ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 26 สยบคลื่นลมตงไห่ (3)
เวลานี้เอง นอกประตูก็มีเสียงสุขุมเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “องค์ชายอย่าได้ใส่ร้ายคุณชายของข้า จดหมายของเซวียฮูหยินมาถึงสายเกินไป แม้แม่ทัพเผยทราบเรื่องแล้วกราบทูลองค์จักรพรรดิทันที จากนั้นองค์จักรพรรรดิก็หาวิธีแจ้งคุณชายของข้า แต่ก็เหลือเวลาก่อนพิธีมงคลของท่านโหวน้อยเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น
แล้วอีกประการ จู่ๆ ให้บอกโต้งๆ ว่าตระกูลเย่ว์คิดร้าย เกรงว่าท่านโหวคงมิกล้าเชื่อกระมัง มิหนำซ้ำจดหมายของเซวียฮูหยินก็มิได้เล่าละเอียด คุณหนูเย่ว์มีวิธีอันใดก็มิได้เขียนไว้ชัดเจน
ดังนั้นคุณชายของข้าจึงส่งสารพันลี้ ขอให้แม่ทัพลู่ช่วยเหลือเจ้าตระกูลเย่ว์ เป็นการใช้แผนพรากฟืนใต้หม้อ ขอเพียงคุณหนูเย่ว์มิถูกข่มขู่ ถ้าเช่นนั้นทุกสิ่งย่อมจบลงด้วยดีได้ เรื่องเป็นเช่นนี้ก็เพราะคนชั่วสำนักเฟิงอี้กับผู้ดูแลใหญ่เย่ว์โลภมากเกินไป ทั้งอยากครอบครองตงไห่กับตระกูลเย่ว์ แล้วยังคิดจะลงมือกับชิ่งอ่องและแม่ทัพลู่อีก ความโลภมากมิรู้จักพอจึงนำภัยมาให้ หากมิใช่เพราะพวกเขาคิดจัดการแม่ทัพลู่ น่เกรงว่าคุณชายของข้าคงไม่มีหนทางคลี่คลายเรื่องนี้ด้วยดี”
ทุกคนเงยหน้ามองก็เห็นชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ประตู ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูอ่อนโยน แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นเฉยชา บรรยากาศรอบตัวเขาดูนุ่มนวลทว่าแฝงความหยิ่งยโส คล้ายหิมะที่กองทับถมกันในฤดูใบไม้ผลิ แม้น้ำแข็งเย็นยะเยือก แต่ละลายกลายเป็นน้ำเย็นฉ่ำอันบริสุทธิ์ใสกระจ่างซึมไปทั่วทุกหนแห่ง
ความหวังของเย่ว์อู๋จิวดับมอด ชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นในสมองก่อนจะหลุดปากออกมา “เงามารหลี่ซุ่น!” เพิ่งสิ้นเสียง ชายหนุ่มชุดเขียวก็จี้ดัชนีกลางอากาศ เย่ว์อู๋จิวพลันรู้สึกแขนขาไร้เรี่ยวแรง อ่อนยวบทรุดลงบนพื้น เขาอุทานตกตะลึงอยู่ในใจ นี่คือการสกัดจุดผ่านอากาศ จากนั้นเขาก็หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง
ชายหนุ่มชุดเขียวคลี่ยิ้มเฉยชา เอ่ยว่า “ผู้น้อยเอง ผู้ดูแลเย่ว์ เมื่อครู่ผู้น้อยไปเยือนเรือส่งตัวเจ้าสาวมาแล้ว โชคดีท่านโหวมีสายตามองการณ์ไกล เคยมอบอำนาจสั่งการทหารตงไห่ให้ผู้น้อย ดังนั้นเมื่อครู่ผู้น้อยจึงเคลื่อนเรือรบสามลำกับทหารพันกว่านาย จับกุมคนทั้งหมดบนเรือตระกูลเย่ว์เอาไว้ แน่นอนว่าน่าเสียดายคนชั่วสำนักเฟิงอี้เจ้าเล่ห์แสนกลนัก ลงจากเรือไปเสียก่อน แต่ที่แห่งนี้คือเกาะโดดเดี่ยวบนผืนทะเล คิดว่าพวกเขาก็น่าจะยังอยู่ที่นี่”
