ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 28 ชุมนุม ณ จิ้งไห่ (2)
ลู่ช่านยิ้มละไมเอ่ยว่า “ข้าต้องการให้ท่านกลับไปบอกอัครมหาเสนาบดีซั่ง ข้าลู่ช่านไม่มีความคิดแย่งชิงผลประโยชน์กับเขา แต่ก็มิยินยอมให้ผู้ใดข่มเหง ข้าทราบว่าทายาทชั่วของสำนักเฟิงอี้ซ่อนตัวอยู่ข้างกายอัครมหาเสนาบดีซั่ง ข้ามิสนว่าอัครมหาเสนาบดีซั่งจะกระทำการใด แต่ข้าหวังว่าท่านจะเตือนอัครมหาเสนาบดีซั่ง สำนักเฟิงอี้มีสันดานคิดคด ใช้ประโยชน์ได้แต่มิอาจไม่ป้องกัน หากอัครมหาเสนาบดีซั่งคิดหลอกใช้พวกเขากำจัดศัตรู เกรงว่าสุดท้ายแล้วหนานฉู่กลับจะกลายเป็นใต้หล้าของพวกเขา”
ในใจฝูอวี้หลุนลิงโลดด้วยทราบว่าในที่สุดตนเองก็รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว เขารีบสาบานต่อสวรรค์ว่าจะไปเกลี้ยกล่อมซั่งเหวยจวินแน่นอน ลู่ช่านถอนหายใจในอก ในใจคิดว่า หากข้าสังหารคนผู้นี้ เกรงว่าคงเหลือแต่หนทางแห่งการเป็นกบฏให้เดิน แม้คนผู้นี้วันหน้าอาจมาแก้แค้น แต่อย่างไรก็จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับอัครมหาเสนาบดีซั่งตอนนี้มิได้
ลู่ช่านเดินออกจากห้องของฝูอวี้หลุนก็เอ่ยกับองครักษ์คนสนิทว่า “ดูแลใต้เท้าฝูให้ดี อย่าให้เขาติดต่อกับคนภายนอกได้” ก่อนกลับถึงหนานฉู่ ลู่ช่านไม่ต้องการให้ผู้อื่นมีอิทธิพลกับฝูอวี้หลุน ทำให้เขาเปลี่ยนคำสัญญาที่รับปากว่าจะคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างตระกูลลู่กับซั่งเหวยจวิน
เพิ่งเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นเด็กหญิงตัวน้อยกระโดดโลดเต้นเดินเข้ามา ในมือถือเทียบเชิญสีแดงขนาดใหญ่แผ่นหนึ่ง ด้านหลังมีองครักษ์ของตงไห่ติดตามมาสองนาย พอนางเห็นลู่ช่านก็ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ลู่ หลันหลันมาส่งเทียบเชิญแทนท่านพ่อ” นางมองชายหนุ่มผู้นี้อย่างสงสัยใคร่รู้ นางเคยได้ยินจากปากผู้อื่นว่าชายหนุ่มผู้นี้คือลูกศิษย์คนแรกของท่านพ่อ ดังนั้นนางจึงฉวยโอกาสส่งเทียบเชิญมาดูศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้สักหน่อย
ลู่ช่านทราบแล้วว่าเด็กหญิงผู้นี้คือบุตรสาวของอาจารย์ แม้ไม่เข้าใจว่าอาจารย์มีบุตรสาวคนนี้ได้อย่างไร แต่นั่นมิได้ขัดขวางไม่ให้ลู่ช่านมองหาเงาของท่านอาจารย์จากตัวเด็กหญิงผู้นี้ เขาก้าวเข้าไปอุ้มโหรวหลันขึ้นมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงพิจดู เด็กหญิงผู้นี้หน้าตางดงามดูเฉลียวฉลาด แม้อายุน้อยแต่หน้าตาท่าทางก็คลับคล้ายท่านอาจารย์อยู่บ้างแล้ว โหรวหลันเอ่ยอย่างสงสัยใคร่รู้ “ศิษย์พี่ลู่ ท่านก็เป็นแม่ทัพผู้นำทหารออกศึกหรือ”
ลู่ช่านเผยรอยยิ้มจริงใจ “ใช่แล้ว ข้าเคยนำทหารออกศึก”
