ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 18 ตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่น (1)
ตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่น เป็นตระกูลซึ่งทำกิจการค้าขายทางทะเล ดำรงอยู่มายาวนานมิร่วงโรย ตระกูลไห่ผงาดขึ้นมาภายหลัง มีแค้นกับตระกูลเย่ว์มาแต่เก่าก่อน มิเคยคลี่คลาย
บนหอสีแดงภายในจวนจิ้งไห่ ข้ามองดูแผนที่ภูมิประเทศบนโต๊ะ แล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยเล่า “ตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งด้านการเดินเรือจากทั้งใต้หล้า ตระกูลสืบทอดต่อกันมาหลายรุ่น อยู่มายาวนานมิล้ม ภายในตระกูลไม่เพียงมีคนเก่งมากมาย ทั้งยังแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไปทั่วแผ่นดิน
นับตั้งแต่ราชวงศ์ตงจิ้นล่มสลาย ตระกูลเย่ว์ยิ่งฉวยโอกาสกุมอำนาจการทหารและการปกครองของหนานหมิ่น หลังหนานฉู่ก่อตั้งแคว้น หนานหมิ่นก็ยังตั้งตัวอิสระ แต่หนานฉู่ถูกอำนาจของต้ายงกดดันจึงไม่มีกำลังเหลือไปปราบหนานหมิ่น ด้วยเหตุนี้ความจริงแล้วตระกูลเย่ว์ก็เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหนึ่ง แม้ในนามหนานหมิ่นจะเป็นบริวารของหนานฉู่ แต่ในความเป็นจริงก็เหมือนเช่นปินโจว ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของหนานฉู่
ถึงกระนั้นตระกูลเย่ว์ก็มิได้ทำการใดเกินไปนัก เพราะหากหนานฉู่ตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมา แม้ตระกูลเย่ว์จะหันไปสวามิภักดิ์ต้ายงแลกกับการสนับสนุนได้ แต่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ต้องถอยไปอยู่ในทะเล ถ้าเช่นนั้นกิจการของตระกูลเย่ว์ที่หนานหมิ่นย่อมเสียหายใหญ่หลวง ดังนั้นสำหรับตระกูลเย่ว์แล้ว หากใต้หล้ายังแตกแยกเป็นก๊กเหล่าเช่นนี้ต่อไปเป็นการดีที่สุด เพราะพวกเขาจะได้ผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น”
องค์หญิงฉางเล่อผู้เดิมทีนั่งตั้งใจปักผ้าอยู่บนตั่งนุ่มด้านข้างเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยเหมือนขบคิดอะไรบางอย่าง “ตอนพี่ชายมาซ่อนตัวอยู่ตงไห่ช่วงแรก ตระกูลเย่ว์เป็นฝ่ายเสนอตัวสนับสนุนพี่ชาย แล้วยังแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพี่ชายอีก คงหมายจะใช้พี่ชายคอยกันต้ายงสินะ”
ข้าเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ไม่ผิด แม้ตระกูลเย่ว์จะกบดานอยู่ไห่หนาน ไม่มีกำลังพอแย่งชิงแผ่นดินกับจงหยวน แต่ความทะเยอทะยานอยากตั้งตนเป็นอิสระก็มีอยู่