หลี่เสี่ยนยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ ข้าไม่เชื่อหรอกว่านายเจ้าจะฝากความหวังทั้งหมดไว้กับผู้อื่น รีบเล่ามา ไพ่ตายของเขาคือสิ่งใด”
หลี่ซุ่นค้อมกายเล็กน้อยแล้วตอบว่า “องค์ชายทรงปรีชา คุณชายของข้าย่อมมิกล้าเลินเล่อกับความปลอดภัยของคนมากมายเช่นนี้ คุณชายกล่าวว่าในเมื่อจะให้คุณหนูเย่ว์ลงมือ ถ้าเช่นนั้นคงไม่มีทางพึ่งวรยุทธ์ วางยาพิษเป็นไปได้มากที่สุด หากเป็นเพียงยาพิษธรรมดา ขอเพียงระวังเล็กน้อย ไม่ให้คุณหนูเย่ว์วางยาพิษสำเร็จก็พอแล้ว ทว่าคุณชายกล่าวว่าการวางยาพิษควบคุมยากยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่นก็ไม่ได้ถนัดการใช้พิษ ดังนั้นคุณชายจึงคิดถึงวิชาไสยศาสตร์ หรือพิษกู่ คุณชายสั่งให้ผู้น้อยนำยากับของที่ใช้แก้สิ่งชั่วร้ายจำนวนหนึ่งมาด้วย แต่คุณชายก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าคุณหนูเย่ว์จะใช้กู่ประสานใจ ยาขับไล่กู่ที่ผู้น้อยนำมาเกรงว่าคงยากจะใช้การได้ หากกล่าวถึงไพ่ตายน่ะหรือ”
หลี่ซุ่นเว้นวรรคจังหวะหนึ่งแล้วล้วงกระบอกกลมขนาดเล็กอันประณีตชิ้นหนึ่งออกมา แล้วกล่าวต่อ “นี่คือเพลิงเทวาเหาะเหินสามารถยิงเปลวเพลิงได้ ยิงได้สามครั้ง เพลิงที่อยู่ในสิ่งนี้ผสมขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน เมื่อตกต้องร่างแล้วมิอาจดับ คุณชายกล่าวว่า มิว่าวิชาพิษวิชาไสยศาสตร์อันใด เผาให้สิ้น มากกว่าครึ่งล้วนได้ผล”
กล่าวจบหลี่ซุ่นจึงชี้กระบอกกลมไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องโถงพิธี แล้วกดกลไกบนกระบอกกลมเบาๆ ลูกไฟสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมาดังคำอธิบาย จากนั้นเก้าอี้ตัวนั้นพลันสลายกลายเป็นความว่างเปล่าท่ามกลางเปลวเพลิงภายในเวลาเพียงครู่เดียว แม้แต่ขี้เถ้าก็ไม่เหลือ สิ่งที่พิเศษยิ่งกว่าก็คือ เก้าอี้ตัวอื่นที่อยู่ห่างจากมันไม่ถึงครึ่งฉื่อกลับไม่เป็นอันใดแม้แต่น้อย
ทุกคนเห็นแล้วสะดุ้งโหยงในใจอย่างห้ามมิได้ พลางลอบคิดว่าช่างเป็นเปลวเพลิงที่ร้ายกาจนักเชียว พวกเขาล้วนเป็นผู้มีฐานะสูงศักดิ์ จึงทราบเรื่องราวมากมายที่คนทั่วไปมิทราบ ในอดีตกู่ประสานใจชนิดนี้ถูกกำจัดจนสิ้นได้ก็ด้วยอาศัยเพลิงเผา ไฟ แต่เดิมก็เป็นดาวข่มของพิษกู่อยู่แล้ว ยามนี้ที่เย่ว์ชิงเยียนถือไพ่เหนือกว่าได้ก็เพราะก่อนเกิดเรื่องไม่มีผู้ใดเตรียมตัวมาก็เท่านั้น
หลินถงมองดวงหน้างามละมุนของหลี่ซุ่น ในใจพลันเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือก นางกระซิบแผ่วเบา “ท่านพี่ เงามารน่ากลัวเช่นนี้ นายท่านของเขาจักต้องน่ากลัวยิ่งกว่าเป็นแน่”
