้างตัวโดยสัญชาตญาณทันที ทว่ากลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า นางลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องตื่นตระหนกเมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ เบื้องหน้ามีคนชุดดำผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังหันหลังให้ตนเองอยู่ เด็กหนุ่มสองคนข้างกายเขากำลังมองตน คนหนึ่งในนั้นถืออ่างเปล่าใบหนึ่งอยู่ในมือ เห็นชัดว่าเขาเป็นผู้สาดน้ำปลุกนาง
หลี่หันโยวพยายามนึกทวนความทรงจำ ก็จำได้เพียงว่าก่อนนางหลับได้ดื่มยารักษาอาการบาดเจ็บที่จี้เสียยื่นให้ด้วยตนเอง หลังจากนั้นก็ไม่รับรู้เรื่องราวใดอีก เพลิงโทสะลุกโชติช่วง นางเอ่ยอย่างเย็นชา “พวกนางขายข้าหรือ”
คนชุดดำผู้นั้นตอบอย่างเฉยชา “ใช่แล้ว พวกเราใช้ตั๋วเงินสองแสนตำลึงกับกิจการสี่แสนตำลึงแลกเปลี่ยนกับสำนักเจ้า สำนักเจ้าจึงมอบกิจการมูลค่าสามแสนตำลึงกับเจ้ามาเป็นสิ่งแปลกเปลี่ยน”
หัวใจของหลี่หันโหยวเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง หลายวันมานี้จิตใจของนางใกล้พังทลาย การหลบหนีทั้งวันทั้งคืน ซ้ำด้วยบาดแผลบนใบหน้าและความสะเทือนใจจากการสูญเสียอำนาจ ทำให้นางทุกข์ทรมานยิ่งนัก วันนี้สำนักเฟิงอี้ทอดทิ้งนางอีก นางยิ่งหมดกำลังใจ แม้ความแค้นที่ถูกทรยศหักหลังจะยังแผดเผาอยู่ในดวงใจ แต่นางกลับไม่มีความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว นางเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “ดี ดี พวกเจ้าสังหารข้าเสียเถอะ ถึงอย่างไรข้าหลี่หันโยวก็ไม่มีทางรอดอันใดเหลืออยู่แล้ว”
คนชุดดำผู้นั้นหมุนตัวกลับมาแล้วยิ้มน้อยๆ “ไม่ ข้าจะไม่สังหารเจ้า ทำเช่นนั้นเมตตาเจ้าเกินไป”
หลี่หันโยวได้ยินเสียงกรีดร้องหวาดผวาแสบแก้วหู นางจึงตั้งใจจะอุดหูอย่างไม่ทันคิด แต่ต่อมานางก็พบว่าผู้ที่กรีดร้องเสียงแหลมคนนี้คือตนเอง นางนิ้วสั่นชี้คนชุดดำผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “เซี่ยจินอี้ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้ายังไม่ตายได้อย่างไร”
ต่งเชวียยิ้มละไม เขาจงใจลบการแปลงโฉมออก แล้วยังจงใจแต่งตัวเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นหลี่หันโยวเห็นครั้งเดียวจะจำเขาได้ทันทีก็ไม่แปลกสักนิด เขาอ้าปากเอ่ยตอบ “ไม่ผิด ข้าสมควรตายไปนานแล้ว แต่ข้าไม่ยินยอม ดังนั้นจึงกลับมาจากปรโลก เฉียวชุ่ยอวิ๋น ในอดีตเจ้าทำให้บิดามารดาของข้าตาย แล้วยังสังหารซิ่วชุนกับลูกที่ยังไม่เกิดของข้า เคยคิดหรือไม่ว่าจะมีวันนี้”
หลี่หันโยวกระถดตัวถอยหลังอย่างเชื่องช้า ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฐานะเชื้อพระวงศ์ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ยังใช้วางท่าได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษผู้นี้กลับไม่มีค่าสักอีแปะ นางเถียงข้างๆ คูๆ ด้วยสัญชาตญาณ “ข้าไม่ใช่เฉียวชุ่ยอวิ๋น ข้าคือหลี่หันโยว บุตรีแห่งจิ้งเจียงอ๋อง ข้า…”