โหรวหลันทำหน้าประหลาดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่าแม่ทัพใหญ่จะน่าเกรงขามเหมือนบิดาของน้องหลินกันทุกคนเสียอีก แต่องค์หญิงหลินปี้งดงาม ศิษย์พี่ลู่ก็สุภาพอ่อนโยน ที่แท้แม่ทัพใหญ่ไม่ได้เป็นแบบใดแบบหนึ่งสินะ”
ลู่ช่านยิ้มอีกครั้งแล้วปล่อยโหรวหลันลง เขากดเก็บอารมณ์ในใจ จากนั้นรับเทียบเชิญมา หลังจากอ่านจบจึงเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ศิษย์น้องโปรดบอกท่านอาจารย์ว่าลู่ช่านไม่สะดวกเดินทางไปอวยพร ขอท่านอาจารย์โปรดอภัยด้วย”
โหรวหลันถามอย่างประหลาดใจ “ศิษย์พี่ลู่ เหตุใดท่านไม่ไปเล่า น้องเล็กของข้าน่ารักมากนะ ท่านไม่อยากเห็นหรือ”
ลู่ช่านยิ้มเจื่อน หากตนเองไปจริง เกรงว่าคงเกิดคำครหานับไม่ถ้วน แม้ตนเองมิสนใจ แต่หากสร้างจุดอ่อนเช่นนี้ในเวลานี้ยังจะนำทัพได้เช่นไร ยามนี้ยังมิใช่เวลาที่เขาจะถอดเกราะกลับบ้านเกิด
เหตุการณ์ที่ตงไห่ ซั่งเหวยจวินตำหนิเขาเต็มปากเต็มคำมิได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรนามของทายาทสำนักเฟิงอี้มิอาจปรากฏในหนานฉู่ แต่หากตนไปเยี่ยมเยียนเจียงเจ๋อ ข้อสงสัยว่าติดต่อคบค้าศัตรูนี้จะอธิบายเท่าไรก็ไม่กระจ่าง แต่เรื่องเหล่านี้เขาจะบอกให้เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ฟังได้อย่างไรเล่า ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเอ่ยเสียงอ่อน “โปรดบอกท่านอาจารย์ว่าลู่ช่านขออวยพรให้ศิษย์น้องเล็กอายุมั่นขวัญยืน ขออภัยที่ลู่ช่านมิสะดวกไปเยี่ยมเยือน”
โหรวหลันตอบอย่างน่ารักน่าชัง “อืม ข้าจะกลับไปบอกท่านพ่อ” กล่าวจบก็กระโดดโลดเต้นออกไปจากที่พักของลู่ช่าน
ลู่ช่านมองแผ่นหลังของโหรวหลันแล้วคิดในใจ ท่านอาจารย์เชิญผู้คนไปร่วมงานฉลองครบขวบของศิษย์น้องเล็กเพราะมีเป้าหมายอันใดกันแน่
ลู่ช่านเผยรอยยิ้มจืดเจื่อนในใจ เขาเข้าใจดี ไม่ว่าตนไปหรือไม่ล้วนมิอาจขจัดความเคลือบแคลงสงสัยของซั่งเหวยจวิน ตนเพียงต้องการให้ซั่งเหวยจวินมิอาจออกมากล่าวตำหนิได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็เท่านั้น หากมิใช่ด้วยเหตุนี้ เขาก็อยากไปดูเหมือนกันว่าเจียงเจ๋อคิดทำสิ่งใดกันแน่ ต่อให้เข้าไปติดกับก็ยังดีกว่าไม่รู้สิ่งใดทั้งสิ้นกระมัง
ทันใดนั้นในสมองก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารู้มาลางๆ ว่าซั่งเหวยจวินกับเป่ยฮั่นมีข้อตกลงเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้นัก แต่ครั้งนี้ได้พบองค์หญิงจยาผิง บุคคลสำคัญของกองทัพเป่ยฮั่นที่ตงไห่ หากตนบรรลุข้อตกลงกับนางได้ ถ้าเช่นนั้นก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อหนานฉู่และเป่ยฮั่นทั้งคู่กระมัง
แม้การขอเข้าพบยามค่ำคืนจะเสียมารยาทอยู่บ้าง แต่องค์หญิงจยาผิงคงไม่ถึงขั้นปฏิเสธไม่ให้ตนพบ ยิ่งไปกว่านั้นมิว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร ก็ล้วนทำให้คนเข้าใจผิดว่าตนกับฝ่ายทหารของเป่ยฮั่นมีข้อตกลงกัน สำหรับตนมีแต่ได้ผลประโยชน์
