ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - [ภาค 3] ตอนที่ 1 คลื่นใต้น้ำถาโถม (1)
ต้ายง ปีอี่ไฮ่[1] รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้า หลังจากเกิดเรื่องที่กรมคลัง ราชสำนักก็เงียบสงัด สงบประหนึ่งก่อนพายุมาเยือน ไท่จงอ้างว่าป่วยไข้ลาราชการ ทั้งวันมิก้าวออกจากจวน
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง
หนานฉู่ ปีอี่ไฮ่ รัชศกถงไท่ปีที่สอง อาการป่วยของเจียงเจ๋อค่อยๆ หายดี ยามนี้แม้ราชสำนักสงบ ทว่าศึกแย่งชิงตำแหน่งเตรียมพร้อมปะทุ เจียงเจ๋อวางแผนการให้ยงอ๋องอดกลั้นเอาไว้เป็นสำคัญ
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
ทิวทัศน์ยามวสันต์ดูอบอุ่น สายลมโชยพัดเอื่อยเฉื่อย ในสวนเหมันต์ต้นไม้สีเขียวผลิยอดแล้ว เรื่องวุ่นวายของกรมคลังเมื่อปีกลาย หลังจากเจ้ากรมเหลียงจิ่นเฉียนดื่มสุราพิษตายกะทันหัน สถานการณ์ก็สงบลงอย่างประหลาดในทันใด จักรพรรดิต้ายงหลี่หยวนออกราชโองการติดกัน ขุนนางน้อยใหญ่ในกรมคลังคนที่ถูกปลดก็ปลด คนที่ถูกลดขั้นก็ลดขั้น คนที่ถูกโบยก็โบย หลังจากชำระสะสางกรมคลัง เจ้ากรมคลังคนใหม่ที่มารับตำแหน่งก็คือหันเต๋อแห่งซานหยวน เขาเป็นขุนนางในกรมคลังมานานปี แต่ทั้งไม่ได้สอบขุนนางเข้ามา ทั้งไม่มีเบื้องหลัง หลายปีนี้ตำแหน่งหน้าที่จึงไม่เป็นดั่งหวังมาตลอด เมื่อกรมคลังถูกตรวจสอบครั้งนี้ มีเพียงบัญชีการเงินของเขาที่โปร่งใสที่สุด ดังนั้นหลี่หยวนจึงให้เขาเลื่อนตำแหน่งข้ามขั้น หันเต๋อผู้นี้ไม่เอนเอียงฝ่ายใด ในใจมีเพียงองค์จักรพรรดิ รัชทายาทก็มิกล้าไม่ให้เกียรติเขา แม้รัชทายาทวางคนไม่น้อยเข้าไปอีกครั้งแล้ว แต่เขาก็บงการกรมคลังดุจแขนขาเช่นก่อนหน้านี้ไม่ได้
เดือนห้าปีกลาย ข่าวศิษย์พรรคมารปรากฏตัวที่เสียนหยางทำให้ใต้หล้าตื่นตระหนก สุดท้ายโจรราคะผู้นั้นก็ถูกสำนักเฟิงอี้จับได้ คนผู้นั้นบอกว่าตนไม่พอใจที่ถูกประมุขพรรคขับไล่ในอดีตจึงมาก่อความวุ่นวายที่จงหยวน หลังจากสำนักเฟิงอี้สังหารคนผู้นี้ก็ส่งคนของตนนำเถ้ากระดูกไปยังเป่ยฮั่น ประมุขพรรคมารจิงอู๋จี๋เฉยเมยยิ่งนัก ทั้งไม่ตอบโต้และไม่ขออภัย เรื่องนี้ก็จบลงอย่างคลุมเครือเช่นนี้
หลังจากนั้นสถานการณ์ในราชสำนักของต้ายงจู่ๆ ก็สงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกวันรัชทายาทเพียงจัดการงานราชการตามระเบียบ ส่วนยงอ๋อง นอกจากงานของกองทัพที่ไม่ยอมวางมือ ยามปกติก็เพียงหมกมุ่นอยู่กับการอ่านตำราในจวนอ๋อง ไม่ติดต่อผูกมิตรกับขุนนาง และไม่รวบรวมคนมีความสามารถ ความเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวคือมักจะส่งบัณฑิตสอบตกหรือบัณฑิตยากไร้จำนวนหนึ่งไปรับตำแหน่งขุนนางที่โยวโจว หลี่หยวนพระราชทานอนุญาตให้โยวโจวเลือกขุนนางเอง ดังนั้นจึงไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว คนเหล่านี้มิได้เก่งกาจโด่งดังทั่วหล้าอันใด ฝั่งรัชทายาทจึงไม่อยากหาเรื่องเพราะเหตุนี้ สองฝั่งล้วนเก็บงำซ่อนเร้น ดังนั้นสถานการณ์ของต้ายงจึงสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ผู้มีความคิดทุกคนล้วนรู้ว่านี่เป็นเพียงความอึดอัดก่อนพายุมาเยือนเท่านั้น เพราะรัชทายาทกับยงอ๋องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ตายไม่เลิกราต่อกันแล้ว