ต่งเชวียเริ่มหัวเราะลั่น เสียงหัวเราะอัดแน่นด้วยความเย้ยหยันและเคียดแค้น พักใหญ่เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่สังหารเจ้า ทำเช่นนั้นเจ้าจะสบายเกินไป ไก่ป่าอยากสวมรอยเป็นหงส์ฟ้า ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีงามเช่นนั้นหรอก เฉียวชุ่ยอวิ๋น เจ้าโง่เขลาเกินไปแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร”
หลี่หันโยวหัวใจหนาววูบ หากคนผู้นี้ต้องการสังหารตน นางกลับไม่กลัว แต่เมื่อเขาบอกว่าจะไม่สังหารตน ความเหน็บหนาวกลับผุดพรายขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของหลี่หันโยว นางย่อมรู้ว่าสำหรับสตรีนางหนึ่ง เรื่องที่ขมขื่นที่สุดคือสิ่งใด นางเงื้อฝ่ามือตบลงกลางกระหม่อมของตนหมายจะปลิดชีพตนเองทันใด ทว่าผู้ใดจะคิดว่าฝ่ามือที่ยกขึ้นมากลับร่วงตกไร้เรี่ยวแรง นางหวาดหวั่นเมื่อพบว่าพลังภายในของตนหายไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากนั้นหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะของต่งเชวีย
ต่งเชวียเอ่ยอย่างเนิบช้า “เฉียวชุ่ยอวิ๋น เจ้าวางใจเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่ยามนี้เจ้าเสียโฉมแล้ว ต่อให้ข้าอยากขายเจ้าให้หอนางโลม น่ากลัวว่าคงไม่มีผู้ใดยินดีซื้อเจ้า แต่เจ้ารู้หรือไม่ มีบางครอบครัวที่อาศัยอยู่ในป่าเขา เพราะสตรีด้านนอกไม่ยินดีแต่งงานเข้าไปอยู่ในป่าเขา ดังนั้นบ่อยครั้งที่อายุสามสิบสี่สิบปีแล้วก็ยังไม่มีภรรยา แม้เจ้าจะเสียโฉม แต่ร่างกายของเจ้ายังเพียงพอให้พวกเขาพึงพอใจ
ข้าเลือกครอบครัวหนึ่งไว้ให้เจ้าแล้ว พวกเขาเป็นพี่น้องคู่หนึ่ง อายุใกล้จะสี่สิบปี แต่ยังหาภรรยามาตบแต่งด้วยไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงยินดีใช้เงินทองที่เก็บหอมรอมริบมาหลายปีซื้อสตรีนางหนึ่งมาเป็นภรรยาของพวกเขา ขอเพียงให้กำเนิดบุตรเลี้ยงดูลูกได้ พวกเขาก็พอใจแล้ว
ข้าส่งคนไปบอกพวกเขาแล้วว่าในมือข้ามีสตรีอยู่นางหนึ่ง เพราะไม่รักษาคุณธรรมของภรรยาจึงถูกครอบครัวสามีหย่าขาดแล้วยังถูกทำลายโฉมหน้า แต่รูปร่างของนางชวนให้คนหวั่นไหวยิ่งนัก อีกทั้งร่างกายยังแข็งแรง ต่อให้คลอดบุตรสิบคนแปดคนก็ไม่มีปัญหา ข้าต้องการขายราคาย่อมเยาให้พวกเขา พวกเขาก็แสดงท่าทีว่ายินดีที่จะรับเจ้าไว้อย่างยิ่ง”
สีหน้าหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่หันโยว ต่งเชวียเอ่ยต่อ “แต่เพื่อรับประกันความปลอดภัยของชีวิตพวกเขา ข้าจึงให้เจ้าแต่งงานกับพวกเขาในสภาพสมบูรณ์ไม่ได้ ข้าทำลายวรยุทธ์ของเจ้าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมมิอาจขัดขืนพวกเขาได้ หลังจากพลังภายในสลายไป เจ้าจะตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรได้อย่างราบรื่น