‘โถงสุคนธชาติสามพันบริวาร หนึ่งกระบี่กำราบสิบสองเมือง’ วรรคทองนี้ช่างเหมาะกับการพรรณนาอำนาจของตระกูลเย่ว์นัก สิบสองเมืองที่ว่านี้หมายถึงฝูโจว เจี้ยนโจว เฉวียนโจว จางโจว ทิงโจว หนานเจี้ยนโจว เซ่าอู่ ซิงฮว่า เหมยโจวของเย่ว์ตง เจียหยางและหนานเอ้า แม้หนานเอ้าจะยังเรียกขานเป็นเมืองมิได้ แต่สถานที่แห่งนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นทางผ่านสู่หมิ่นเย่ว์ เรือสินค้ารวมตัวกันมากมาย รุ่งเรืองเหนือกว่าปินโจว ดังนั้นจึงกล่าวว่า ‘สิบสองเมือง’
แม้ความจริงแล้วตระกูลเย่ว์จะควบคุมได้เพียงจางโจว เฉวียนโจว เจียหยางกับหนานเอ้า แต่สถานที่เหล่านี้ก็เป็นสถานที่สำคัญของเย่ว์ตงกับหนานหมิ่น ด้านหลังมีภูเขาด้านหน้าติดทะเล หนานฉู่ไร้กำลังจัดการ ต้ายงก็เอื้อมมือมามิถึง
ถึงตระกูลเย่ว์จะอยู่อย่างเงียบเชียบ มิเคยเข้าแย่งชิงอำนาจปกครองแว่นแคว้นและไม่เรียกขานตนเองเป็นอ๋อง แต่จากวรรค ‘โถงสุคนธชาติสามพันบริวาร’ เพียงประโยคเดียวก็ทราบแล้วว่าตระกูลเย่ว์มีคนใต้บัญชามากมายดุจมวลเมฆ คิดจะรักษาตำแหน่งเช่นนี้ต่อไป หากไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อผู้แข็งแกร่งก็ต้องทำให้แผ่นดินวุ่นวายต่อไปไม่จบไม่สิ้นจึงจะเป็นไปได้ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเจียงกับตระกูลเย่ว์อีกครั้งก็เป็นเรื่องที่ตระกูลเย่ว์เป็นฝ่ายเสนอเอง”
องค์หญิงฉางเล่อมุ่นคิ้ว “ตระกูลเย่ว์วางแผนเช่นนี้ช่างน่าชังโดยแท้ ในสายตาพวกเขาความลำเค็ญของประชาราษฎร์ทั่วหล้าไม่สำคัญเลยสินะ สุยอวิ๋น ในเมื่อเป็นดังนี้ เหตุใดท่านจึงมองดูการแต่งงานครั้งนี้สำเร็จ หากเป็นเช่นนี้ ไยมิสมดั่งใจพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ตระกูลไห่ทำกิจการเดินเรือด้วยการสนับสนุนของท่าน ปินโจวกลายเป็นเมืองท่าที่เป็นรองเพียงเฉวียนโจวของหนานหมิ่นแล้ว การสนับสนุนด้านกำลังทหารของพี่ชายย่อมสำคัญขึ้นอีก ตอนนี้ตระกูลเย่ว์น่าจะหมายตาการค้าโพ้นทะเลอยู่ หากพวกเขาได้ความลับในการสร้างเรือของตระกูลไห่ไป ไยมิใช่ประหนึ่งเสือติดปีก หากมองจากด้านนี้จะปล่อยให้พวกเขาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลเจียงสำเร็จไม่ได้สิ”
ข้าขยับที่ทับกระดาษหยกสีเขียวในมือเล่น แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “แม้ตระกูลเย่ว์วางแผนได้ไม่เลว แต่การปล่อยให้พวกเขาก้าวเข้ามาทำการค้าโพ้นทะเลเป็นเจตนาของข้าเอง เรื่องราวบนโลกก็เป็นดังนี้ นอกจากตำแหน่งจักรพรรดิที่ครองได้เพียงหนึ่ง เรื่องอื่นมิว่าเป็นสิ่งใด ดีที่สุดอย่าคิดหาวิธียึดครองไว้ผู้เดียว ยามนี้การค้าโพ้นทะเลถูกตระกูลไห่ยึดไว้ผู้เดียว มีผู้คนไม่รู้เท่าไรจ้องตาเป็นมัน วันนี้ใต้หล้ายังไม่รวมเป็นหนึ่งย่อมไม่เป็นไร แต่เมื่อใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง สี่คาบสมุทรสงบสุขแล้ว คนที่อยากจัดการตระกูลไห่คนแรกคงเป็นจักรพรรดิ ต่อให้เห็นแก่หน้าข้าไม่ลงมือกับตระกูลไห่ชั่วคราว แต่หลังข้าล่วงลับ ตระกูลไห่ย่อมถึงกาลล่มสลาย ในเมื่อเป็นดังนี้ มิสู้ให้ตระกูลเย่ว์แบ่งน้ำแกงสักถ้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้มีคนคิดกดดันเล่นงาน ขอเพียงมีความสามารถพอก็ยังยืนหยัดต่อไปได้”
องค์หญิงฉางเล่อได้ยินประโยคที่ว่า ‘คนที่อยากจัดการตระกูลไห่คนแรกคงเป็นจักรพรรดิ’ ประโยคนี้ มือพลันสั่น เข็มปักผ้าแทงต้องนิ้ว แต่เมื่อฟังท่อนต่อมาจึงสงบใจลงได้ “เรื่องนี้กล่าวถูกต้องแล้ว แม้เสด็จพี่ทรงปรีชา แต่เรื่องเช่นนี้ก็ยากจะแสร้งทำมองไม่เห็น ในเมื่อสามีวางแผนการไว้เช่นนี้ เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของตระกูลเจียงกับตระกูลเย่ว์ก็คงมิต้องกังวลแล้ว แต่ตระกูลเย่ว์เดิมก็มีอำนาจเพียงนี้ แล้วยังเอนเอียงเข้าข้างหนานฉู่ มิยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ยามนี้สามียังปล่อยให้พวกเขายื่นมือเข้ามาแทรกในการค้าโพ้นทะเล ไฉนมิใช่ช่วยส่งเสริมความอหังการของพวกเขา”
ข้าเอ่ยอย่างมีความนัย “ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนั้น แม้ตระกูลเย่ว์จะเข้ามาทำการค้าด้วยได้ แต่ก็คงมิใช่ตอนนี้ หากไม่ลดทอนกำลังของตระกูลเย่ว์เสียบ้าง ไม่ต้องพูดถึงตัวข้าไม่วางใจ ต่อให้เป็นพี่ไห่ก็ไม่สบายใจ ข้าเตรียมเล่นงานตระกูลเย่ว์หนักๆ สักครั้งหนึ่งไว้แล้ว จากนั้นค่อยให้โอกาสพวกเขาเข้ามาร่วมการค้าโพ้นทะเล”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยอย่างกังวล “แต่ตระกูลเย่ว์เป็นจ้าวแห่งหนานไห่ สามีจะเล่นงานพวกเขาให้หนักได้เช่นไรเล่า ถึงอย่างไรยามนี้หนานหมิ่นก็ยังเป็นดินแดนของหนานฉู่ หากจุดโทสะตระกูลเย่ว์ จนพวกเขาหันไปสนับสนุนหนานฉู่เต็มกำลัง ไฉนมิใช่ยิ่งลำบาก”
ข้าส่ายศีรษะ “ทุกสิ่งรุ่งเรืองทุกขีดสุดแล้วย่อมร่วงโรย ตระกูลเย่ว์ในยามนี้สืบทอดมาสิบกว่ารุ่นแล้ว มีปัญหาซุกซ่อนอยู่มากมาย โดยเฉพาะวิธีทำการค้าของตระกูลเย่ว์โดยการใช้อำนาจบาตรใหญ่ยิ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนประณาม พวกเขามักใช้ทุกวิธีข่มเหงคู่ต่อสู้ทางการค้า ใครตามข้ารอด ใครขวางข้าตาย เหล่าวาณิชแห่งเย่ว์ตงกับหนานหมิ่นล้วนต้องยืมจมูกผู้อื่นหายใจ
จ้งอิงเคยเล่าว่าในอดีตเขาล่วงเกินข้ารับใช้คนหนึ่งของตระกูลเย่ว์ ผลสุดท้ายตอนออกทะเลก็พบโจรสลัดจนกิจการมลายสิ้น ต่อมาจ้งอิงสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือตระกูลเย่ว์ แม้ไร้หลักฐาน แต่ตระกูลเย่ว์กับโจรสลัดมักไปมาหาสู่กัน ยิ่งกว่านั้น หลังเหตุการณ์นั้น เดิมทีจ้งอิงยังทำกิจการต่อได้ ตอนแรกเจ้าหนี้เหล่านั้นก็ไม่คิดบีบให้เขาคืนหนี้สิน หวังให้เขาทำกิจการต่อเพื่อจะชดใช้หนี้มหาศาลเหล่านั้นได้สะดวก แต่ตระกูลเย่ว์กลับเข้ามาขัด จนสุดท้ายจ้งอิงต้องปิดกิจการและติดค้างหนี้สินมากมาย ไม่อาจอยู่หนานหมิ่นได้อีก แล้วร่อนเร่มาถึงต้ายง
กล่าวไปแล้วก็บังเอิญนัก อู๋จี้ที่ควบคุมกิจการหอกลไกสวรรค์ เห็นความสามารถของจ้งอิงจึงสนับสนุนให้เขาสร้างตัวใหม่อีกครั้ง ต่อมาเต้าหลีค้นพบว่าเขากับไห่จ้งอิงเป็นอาหลานกัน ซ้ำข้ายังซ่อนตัวอยู่ที่ตงไห่ จึงสนับสนุนตระกูลไห่เต็มกำลัง เจียงโหวก็ไม่พอใจตระกูลเย่ว์อยู่มาก ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้เกิดสถานการณ์ที่ตระกูลไห่ตั้งตัวทีหลังแต่ผงาดขึ้นมาเหนือกว่าในวันนี้
วิธีการเช่นนั้นของตระกูลเย่ว์ย่อมก่อศัตรูมากมาย ยามปกติมองไม่เห็น แต่หากเกิดวิกฤตคงถูกกลุ้มรุมโจมตีเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ภายในตระกูลเย่ว์ก็มีปัญหาซุกซ่อนอยู่มาก การแย่งชิงตำแหน่งเจ้าตระกูลเย่ว์ตอนนี้ก็กำลังดุเดือด เป็นจังหวะดีที่สุดในการโจมตีตระกูลเย่ว์”
องค์หญิงฉางเล่อถอนหายใจ “ราชวงศ์แย่งชิงบัลลังก์ย่อมคลุ้งกลิ่นคาวโลหิต แต่การแย่งชิงตำแหน่งเจ้าตระกูลของเหล่าตระกูลใหญ่เองก็ฆ่าฟันเอาชีวิต โหดร้ายไม่ต่างกัน”
ข้าเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เจินเอ๋อร์ ท่านนึกถึงเรื่องในพระราชวังเลี่ยกงอีกแล้วหรือ”
ความเศร้าสร้อยผุดขึ้นในดวงเนตรขององค์หญิงฉางเล่อ “ข้าจะลืมเลือนเรื่องนั้นได้เช่นไร พี่ใหญ่ก่อกบฏจนได้รับพระราชทานความตาย พี่สะใภ้หกปลิดชีพตนขอขมาความผิด ฮองเฮาก็ทรงทำอัตวินิบาตกรรมตนเอง เรื่องน่าสลดเช่นนี้ เจินเอ๋อร์ไม่อยากนึกถึงจริงๆ”
ข้าเดินไปข้างกายองค์หญิงฉางเล่อแล้วโอบนางเข้ามากอดเบาๆ จากนั้นกล่าวว่า “ท่านมิต้องคิดมากแล้ว นี่เป็นโทษทัณฑ์ที่พวกเขาสมควรได้รับ อีกทั้งข้ากับท่านได้มั่นใจในความรักของกันและกันก็เพราะเหตุการณ์ในพระราชวังเลี่ยกง ยังมิต้องคิดถึงสิ่งอื่น เพียงสิ่งนี้ ท่านก็มิสมควรเสียใจเช่นนี้แล้ว”
องค์หญิงฉางเล่อหน้าแดงอย่างห้ามไม่ได้ แม้แต่งงานกันมาเกือบสามปีแล้ว แต่เมื่อนึกถึงตอนนั้นที่พระราชวังเลี่ยกง ตนหักห้ามอารมณ์ไม่อยู่จนเสียกิริยาต่อหน้าธารกำนัล ในใจก็ยังอับอายจนทนไม่ไหว ข้าเห็นนางมิโศกเศร้าแล้ว จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อท่านไม่ชอบฟังเรื่องราวของตระกูลเย่ว์ ข้าก็จะไม่เล่า ตอนนี้เซิ่นเอ๋อร์น่าจะตื่นแล้ว ท่านไปดูสักหน่อยเถิด ข้ายังต้องอ่านสารอีกสักหน่อย คงไม่เข้าไป”
องค์หญิงฉางเล่อเก็บผ้าปักแล้วเอ่ยบ่น “สองปีมานี้ปากท่านบอกว่าออกจากราชสำนักแล้ว จะสงบจิตใจพักผ่อน แต่กลับวางเรื่องเหล่านี้มิลง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ มิสู้ไม่จากมาเสียดีกว่า แม้แต่ผมก็กลายเป็นสีเทาหมดแล้ว ทำเช่นนี้แล้วท่านจะลำบากไปทำไม!”