ลู่ช่านมองท้องฟ้ายามราตรีสีขมุกขมัว ในใจรู้สึกขื่นขมยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ตั้งใจแต่จะฆ่าฟันศัตรูปกป้องแว่นแคว้น ทำหน้าที่อย่างจงรักภักดี คิดไม่ถึงว่าข้าลู่ซ่านจะมีวันที่ต้องเค้นสมองคิดหนักเพียงเพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอด
ในเรือนพักอีกแห่งหนึ่ง หลี่เสี่ยนสวมอาภรณ์ตัวโคร่งเอนหลังอยู่บนตั่งนุ่ม สองมือหนุนอยู่ใต้ศีรษะ ท่าทางผ่อนคลาย แต่หว่างคิ้วของเขากลับแฝงความหนักอกหนักใจ เขามิใช่คนทึมทื่อ แววตาเปี่ยมความชิงชังและริษยาของชิ่งอ๋อง เขาเห็นชัดเจนยิ่งนัก
เหตุการณ์ที่ตงไห่ครั้งนี้ตนแย่งชิงความโดดเด่นมาจากชิ่งอ๋อง พี่สามผู้นี้เป็นคนความคิดล้ำลึก หรือเป็นคนบ้าดีเดือด หลี่เสี่ยนไม่เคยมั่นใจ เหตุการณ์ลอบสังหารจี้กุ้ยเฟยในอดีตแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นและความกล้าหาญในการแก้แค้นของหลี่คัง แต่การลอบสังหารยอดฝีมือสำนักเฟิงอี้ผู้เป็นพระสนมกุ้ยเฟยอันสูงศักดิ์ด้วยวิธีการเช่นนี้ก็ออกจะดูเป็นเด็กเล่นอยู่บ้าง เรื่องนี้จึงแสดงให้เห็นว่าหลี่คังใจเย็นไม่พอ และยังแสดงด้านที่บ้าดีเดือดของเขาด้วย
ทว่าในใจหลี่เสียนเคยนึกเกิดคำถามว่าหากหลี่คังไม่ลอบสังหารอย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้ เขาจะได้โอกาสมาพิทักษ์ตงชวนหรือไม่ หลี่คังเผยความเคียดแค้นชิงชังที่มีต่อสำนักเฟิงอี้ออกมาในที่แจ้ง แต่เพราะฐานะองค์ชายของเขา สำนักเฟิงอี้จึงกลายเป็นฝ่ายที่จัดการเขาไม่สะดวก หากหลี่คังเป็นอันใดไป สำนักเฟิงอี้ย่อมกลายเป็นผู้ต้องสงสัยสำคัญ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา แม้หลี่คังมักถูกสำนักเฟิงอี้กดดัน แต่ไม่เพียงปลอดภัยไร้อันตราย อำนาจกลับเพิ่มพูนขึ้นอย่างมั่นคง หากหลี่คังคำนวนถึงเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ต้นจริง ถ้าเช่นนั้นเล่ห์เหลี่ยมของหลี่คังก็มิใช่จะใช้คำว่า ‘ล้ำลึก’ มาพรรณนาได้แล้ว
อีกประการหนึ่ง หลี่เสี่ยนก็เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองดี หากเสด็จพี่หลี่จื้อระแวงสงสัยแม้เพียงเล็กน้อย ตนย่อมตกเป็นเป้ารุมโจมตี ถึงเวลาสูญเสียอำนาจทางทหารยังถือว่าเบา เกรงว่าตนอาจถูกคุมขังจนตายก็เป็นไปได้ ในเวลาเช่นนี้ตนยังล่วงเกินพี่สาม ชิ่งอ๋องหลี่คังที่ยามนี้เป็นชินอ๋องผู้สูงศักดิ์ที่สุดในราชสำนักครั้งใหญ่อีก