แต่เจ้ารู้มากเกินไป หากคิดจะสังหารนายพรานสองคนคงง่ายดั่งยกฝ่ามือ ดังนั้นข้าจะใช้เข็มทองตัดเส้นเอ็นมือเท้าของเจ้าสักห้าส่วน แม้เจ้าจะยังพอเดินได้ และยังพอหยิบถือสิ่งของเบาๆ ได้ แต่ข้าจะบอกพวกเขาว่าเจ้าเคยพยายามสังหารสามี ดังนั้นพวกเขาจะระวังเจ้าอย่างเป็นอย่างดี เจ้าจะไม่มีโอกาสสังหารสามีได้อีกแน่
ทว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าเรียนรู้สิ่งต่างๆ มามากมาย หากสอนให้แก่บุตรธิดาของเจ้าคงมีเภทภัยตามมาไม่หมดสิ้น ดังนั้นข้าจะทำลายจุดใบ้ของเจ้า เจ้าจะพูดไม่ได้ บนเขาที่ไม่มีใครรู้หนังสือสักคน เจ้ายังจะมีวิธีการใดสั่งสอนพวกเขาเล่า ถึงอย่างไรพี่น้องคู่นั้นก็ต้องการเพียงสตรีสักคนเท่านั้น พวกเขาคงไม่ถือสาว่าเจ้าจะหน้าตาอัปลักษณ์หรือพิการ ยิ่งไปกว่านั้นพูดจากใจจริงสักประโยค ร่างกายของเจ้าก็เพียงพอให้พวกเขาเสพสุขแล้ว”
หลี่หันโยวเริ่มสติแตก นางคล้ายกำลังมองเห็นเปลวไฟนรก นางร้องตะโกนพลางถดกายถอยหลัง คิดจะหลบเลี่ยงต่งเชวีย แต่ต่งเชวียมิสนใจนาง กลับกันยังเอ่ยต่อว่า “ข้าไม่ห่วงว่าเจ้าจะเป็นบ้า เพราะสตรีอดทนเก่งอยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง พี่น้องคู่นั้นก็คงไม่ทารุณเจ้า เพราะสำหรับพวกเขา เจ้าเป็นสมบัติที่สมควรถนอม แม้พวกเขาแข็งแรงกำยำคงมีความต้องการมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ร่างกายที่ฝึกวรยุทธ์มาของเจ้าต้องรับไหวแน่นอน เอาละ พวกเขาคงรอจนร้อนใจแล้ว ข้าจะลงมือเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่ต้องกลัว”
ต่งเชวียก้าวเข้ามากดเรือนร่างอรชรของหลี่หันโยวไว้ เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของนางแล้วเอ่ยว่า “ยามเจ้าทนทุกข์อยู่กลางป่าเขา ก็ลองหวนนึกถึงเกียรติยศความมั่งคั่งในอดีตดู แม้ว่าสำหรับเจ้าแล้วมันจะเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่นก็ตาม หลังตื่นจากฝัน เจ้ามิใช่ท่านหญิงเชื้อพระวงศ์อันใด ยิ่งมิใช่องค์หญิงพระองค์ใด ไม่ใช่แม้แต่จอมยุทธ์หญิงจากสำนักโด่งดังคนใด น่าเสียดาย สุดท้ายความฝันก็เป็นเพียงความฝัน เมื่อฝันมลายหาย เจ้าก็เป็นเพียงเฉียวชุ่ยอวิ๋น แต่ไม่มีพ่อแม่สามีกับสามีที่ทะนุถนอมเจ้าอีกแล้วก็เท่านั้น”
หลี่หันโยว ไม่สิ เฉียวชุ่ยอวิ๋นขบฟันขาวหมายจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย แต่ต่งเชวียสกัดจุดนางเอาไว้แล้ว เขาเอ่ยเสียงเบา “เจ้าคิดจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก เดิมทีข้าอยากจะเลาะฟันเจ้าทิ้ง แต่นั่นก็ออกจะน่าเกลียดเกินไปหน่อย ดังนั้นข้าจึงตั้งใจร่ำเรียนวิชาจี้จุดอย่างหนึ่งมา มันทำให้กล้ามเนื้อแก้มสองข้างของเจ้ามิอาจใช้แรงมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้เจ้าอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายก็ไม่มีทางสมหวัง อย่างมากที่สุดก็เพียงเลือดไหลออกมาเล็กน้อยเท่านั้น
ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความกล้าลองหลายครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น สามีสองคนของเจ้าจะมีคนหนึ่งอยู่ข้างเจ้าตลอด เจ้าอย่าหมายว่าจะฆ่าตัวตายสำเร็จ แล้วยิ่งหากเจ้าตั้งใจจะตายอย่างแน่วแน่เกินไป บางทีพวกเขาอาจไม่อยากสูญเสียทรัพย์สินล้ำค่าเช่นนี้จนทำสิ่งที่แม้แต่ข้าก็คิดไม่ถึงก็เป็นได้ อาจจะอุดปากเจ้าแล้วมัดเอาไว้ หรือไม่ก็อย่างอื่น”
หลี่หันโยวทนรับไม่ไหวอีกต่อไป ศีรษะเอียงพับหมดสติ ครั้งนี้ต่งเชวียไม่บังคับให้นางฟื้นขึ้นมาอีก เพราะเขารู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าหลี่หันโยวจะเป็นบ้าเสียก่อน แต่หากปล่อยนางหมดสติไป เมื่อนางฟื้นขึ้นมาย่อมไม่มีทางเป็นบ้าเพราะเรื่องนี้แล้ว นี่คือกลวิธีปกป้องตัวเองของมนุษย์ เขามองหลี่หันโยวที่หมดสติอยู่ เปลวเพลิงแผดเผาลุกโชติช่วงในดวงตา แล้วเอ่ยว่า “เฉียวชุ่ยอวิ๋น เมื่อเจ้าฟื้นขึ้นมาอีกครั้งน่าจะอยู่บนเขาแล้ว วรยุทธ์ที่เคยฝึกฝนกับจิตใจอันแข็งแกร่งของเจ้า จะทำให้เจ้าไม่เสียสติง่ายๆ ทนรับกรรมของเจ้าทั้งที่สติแจ่มชัด ยังจะมีการลงโทษใดเหมาะสมกว่านี้อีกเล่า”
เด็กหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างสบตากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยแววตาหวาดผวา พวกเขาต่างรับรู้ความแค้นที่เห็นชัดเจนระหว่างต่งเชวียกับหลี่หันโยว แต่วิธีชำระแค้นเช่นนี้ของต่งเชวียก็ยังทำให้พวกเขาหวาดกลัวอยู่ในใจ แต่พวกเขาย่อมไม่ขัดขวาง หลี่หันโยวเคยลอบสังหารคุณชาย เรื่องนี้พวกเขาทราบมานานแล้ว เมื่อคิดถึงสภาพร่อแร่ของคุณชาย มิว่าหลี่หันโยวจะพานพบโทษทัณฑ์อย่างไร พวกเขาล้วนไม่มีทางใจอ่อน
เมื่อต่งเชวียเดินออกจากห้องลับก็เห็นเฉินเจิ่นกำลังรอตนอยู่ ต่งเชวียก้าวเข้าไปคำนับแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระคุณหัวหน้าเฉินที่ช่วยเหลือ ต่งเชวียซาบซึ้งยิ่งนัก”
เฉินเจิ่นยิ้มละไมพลางยื่นกระดาษสาแผ่นหนึ่งให้เขา เอ่ยว่า “บนนี้คือรายชื่อพรรคพวกลับๆ ที่พวกเราสืบมาได้จากการติดตามร่องรอยของสำนักเฟิงอี้ สิ่งนี้เป็นข่าวที่คุณชายต้องการ รบกวนท่านนำไปส่งด้วย แล้วโปรดรายงานคุณชายว่าทุกสิ่งเตรียมการพร้อมแล้ว ขอเพียงคุณชายสั่งลงมาก็ดำเนินการได้”
ต่งเชวียรับกระดาษแผ่นนั้นมาแล้วตอบว่า “หลังกลับไปข้าจะรายงานคุณชายทันที หัวหน้าเฉินวางใจได้ กิจการลับของสำนักเฟิงอี้เหล่านั้น โปรดบอกต่อกับหัวหน้าหานให้เขารีบรับช่วงต่อสักหน่อย มิให้ครั้งนี้หอกลไกสวรรค์ขาดทุนมากนัก”
เฉินเจิ่นคลี่ยิ้ม “พี่หานไปจัดการก่อนแล้ว เขาน่ะใจร้อนนักล่ะ” ทั้งสองสบตากันแล้วคลี่ยิ้ม ประสานมือคำนับบอกลา