หลินปี้ยิ้มฝืดเฝื่อนนิดๆ แล้วคิดในใจว่า หากข้าทราบก่อนว่าหลี่ซุ่นมิอยู่ข้างกายเจียงเจ๋อ คงส่งคนไปคิดหาวิธีค้นหาที่อยู่ของเจียงเจ๋อแล้วลอบสังหารเขาแล้ว
เวลานี้หลี่ซุ่นก็เอ่ยอีกว่า “ท่านโหว เรื่องด้านนอกยังต้องจัดการต่อ ผู้น้อยมิสะดวกยุ่ง ขอท่านโหวโปรดสั่งการ”
เจียงหย่งมองหลี่ซุ่นนิ่งๆ ในใจคิดว่า ข้าเคารพเจียงเจ๋อเพราะเขาช่วยบุตรชายข้าไว้ แต่วันนี้เพิ่งได้เห็นความสามารถของเขา ดูท่าจะเป็นศัตรูกับต้ายงต่อไปมิได้แล้วจริงๆ มิเช่นนั้นชีวิตของพวกเราพ่อลูกคงต้องปลิดปลงด้วยน้ำมือพวกเขาแน่
เขาเอ่ยเสียงดัง “เทาเอ๋อร์ เจ้าไปปลอบแขกเหรื่อสักหน่อย บอกว่าผู้ดูแลใหญ่ตระกูลเย่ว์ก่อเรื่องวุ่นวาย แต่จับตัวไว้ได้แล้ว” เขามองเย่ว์ชิงเยียนแวบหนึ่ง ในใจลังเลเล็กน้อย งานมงคลของบุตรรัก ใต้หล้ารู้กันสิ้น หากจบลงเช่นนี้ ไฉนไม่ขายหน้าทั้งใต้หล้า แต่เย่ว์ชิงเยียนมีกู่ประสานใจอยู่ในร่าง ไม่เพียงชีวิตน่าเป็นห่วง แต่แม่นางคนนี้ยังภักดีต่อตระกูลเย่ว์ ต่อให้แต่งงานกับบุตรรักแล้วก็น่ากลัวว่าจะมีเรื่องยุ่งยาก
ระหว่างที่เขาลังเลอยู่ หลี่เสี่ยนก็มองความคิดของเขาออกทะลุปรุโปร่งจึงคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ชิงเยียน มานี่ ในเมื่อเจ้ากราบไหว้ฟ้าดินกับไห่เทาแล้วก็เท่ากับเป็นหลานสะใภ้ของข้า อาหกไม่มีของขวัญพบหน้าอันใดมอบให้เจ้า หยกม่วงชิ้นนี้ขอมอบให้เจ้าแล้วกัน” กล่าวจบเขาก็ปลดหยกม่วงลงมาแล้วยัดใส่มือเย่ว์ชิงเยียนที่เดินก้มหน้าเข้ามาหา เย่ว์ชิงเยียนตกตะลึง ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาเผยสีหน้าตกตะลึงระคนคลางแคลงไม่อยากเชื่อ
หลี่เสี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ชิงเยียน แม้ข้าไม่เข้าใจวิชากู่ แต่หยกม่วงชิ้นนี้อย่างน้อยก็คงกดกู่ประสานใจของเจ้าไว้ได้สักช่วงเวลาหนึ่ง ต่อให้ทำไม่ได้ นี่ก็ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้หลานสะใภ้ แม้เจ้าจะเลอะเลือนไปบ้าง แต่ข้าชมชอบความกล้าหาญของเจ้านัก เจ้ายอมฝึกฝนวิชาไสยศาสตร์ที่ทำร้ายผู้อื่นพร้อมกับทำร้ายตนเองเช่นนี้เพื่อพี่ชาย ข้าคิดว่ายามนั้นแม้เจ้ามิทราบอันตรายของกู่ประสานใจชนิดนี้ แต่ก็ต้องเจาะโลหิตมาเลี้ยงราชากู่ ความกล้าเช่นนี้อย่างน้อยตัวข้าก็ไม่มี
ฟังจากคำพูดเมื่อครู่ของพวกเจ้า เจ้าคงเตรียมตัวสละชีวิตตนเพื่อช่วยบิดากับพี่ชายแล้วสินะ กล่าวกันว่าอยู่บ้านเชื่อฟังบิดา ข้ามิอาจกล่าวว่าเจ้าผิด แต่ยามนี้เจ้าเป็นสะใภ้ตระกูลเจียงแล้ว ออกเรือนเชื่อฟังสามี หลังจากนี้อย่าได้ตัดสินใจทำสิ่งใดโดยพลการอีก แม้หลานชายคนนี้ของข้าจะซื่อไปบ้าง แต่แบ่งรักชังชัดเจน หลังจากนี้เจ้าจงสนับสนุนสามีสั่งสอนบุตร รักษาคุณธรรมของภรรยา เข้าใจหรือไม่”