ความจริงหลี่เสี่ยนรู้ดียิ่งว่าขอเพียงตนเดินทางไปพบหลี่จื้อด้วยตนเองแล้วยอมนอบน้อมขออภัยอย่างจริงจังก็มิใช่ว่าไม่มีโอกาสคลี่คลายสถานการณ์ลำบากตอนนี้ แต่เมื่อคิดว่าต้องคุกเข่าให้หลี่จื้อ ในใจหลี่เสี่ยนพลันไม่สบอารมณ์ เสด็จพี่ที่ตนคอยไล่ตามอยู่ด้านหลังและหมายมาดจะก้าวข้ามคนนั้น วันนี้กลายเป็นโอรสสวรรค์แห่งต้ายง จักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ที่สุดแล้ว หากตนเองก้มหัวให้เขา ไยมิใช่กลายเป็นคนขี้ขลาดผู้คุกเข่าง่ายๆ เพื่อเอาชีวิตรอดและรักษาลาภยศ
ยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้ม หลี่เสี่ยนคิดในใจว่าต้องรีบพบเจียงเจ๋อให้เร็วขึ้นหน่อย เขาสังหรณ์เลือนรางว่าหนทางเดียวที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากนี้ก็คือบัณฑิตผู้อ่อนแอคนนั้น
เมื่อนึกถึงเจียงเจ๋อ ในใจหลี่เสี่ยนพลันมีความอุบอุ่นสายหนึ่งผุดพราย คนผู้นี้ พบพานหนแรกที่หนานฉู่ ยามนั้นเขาเย็นชาและระแวงตน แต่มิทราบเพราะเหตุใด ตนมักรู้สึกว่าในร่างบัณฑิตหนุ่มผู้อ่อนแอคนนี้มีพลังที่ชวนให้คนหวาดกลัวซุกซ่อนอยู่
หนที่สองคนผู้นี้บังเอิญพบกันตนบนถนนสายคับแคบ เขาช่วยชีวิตของตนไว้ แม้แปดเก้าในสิบส่วนทำเพื่อหนีรอดจากเงื้อมมือกองทัพต้ายงก็ตาม ตนสำนึกบุญคุณปล่อยเขาไป แต่ความเสียดายในใจช่างล้ำลึกยิ่งนัก
ต่อมาเจียงเจ๋อถูกเสด็จพี่พาตัวกลับต้ายง เสด็จพี่แสดงความโอบอ้อมอารีหมายจะดึงเขาเป็นพวก แต่เจียงเจ๋อกลับตกปากรับคำชักชวนของตน ยามนั้นตนดีใจทั้งยังไม่อยากเชื่อ แต่สุดท้ายเรื่องนี้กลับเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง
ตอนที่พกความโกรธเคืองออกมาจากจวนยงอ๋อง ตนอยากสังหารเขายิ่งนัก ทว่าหลังจากนั้นเมื่อเขาถูกลอบสังหารบาดเจ็บนัก ความคิดแรกของตนกลับเป็นต้องการช่วยชีวิตของเขา สุดท้ายก็ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ได้ ตนไม่เคยคิดทวงบุญคุณ
ดังนั้นภายหลังเมื่อถูกยงอ๋องคุมตัวไว้ ตนจึงไม่เคยหวังให้เจียงเจ๋อช่วยชีวิต แต่คนผู้นี้กลับตอบแทนบุญคุณเท่าหยดน้ำด้วยสายนที แรกสุดให้ตนเป็นตัวประกันของเจ้าสำนักเฟิงอี้ด้วยกันกับเขา ทำให้ตนมีโอกาส ‘ทำคุณไถ่โทษ’ หลังจากนั้นเมื่อเป่ยฮั่นฉวยโอกาสบุกโจมตี คนผู้นี้ก็ยังทิ้งถ้อยคำเสนอแนะไว้ ตนจึงมีโอกาสได้สวมชุดเกราะอีกครั้ง
ในใจหลี่เสี่ยนมองว่าเจียงเจ๋อเป็นสหายดีที่ควรผูกมิตร แม้คนผู้นี้ความคิดล้ำลึก แต่เป็นผู้ให้ความสำคัญกับมิตรไมตรีและคุณธรรม หากเขาเห็นเจ้าเป็นคนของตน ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะถูกเขาขาย ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงยอมเสี่ยงถูกกล่าวโทษมาเยือนตงไห่ เพราะหวังว่าจะได้ความช่วยเหลือจากคนผู้นี้ ให้ตนหลุดพ้นจากสถานการณ์ปัจจุบัน ก่อนหน้าบุกยึดเป่ยฮั่น กำราบหนานฉู่สำเร็จ เขาหลี่เสี่ยนมิยินยอมถูกใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้ ลูกผู้ชายสมควรห่อศพด้วยหนังอาชา สิ้นชีวาในสนามรบ จะตายในคุกเพราะคนถ่อยป้ายสีได้เช่นไร