ยามนี้ไม่ว่าด้านนอกจะมีลมพายุโหมเช่นไร ภายในสวนเหมันต์กำลังมีภาพอันแปลกประหลาดปรากฏอยู่ ในศาลารับลม ยงอ๋องกำลังมองกระดานหมากอย่างผ่อนคลาย เสี่ยวซุ่นจื่อนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กำลังวางเม็ดหมากด้วยสีหน้านิ่งสงบ จากนั้นส่งสัญญาณให้ยงอ๋องว่าถึงตาเขาแล้ว นอกศาลา บัณฑิตอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งกำลังหมอบอยู่บนผืนหญ้า แขนขาวางบนพื้นทำตัวเป็นเก้าอี้ เด็กหญิงตัวน้อยที่สวมอาภรณ์สีแดงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนร่างของเขาแล้วร้องเจี๊ยวจ๊าวเสียงใส “ย่ะ ย่ะ ท่านพ่อวิ่งเร็วๆ”
เมื่อได้สงบจิตใจรักษาตัวมาหนึ่งปี ข้าจึงหายดีแล้ว แม้ยังคงเป็นบัณฑิตอ่อนแอร่างผอมบาง แต่ใบหน้าก็อิ่มเอิบ ไม่ได้ซีดเผือดเหมือนจะขาดใจอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้นแล้ว ถึงกระนั้นการเป็น “ม้า” เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก็ทำให้หอบแฮกเหมือนกัน ข้าจึงได้แต่ร้องขอความเมตตา “หลันหลัน พ่อไม่ไหวแล้ว เจ้าคงไม่อยากให้พ่อเหนื่อยตายแล้วไม่มีคนอ่านจดหมายจากพี่จวิ้นของเจ้ากระมัง”
ดวงตาดำขลับของโหรวหลันกลอกไปมาอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายนางก็พยักหน้าแล้วไถลลงไปจากร่างของข้า น้ำเสียงอ้อแอ้เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากไปหาองค์หญิง”
ข้าขยับยิ้ม “วันนี้ไม่ได้ อีกสักสองสามวัน หากพระชายาไปพบองค์หญิง ข้าจะขอให้นางพาเจ้าไปด้วย ดีหรือไม่”
โหรวหลันเบ้ปากน้อยๆ ของนางแล้วตอบว่า “องค์หญิงบอกเองว่าให้หลันหลันไปหานางบ่อยๆ”
ข้ายิ้มเจื่อน นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราตัดสินใจเองได้เสียหน่อย นับตั้งแต่องค์หญิงไปบำเพ็ญตนที่วัดอู๋เฉิน การแต่งงานระหว่างนางกับเหวยอิงก็ถูกเลื่อนออกไป จักรพรรดิมิได้ยกเลิกพระราชทานสมรสแต่ก็ไม่ได้บีบบังคับให้องค์หญิงแต่งงาน ลำบากก็แต่เหวยอิง จะตบแต่งภรรยาก็มิกล้า จะร้องขอการอภิเษกสมรสก็มิกล้า ข่าวลือระหว่างข้ากับองค์หญิงเล่ากันอยู่สองสามวัน ทว่าถึงอย่างไรข้ากับองค์หญิงก็ไม่พบหน้ากัน ดังนั้นเมื่อยงอ๋องปรามและไม่มีรัชทายาทช่วยกระพือ ข่าวลือจึงสลายหายไปดั่งหมอกควันอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดต้องการบีบคั้นองค์หญิงฉางเล่อผู้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ในวัง ยิ่งไปกว่านั้นไม่อยากทำให้หลี่หยวนเกิดโทสะ ดังนั้นข่าวลือเหล่านี้จึงถูกคนลืมเลือนอย่างว่องไว
ความจริงแล้วข้าคิดว่าจักรพรรดิต้ายงก็คงเคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่ข้ากับฉางเล่อทั้งไม่มีความสัมพันธ์ลับๆ ต่อกันแล้วยังไม่ได้พบหน้ากันอีก เขาย่อมไม่อาจลงโทษข้าเพราะฉางเล่ออาจมีใจให้ข้ากระมัง ด้วยเหตุนี้หนึ่งปีที่ผ่านมาข้าจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์พูนสุข ทว่าข้ามักจะนึกถึงองค์หญิงฉางเล่อเสมอ มักจะหวนนึกถึงแต่ละฉากแต่ละตอนของการพบหน้าที่เกิดขึ้นเพียงสองครั้ง
ต่อมาพระชายาของยงอ๋องมักจะไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงและมักจะพาโหรวหลันไปด้วย เรื่องนี้กลับไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาประการใด ใครมิรู้บ้างว่าพระชายาของยงอ๋องมองโหรวหลันเสมือนบุตรของตน ผู้ใดมิรู้บ้างว่าซื่อจื่อหลี่จวิ้นที่โยวโจวต้องส่งคนส่งสารเข้าเมืองหลวงมารายงานสถานการณ์กับยงอ๋องทุกเดือนทว่าทุกครั้งที่คนส่งสารมาเป็นต้องนำของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิงกับจดหมายฉบับหนึ่งมาด้วย ด้วยเหตุนี้การที่โหรวหลันจะปรากฏตัวที่พระราชวังของต้ายงจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว
องค์หญิงฉางเล่อชอบโหรวหลัน ทุกคนคิดว่าเป็นเพราะนางไร้บุตรธิดาจึงชมชอบเด็กหญิงตัวน้อยก็เท่านั้น แม้มีบางคนคิดว่าอาจเป็นเพราะ ‘รักบ้านจึงรักนก’ แต่ผู้ใดจะกล้ายกข้อสันนิษฐานเลื่อนลอยพรรค์นี้ขึ้นมาโพนทะนา ยิ่งไปกว่านั้น ในหนึ่งปีองค์หญิงฉางเล่อก็ยอมอยู่วังเสียครึ่งปีเพื่อพบโหรวหลัน การที่พระชายายงอ๋องเข้าวังเยี่ยมเยียนฮองเฮากับกุ้ยเฟยเป็นเรื่องปกติธรรมดา หากนางไปพบองค์หญิงที่วัดอู๋เฉินบ่อยๆ นั่นถึงจะทำให้ผู้คนกังวลว่าองค์หญิงใกล้ชิดกับยงอ๋องมากเกินไปหรือไม่ ด้วยเหตุนี้แม้แต่จ่างซุนกุ้ยเฟยก็เอ็นดูโหรวหลันอย่างยิ่ง บางครั้งยังรั้งตัวโหรวหลันไว้ในวังหลายวัน โหรวหลันเองก็เคยพบจักรพรรดิต้ายงหลี่หยวน หลี่หยวนชมชอบสาวน้อยผู้เฉลียวฉลาดและซุกซนคนนี้ยิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าปากมากอีก
แม้หนึ่งปีนี้ข้าจะมิได้พบหน้าองค์หญิงเลย และไม่เคยแม้แต่จะคิดหาวิธีถามนางว่ามีใจให้ข้าจริงหรือไม่ แต่ข้ามักจะอดฝากบทกวีที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ให้พระชายายงอ๋องส่งให้นางเสมอไม่ได้ นางก็มิได้ตอบกลับมา เพียงประทานของจำพวกหยกห้อยหรือยันต์กันภัยจำนวนหนึ่งให้โหรวหลันบ่อยครั้ง ได้ยินพระชายายงอ๋องเล่าว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาองค์หญิงสีหน้าดีขึ้นมาก ไม่เพียงสรวลบ่อยครั้ง ยามอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิต้ายงกับจ่างซุนกุ้ยเฟยก็สีหน้าแจ่มใส ทั้งสองพระองค์เห็นนางเป็นเช่นนี้จึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องบีบให้นางรีบร้อนแต่งงานให้นางหดหู่เศร้าหมอง
หากจะให้บอกว่ามีสิ่งใดทำให้นางไม่ชอบใจก็คงจะเป็นการตามตื๊อของเหวยอิงกระมัง กล่าวไปแล้วเหวยอิงก็จริงใจต่อองค์หญิง แม้เขาผิดหวังเพราะองค์หญิงปฏิเสธการแต่งงาน แต่ทุกวันก็หมั่นส่งของขวัญเล็กน้อย หรือตำราหายาก บ้างก็พู่กันหมึกชั้นดีไปเอาใจคนงาม ความหมั่นเพียรเอาใจดั่งสายน้ำน้อยทอดยาวเช่นนี้ทำให้องค์จักรพรรดิกับจ่างซุนกุ้ยเฟยประทับใจและสนับสนุนอย่างยิ่ง แม้องค์หญิงฉางเล่อมิหวั่นไหว แต่เหวยอิงรักษามารยาท มิเคยบีบคั้นบังคับคน มักจะวางตัวเหมาะสมไม่มีที่ติเสมอ องค์หญิงเป็นผู้มีนิสัยอ่อนโยนไม่ต้องการใช้ถ้อยคำเลวร้ายปฏิเสธ จึงทำได้เพียงวางตัวเย็นชาเหินห่างเท่านั้น
ทว่าการแต่งงานของเหวยอิงกับองค์หญิงเป็นสิ่งที่จักรพรรดิกับจ่างซุนกุ้ยเฟยล้วนปรารถนาให้เกิด ดังนั้นองค์หญิงฉางเล่อจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะ ‘บังเอิญพบ’ เหวยอิงบ่อยครั้ง ช่วงก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าในเมื่อเหวยอิงมุ่งมั่นไล่ตามขอความรักเช่นนี้ มิสู้ข้าทำตัวเย็นชาขึ้นหน่อย หากองค์หญิงมีคู่ครองที่ดี ข้าก็จะได้วางความรู้สึกในใจลงบ้าง ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ให้โหรวหลันเข้าวังเสียหนึ่งเดือนกว่า ใครจะคิดว่าพระชายายงอ๋องกลับมาบอกข้าอย่างรวดเร็วว่าระยะนี้องค์หญิงอารมณ์ไม่ดี กลับไปค้างที่วัดอู๋เฉินอีกแล้ว สถานการณ์เช่นนี้หากข้าไม่เข้าใจความในใจขององค์หญิง ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงเป็นคนโง่เขลาที่สุดบนโลก ดังนั้นข้าจึงไม่ห้ามโหรวหลันเข้าวังอีก แม้คนสองคนมิพบหน้า แต่แปลกนักที่หัวใจกลับรู้สึกหวานละมุน แม้นอยู่ไกลกันสุดขอบฟ้า ทว่ากลับรู้สึกดั่งมิมีสิ่งใดกางกั้น
ไม่ว่าจะว่าอย่างไรสุดท้ายก็ข้าก็ทำให้โหรวหลันลงไปสำเร็จ จะว่าไปแล้วก็น่าขัน โหรวหลันยังอ่านหนังสือไม่ออก แต่ซื่อจื่อหลี่จวิ้นส่งจดหมายมาฉบับแล้วฉบับเล่า เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยถือจดหมายขึ้นมาแต่อ่านไม่ออกสักตัว นางก็กลัดกลุ้มจนต้องลากข้าไปสอนนางอ่านหนังสือ ข้าได้แต่หัวเราะลั่นพลางคิดว่าแม้ข้าอยากสอนให้นางอ่านออกเขียนได้ แต่คิดจะอ่านจดหมายฉบับนี้ให้รู้เรื่องก็คงต้องใช้เวลาสักสองปี
ข้าจนหนทางจึงทำได้เพียงอ่านจดหมายให้นางฟัง ความจริงเนื้อความก็ไม่มีอันใด เพียงเล่าว่าวันนี้ไปที่ใด เห็นสิ่งใดน่าสนุกบ้างก็เท่านั้น แต่หลี่จวิ้นผู้นี้กลับเล่าเก่งยิ่งนัก โหรวหลันฟังคราวใดก็โวยวายอยากไปเที่ยวโยวโจว โชคดีที่นางโวยวายไม่นานนัก แม้โหรวหลันยังเล็กแต่ก็รู้จักเขินอายแล้ว นางไม่ยินยอมให้ผู้อื่นอ่านเนื้อหาในจดหมายเด็ดขาด ยอมให้ข้าอ่านให้นางฟังคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงข่มขู่ให้นางละเว้นข้าได้ ข้าตัดสินใจว่าจะสอนให้นางอ่านหนังสือออกช้าหน่อย มิเช่นนั้นหากไร้ไพ่ตายใบนี้ ข้าจะทำเช่นไรเล่า
[1]อี่ไฮ่ ปีหมู ปีที่ 12 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า