เย่ว์ชิงเยียนกลั้นน้ำตาตอบเสียงเบา “ชิงเยียนมิทราบว่าพ่อสามีกับสามีคิดเห็นเช่นไร”
หลี่เสี่ยนมองเจียงหย่งกับเจียงไห่เทา เจียงหย่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในใจคิดว่า ลูกสะใภ้คนนี้เป็นคนเข้มแข็ง หากสั่งสอนชี้แนะให้ดีต้องกลายเป็นภรรยาที่ช่วยเหลือเทาเอ๋อร์ได้แน่ อนาคตเทาเอ๋อร์จะได้มิต้องล่มจมในทะเลขุนนาง แต่มิรู้ว่ากู่พิษในร่างนางจะขับออกมาได้หรือไม่
คิดมาคิดไป เขาทั้งไม่ต้องการหักหน้าหลี่เสี่ยน แล้วก็ไม่ต้องการให้ภรรยาเฒ่าเสียใจ จึงกล่าวว่า “กราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันแล้ว ลูกสะใภ้คนนี้ข้าย่อมยอมรับ”
เจียงไห่เทาผู้มีความคิดเรียบง่าย เมื่อครู่ยังชิงชังจนจะฆ่าเย่ว์ชิงเยียน แต่ยามนี้กลับหน้าแดงระเรื่อเสียแล้ว “ล้วนแล้วแต่ท่านพ่อกับอาหก”
หลี่เสี่ยนหัวเราะกังวาน เอ่ยว่า “ดี เซวียซื่อ เจ้าไปส่งชิงเยียนที่ห้องหอก่อนเถิด เย่ว์เหวินฮั่น เจ้าตามไห่เทาไปจัดการเรื่องที่เหลือด้านนอกสักหน่อย เรื่องอื่นข้าขอไม่ยุ่ง ยามนี้นับว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว แต่ขอให้ทุกคนระวังสักหน่อย คนชั่วสำนักเฟิงอี้ยังไร้ร่องรอย ส่วนเรื่องตระกูลเย่ว์ ลู่ช่าน เจ้าว่าอย่างไร”
ลู่ช่านตอบเสียงราบเรียบ “ตระกูลเย่ว์ย่อมยังเป็นตระกูลเย่ว์แห่งหนานฉู่ กิจการเดินเรือของหนานฉู่เรายังต้องพึ่งพาตระกูลเย่ว์ แต่ตระกูลไห่คงไม่ถือสาที่จะร่วมมือกับพ่อค้าหนานฉู่ต่อกระมัง”
ตงไห่โหวกับหลี่เสี่ยนแลกสายตากัน ยามนี้เจ้าตระกูลของตระกูลเย่ว์ยังอยู่ในมือของลู่ช่าน ตงไห่โหวขยับยิ้มเอ่ยว่า “แม่ทัพลู่มิต้องกังวล ขอเพียงมีการค้า ตระกูลไห่ย่อมไม่ปฏิเสธ”
หลี่เสี่ยนปรบมือเอ่ยว่า “ดียิ่ง ถ้าเช่นนั้นก็รีบจัดโต๊ะกินเลี้ยงใหม่เถิด เรื่องด้านนอกยกให้ไห่เทาไปจัดการ พวกเราต้องดื่มเพิ่มสักหลายจอกจึงจะสมควร นี่เป็นวันน่ายินดียิ่ง”
ทุกคนฟังคำพูดของหลี่เสี่ยนแล้วมีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป พวกตงไห่โหวล้วนยิ้มฝืดเฝื่อนรับคำสั่ง อำนาจของฉีอ๋องถึงอย่างไรก็ชวนให้คนเกรงขาม ชิ่งอ๋องตั้งแต่ได้สติก็หน้าเขียวไม่พูดไม่จา ตอนนี้ก็ไม่ส่งเสียงอันใด โก่วเหลียนค่อนข้างโชคดี เขานิ่งดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างมาตลอด ทั้งระหว่างเกิดเรื่องก็ไม่มีช่องว่างให้เขาแทรกสักนิด ลู่ช่านเพียงอมยิ้มน้อยๆ ฝูอวี้หลุนที่อยู่ด้านข้างกลับมองลู่ช่านอย่างระมัดระวัง สีหน้าวิตกกังวลอย่างยิ่ง ฝ่ายหลินปี้ยิ้มเจื่อนจางๆ ส่วนหลินถงมองหลี่ซุ่นอย่างใคร่รู้ นี่เป็นถึงบุคคลที่นางได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานเชียวนะ